ในทุกๆ เดือนตำหนักฝึกขุนนางจะเปิดให้บุตรขุนนางทั้งหมดในจักรวรรดิเข้าได้ และเปิดขึ้นเพียงช่วงเวลาแค่หนึ่งวัน ในช่วงเช้าจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับมารยาทที่ใช้ในราชพิธี ในช่วงบ่ายก็จะไปที่หอตำรายุทธ์ของวังหลวง
ก่อนหน้านี้ในทุกครั้งที่ตำหนักฝึกสอนบุตรขุนนางได้เปิดขึ้น โดยส่วนมากก็แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลงเฉินเลยแม้แต่เสี้ยวเดียวเพราะหากเขาไปแล้วก็มีแต่จะกลายเป็นเพียงตัวตลกที่ถูกเย้ยหยันจากผู้คนเท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่หลงเฉินได้ผ่านการใช้โอสถกักวายุไป พลังลมปราณก็ได้เริ่มก่อรวมขึ้นเป็นระดับตัวอ่อนของดารากักวายุแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ระดับตัวอ่อนที่ยังคงกักเก็บพลังปราณเอาไว้ได้ไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบกับพลังปราณที่กักเก็บตามเส้นลมปราณถือว่าสะสมพลังได้มากกว่าหลายเท่า เส้นลมปราณก็คล้ายสายธารที่ไหลริน และจุดตันเถียนก็เป็นเหมือนมหาสมุทรอันเป็นจุดบรรจบของสายธารนับร้อยสายนั่นเอง ปกติแล้วมักจะถูกเรียกกันว่าปราณสมุทร
สายธารที่แม้จะมีอยู่มากมายแต่ว่ามันก็ยังกักเก็บน้ำได้อย่างจำกัด เมื่อไม่มีจุดตันเถียนไว้คอยเกื้อหนุน ไม่นานสายธารก็คงจะเหือดแห้งหมดไป แต่ว่าปัญหานี้หลงเฉินได้จัดการแก้ไขเเล้วโดยเปลี่ยนไปกักรวมอยู่ที่จุดดารากักวายุแทน ที่สำคัญที่สุดก็คือแม้ว่าจุดดารากักวายุจะอยู่ในระดับตัวอ่อน แต่ขอเพียงแค่มีพลังอย่างเพียงพอ ท้ายที่สุดแล้วก็จะสามารถกลายเป็นจุดดารากักวายุที่สมบูรณ์ได้
เมื่อถึงเวลานั้นหลงเฉินก็จะมีสิ่งที่เปรียบเสมือน ‘จุดตันเถียน’ ดวงดาวดวงที่หนึ่งเป็นของตนเอง นี่คือความลึกลับของเคล็ดวิชากายานวดารา
เมื่อเบิกดาราทั้งเก้าได้หมดก็จะเหมือนกับว่ามีจุดที่ไหลเวียนลมปราณเทียบเท่าจุดตันเถียนทั้งหมดเก้าแห่ง แม้จะใช้เพียงส้นเท้าคิดก็พอที่จะรู้ว่าต้องมีพลังปราณที่ทรงพลังมหาศาลเพียงใด แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวแค่ไหน
ถึงแม้หลงเฉินจะพอรู้วิธีในการใช้เคล็ดวิชากายานวดารา แต่เกี่ยวกับวิชาที่พลิกฟ้าเช่นนี้เขายังถือว่าเข้าใจเพียงเศษเสี้ยว ยังจำเป็นที่จะต้องค้นหาต่อไปอย่างหยุดไม่ได้
รอจนถึงวันที่เขาก่อรวมพลังกักวายุได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะสามารถกักเก็บพลังปราณเอาไว้ได้อย่างมหาศาล หลงเฉินอาจลองก่อรวมพลังจากเส้นโลหิตของขอบเขตก่อโลหิตได้ เพียงเท่านี้เขาก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้เต็มตัว
ขอบเขตก่อรวมเป็นเพียงแค่ก้าวแรกสู่เส้นทางวิทยายุทธ์เท่านั้น ขอเพียงก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้ พลังโลหิตก็จะเดือดพ่านไปทั่วร่าง ปะทุพลังการต่อสู้ให้สูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เมื่อถึงขั้นนี้ก็สามารถเรียกว่าได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง
หลงเฉินในตอนนี้ยังไม่อาจทราบได้ว่าสภาวะพลังของตนเองนั้นอยู่ในขอบเขตขั้นก่อรวมระดับใดแล้ว แต่ว่าจากลักษณะตัวอ่อนของจุดดารากักวายุ ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อยแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้เขารู้สึกปลาบปลื้มมากพอควร
เขาในตอนนี้เพียงปล่อยหมัดง่ายๆ ออกไปก็ยังบังเกิดเสียงหอบสายลมโพยพุ่งตามไปด้วย พลังทำลายแจกันดอกไม้ที่อยู่ด้านนอกกว่าห้าเชียะแหลกสลายในพริบตา ทั่วทั้งร่างบัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลอย่างน่าเหลือเชื่อ
ที่มายังตำหนักฝึกสอนบุตรขุนนางในครั้งนี้ เขามีเป้าหมายอยู่ที่หอตำรายุทธ์ ในเมื่อก่อรวมพลังจากจุดดารากักวายุได้แล้ว ลมปราณภายในร่างกายถึงจุดที่เพียงพอแล้ว ตัวเขาเองก็สามารถที่จะฝึกทักษะยุทธ์ได้แล้ว
ส่วนที่เรียกกันว่าทักษะยุทธ์ ต่างก็เป็นวิชาที่ผู้อาวุโสมากความสามารถเหล่านั้นใช้ลมปราณของตนเองชักนำผ่านเส้นลมปราณจนกลายเป็นทักษะการต่อสู้ที่พิเศษขึ้น
ทักษะยุทธ์เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก มันสามารถที่จะกระตุ้นพลังอันมหาศาลของผู้ฝึกยุทธ์ออกมา และมักมีพลังทำลายที่มากกว่าพลังยุทธ์ปกติหลายเท่าจนไม่อยากที่จะเชื่อได้เลย
ดังนั้นทักษะยุทธ์ในมุมมองของผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนถือได้ว่ามีความสำคัญยิ่ง ขณะนี้หลงเฉินมีพลังลมปราณสำหรับใช้ต่อสู้แล้ว ดังนั้นเขาร้อนรนจนแทบจะรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
….
ตำหนักฝึกขุนนางตั้งอยู่ทางเหนือของจักรวรรดิ กวาดกินพื้นที่หลายสิบลี้นอกจากพระราชวัง และยังมีสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญมากมายตั้งเอาไว้อีกด้วย
หลังจากที่หลงเฉินได้ถูกตรวจสอบป้ายประจำตัวแล้ว เขาก็เท้าก้าวข้ามเขตเข้าไปในตำหนักฝึกขุนนาง เขาตรงดิ่งไปยังหอศึกษาที่ที่เป็นสถานที่สำหรับ ‘บำเพ็ญ’ ในช่วงเช้า สถานที่ที่ได้ยินเสียงท่องบทกวีโบราณมาจากเหล่าผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ ทีทั้งศัพท์ในราชพิธี และหลักเหตุผลโบราณที่มาจากตาเฒ่าที่ฟันแทบจะร่วงหมดปากอยู่ด้วย
เมื่อเข้ามายังหออักษรได้แล้ว เวลานี้เป็นช่วงเช้าตรู่ หออักษรดูใหญ่โตมโหฬารแต่มีเพียงบุตรขุนนางอยู่ในที่นี้เพียงไม่กี่สิบคน
“ฮ่าฮ่า พี่หลง ท่านมาแล้ว”
หลงเฉินที่เพิ่งมาถึง วินาทีนั้นก็ได้มีเด็กหนุ่มหลายคนพากันทักทายหลงเฉินอย่างเป็นมิตรและสนิทสนม
เด็กหนุ่มเหล่านี้ก็เป็นเช่นเดียวกับหลงเฉินนั่นคือไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ แม้ว่าจะไม่อาจนับว่าเป็นสหายคนสนิท แต่ก็ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาเดียวกัน
จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงที่เจริญเฟื่องฟูในด้านวิทยายุทธ์ แม้ว่าชะตากรรมพวกเขาจะไม่ได้ดูแย่เฉกเช่นหลงเฉิน แต่ก็มักจะถูกเหยียดหยามดูแคลนอยู่เป็นประจำจนต้องทนรับสายตาที่เย็นชาและไม่แยแสจากผู้คน
ดังนั้นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้จึงค่อนข้างที่จะพูดคุยกับหลงเฉินอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะหลงเฉินที่ไม่ได้ปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้มานาน วันนี้เมื่อพบปะกันย่อมไม่อาจปกปิดความสุขใจนี้ได้
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าก็มาแต่เช้าเสียจริง” หลงเฉินยิ้มร่าพร้อมกับกล่าวทักทายกลับไป ตอนนี้การรวมพลังจุดดารากักวายุได้สำเร็จลุล่วง มันทำให้เขาเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่งจึงไม่ได้มีท่าทีห่อเ**่ยวเฉกเช่นที่ผ่านมา
“เมื่อหลายวันก่อนได้ยินมาว่าพี่หลงได้แสดงอภินิหาร จัดการหลี่เฮ่าจนพ่ายแพ้ราบคาบ ช่างทำให้พวกข้ายินดียิ่งนัก แท้จริงแล้วพี่หลงเริ่มที่จะฝึกยุทธ์ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด
เดิมทีพวกเขาต่างก็อยู่ในระดับเดียวกันกับหลงเฉิน เมื่อได้ยินว่าหลงเฉินสามารถล้มหลี่เฮ่าที่มีพลังขั้นก่อรวมถึงขั้นที่สามลงได้ก็ได้ยินดีปรีดาด้วยไม่น้อย แม้แท้จริงแล้วจะแอบแฝงเอาไว้ด้วยความอิจฉาก็ตาม
“หึหึ ก็แค่โชคช่วยเท่านั้น ช่วงนี้ได้ร่ำเรียนยอดวิชามาอย่างหนึ่งด้วยก็เท่านั้น” หลงเฉินไม่ต้องการที่จะกล่าวถึงหัวข้อสนทนานี้ต่อจึงกล่าวออกไปด้วยท่าทีที่มีลับลมคมใน
“ยอดวิชา? คืออะไรกันหรือ?” สุดท้ายก็ได้ตกเป็นเป้าสนใจของผู้คนมากมาย พริบตาเดียวก็ได้คำถามเซ็งแซ่มากมาย
“หึหึ…เมื่อเร็วๆ นี้ได้รับตำราวิชาลับมาเล่มหนึ่ง หากว่าอ่านคำทำนายก็จะล่วงรู้ถึงจิตใจได้” หลงเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อย
“ทำนาย? ไม่ใช่เป็นของเอาไว้หลอกลวงผู้คนตามท้องตลาดอย่างนั้นหรือ?”
“พูดเช่นนี้ก็คงจะไม่ถูก ข้าได้ศึกษาวิชาทำนายจนจิตใจแน่วแน่ วันนั้นข้าพบเห็นหลี่เฮ่ามีใบหน้าดำคล้ำคล้ายกับจะต้องพบกับโชคร้าย เคราะห์ร้าย เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจึงตบปากรับคำที่จะต่อสู้กับเขา ในส่วนของผลลัพธ์นั้น…หึหึ” หลงเฉินหัวเราะเบาๆ และไม่กล่าวต่อ
ในเวลานั้นผู้คนทั้งหมดก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สองสามคนในกลุ่มหันหน้าสนทนากัน “คล้ายกับว่าจะเป็นเรื่องจริงนะ ได้ยินมาว่าวันนั้นหลี่เฮ่าเหมือนจะโดนอะไรเข้าสิง พลังการต่อสู้ทั่วทั้งร่างยังไม่ทันจะได้ปลดปล่อยออกมาก็ถูกพี่หลงทุบตีจนพ่ายแพ้ไปแล้ว”
ผู้คนมากมายต่างก็ได้ยินเรื่องการต่อสู้ของหลงเฉินและหลี่เฮ่า แต่ส่วนใหญ่ต่างรู้สึกผิดหวังในตัวหลี่เฮ่า ผ่านไปไม่นานเรื่องที่หลงเฉินได้เปิดปากพูดออกไปได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่วทั้งตำหนัก หลายฝ่ายไม่อาจที่จะเชื่อได้คำพูดนั้นได้
“หึหึ พี่หลง ในเมื่อท่านกระจ่างแจ้งในการทำนายทายทักเช่นนี้ พอจะช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคู่หมั้นของข้าถึงเอาแต่หลบหน้าข้า ไม่ยอมที่จะมาพบ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวเรื่องที่กำลังลำบากใจอยู่ออกมา
“ไม่มีปัญหา พวกเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อน ยืนอยู่ตรงนี้คงไม่เหมาะสักเท่าใด”
คนทั้งหมดต่างก็มารวมกันที่มุมหนึ่ง จัดหาโต๊ะเก้าอี้นั่งรายล้อมกัน บนโต๊ะเต็มไปด้วยติ่มซําที่มีไว้ให้สำหรับเหล่าบุตรขุนนางได้รับประทาน
หลงเฉินชี้ไปยังขนมแป้งอบที่อยู่บนโต๊ะ แล้วยิ้มก่อนจะกล่าวให้แก่คนผู้นั้น “มาลองสักชิ้นเถิด”
“ได้” ชายผู้นั้นไม่เกรงใจ หยิบขนมแป้งอบชิ้นหนึ่งเข้าปาก ใบหน้าของทุกคนแสดงออกด้วยสีหน้างงงวยไปที่หลงเฉิน
“รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ยอดเยี่ยมไปเลย”
“ต้องการอีกสักชิ้นหรือไม่?”
“ได้”
ชายผู้นั้นหยิบขนมแป้งอบอีกชิ้นขึ้นมา อ้าปากแล้วกินเข้าไปเหมือนครั้งก่อน ทว่าเมื่อกินไปได้ครึ่งคำ ทันใดนั้นบนใบหน้าปรากฏอาการคล้ายกระจ่างแจ้งอะไรบางอย่างจนอ้าปากค้าง หันไปโค้งคารวะอย่างมีมารยาทต่อหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณพี่หลงที่ชี้แนะ ผู้น้องเข้าใจแล้ว ความจริงข้าโลภมากจนเกินไป พี่หลงได้เตือนสติข้าไว้จริงๆ เกิดเป็นคนย่อมต้องรู้จักคำว่าพอใช่หรือไม่?”
ผู้คนมากมายต่างหันมองไปหลงเฉินเป็นตาเดียวด้วยความเลื่อมใส คิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะล้ำลึกได้ถึงเพียงนี้ ใช้เพียงขนมหวานชิ้นเล็กๆ เพียงไม่กี่ชิ้นก็ทำให้ผู้คนเข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้งได้
จากนั้นหลงเฉินก็ได้ส่ายหน้าพลางถอนลมหายใจ “เจ้าผิดแล้ว ที่ข้าจะเตือนเจ้าก็คือ เจ้าอ้วนได้ถึงเพียงนี้ยังจะกินอย่างเอาเป็นเอาตายอีก จนประตูก็เกือบจะผ่านเข้าไปไม่ได้แล้ว คู่หมั้นของเจ้าที่เอาแต่หลบหน้าหลบตาเจ้าก็ไม่ถือว่าแปลก ที่ไม่ถอนหมั้นเจ้าก็ถือได้ว่าเป็นบุญวาสนาที่สวรรค์ประทานมาให้แล้ว เจ้าทราบแล้วหรือไม่
ด้วยรูปร่างของเจ้าในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวคนใดก็คงไม่กล้าที่จะหลับนอนด้วย เกรงว่าหากเจ้าเพียงแค่พลิกตัวก็จะทับผู้นั้นจนกลายเป็นภาพวาดได้เลย”
คนผู้นั้นมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาหลังจากถูกหลงเฉินเตือนสติ ก้มมองไปที่ตนเอง รูปร่างสูงใหญ่ห้าเชียะกว่า กว้างขนาดกว่าสี่เชียะ รู้สึกตัวเองอ้วนท้วมอยู่เล็กน้อย
“เจ้าอ้วน เจ้าอย่าได้มาผลาญเวลาอันล้ำค่าของพี่หลง รีบกลับไปลดความอ้วนเถิด พี่หลง หึหึ ท่านช่วยดูโหงวเฮ้งของข้าบ้างว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายหนุ่มร่างผอมยิ้มพร้อมกับแสดงสีหน้าเลื่อมใสกล่าว
“เจ้าน่ะหรือ?” หลงเฉินขมวดคิ้วมองไปที่เขา กล่าวขึ้นมาได้เพียงครึ่งประโยค “ดูจากโหงวเฮ้งของเจ้าแล้ว ช่วงก่อนอายุสามสิบแล้วน่าจะได้รับความลำบาก ทว่ายังดีที่หลังจากอายุสามสิบ…”
คนผู้นั้นร้องขึ้นด้วยความดีใจ “หลังจากอายุสามสิบ ข้าก็จะได้รับโชคลาภอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าเลย หลังจากอายุสามสิบ เจ้าก็จะค่อยๆ เคยชินกับมัน” หลงเฉินตอบ
คนผู้นั้นนิ่งเงียบ “……”
ชายหนุ่มคนอื่นต่างอดไม่ได้ที่จะพรวดเสียงหัวเราะออกมา ในระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะเซ็งแซ่กันอยู่ ทันใดนั้นก็มีสายตาคู่หนึ่งมองมาด้วยความอาฆาตมาดร้าย มองเข้ามาทางกลุ่มคนเหล่านั้นจนทำให้เสียงหัวเราะหยุดลง
หลงเฉินสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วจึงได้หันกลับไปมอง เห็นดวงตาทั้งคู่ของหลี่เฮ่าที่คล้ายกับดาบแหลมคมสองเล่มก็มิปาน จ้องมองไปทางหลงเฉินอย่างมุ่งร้าย
“คุณชายหลี่ อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้ว? ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก อาการบาดเจ็บส่วนบนดีขึ้น แต่ทว่าอาการบาดเจ็บส่วนล่างจะเป็นอย่างไรกันนะ?” หลงเฉินกล่าวตัดบทออกไป
ใบหน้าของหลี่เฮ่าชาด้านขึ้นมา เขาถูกหามกลับไปที่จวนราวกับได้ถูกหลงเฉินทุบจนเรียบเป็นแผ่นกระดาน
ตระกูลหลี่ได้เร่งรีบเสาะหาเชิญหมอโอสถจากสภาผู้หลอมโอสถ พวกเขาใช้เงินทองเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อทำให้ร่างกายของหลี่เฮ่าฟื้นคืนกลับมาดั่งเดิม
เห็นได้ชัดยิ่งว่าการมีเงินทองมากมายนั้นถือเป็นเรื่องดี ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้ร่างกายของหลี่เฮ่าไม่มีความแตกต่างจากคนทั่วไป
แต่ว่าวันนี้เมื่อได้ยินคำที่เอ่ยขึ้นมาของหลงเฉิน หลี่เฮ่าก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาในทันที เส้นชีวิตส่วนล่างก็ได้เกิดความเจ็บปวดแปลบขึ้นมาในทันใดราวกับว่าได้นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เท้าของหลงเฉินได้เตะเข้ามาเมื่อครั้งก่อน
ครั้งก่อนหลงเฉินได้เตะเข้าไปด้วยแรงเต็มที่จนเกือบที่จะทำให้เส้นชีวิตส่วนล่างเขาใช้การไม่ได้ ที่ทำให้เขาต้องโมโหมากยากยิ่งจะพรรณนาก็คือ ในยามที่ถูกหามกลับจวนเพื่อรับการรักษาได้พบว่าลูกอัณฑะของเขานั้นหายไปข้างหนึ่งแล้ว
กว่าที่คนในจวนจะได้ย้อนกลับมาที่บนเวทีประลองก็ได้พบว่าที่เวทีได้ถูกเก็บกวาดจนสะอาดไปเรียบร้อยแล้ว กล่าวกันว่าอัณฑะใบนั้นได้ถูกสุนัขคาบจากไปแล้ว…
เมื่อหลี่เฮ่าได้สติขึ้นมาและได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนสลบไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจที่จะย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ต่อให้ผู้หลอมโอสถเก่งกาจเพียงใดก็ยังไม่อาจที่จะปลูกถ่ายอัณฑะอีกใบให้กลับคืนมาใหม่ได้
ถึงแม้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเหิน แต่ก็สิ่งของที่เดิมทีควรจะมีอยู่ จู่ๆ ก็ได้หายไปทำให้เขารับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหลงเฉินเอ่ยขึ้นมาก็ทำให้เขาไม่สามารถปั้นสีหน้าให้ปกติได้ สายตาจ้องมองหลงเฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย กัดฟันกรอดแล้วตอบกลับว่า “หลงเฉิน เจ้าลูกชู้ ข้าจะสู้กับเจ้าบนเวทีเป็นตายอีกครั้ง เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?”
หลงเฉินที่เคยหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ จู่ๆ ก็ถูกดูแคลนถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง เรื่องที่เหยียดหยามถึงมารดาของเขาเอง มันทำให้เขาไม่อาจที่จะกลั้นความอดทนเอาไว้ได้
“แท้จริงแล้วก็ไม่ได้คิดที่จะเอาให้ถึงตายหรอก ในเมื่อเรื่องนี้ยังทำให้เจ้ากระวนกระวายจนคิดไม่ตก ข้าก็จะทำให้เจ้าสมความปรารถนาเอง”
“ยังคงเช่นเดิม ข้าต้องการเพิ่มเดิมพัน”
หลงเฉินมองไปที่หลี่เฮ่า ในเมื่อเขาอยากตายก็ต้องตายอย่างมีราคาเสียหน่อย ในเมื่อต่างก็เป็นคนในจักรวรรดิเดียวกัน แม้จะตายก็จะไม่ให้เหลือขนแม้เพียงเส้นเดียว
“ได้ ไม่ว่าเจ้าต้องการจะพนันมากน้อยเพียงใด ข้า…หลี่เฮ่าก็จะรับไว้เอง” ภายในใจกึกก้องไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา ต่อให้มีทรัพย์สินมากมายกว่านี้ เจ้าก็คงไม่อาจมีชีวิตได้ไปใช้ หลี่เฮ่าครั้งที่แล้วหลงระเริงเกินไปจนถูกคนไร้ประโยชน์อย่างหลงเฉินฉวยโอกาสและต้องพบกับความสูญเสียเช่นนี้ เขาจะต้องไม่ผิดพลาดเช่นนั้นอีกต่อไป
ครั้งนี้ต่างไปจากครั้งที่แล้ว เขาบอกว่าจะเป็นประลองเป็นตายด้วย และการต่อสู้ครั้งที่แล้ว แม้จะทำให้อีกฝ่ายตายก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ แต่ขอเพียงอีกฝ่ายยอมแพ้ก็จะไม่สามารถที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้แล้ว
แต่ว่าการประลองตัดสินเป็นตายนั้นกลับไม่เหมือนกัน เมื่อทั้งสองขึ้นไปบนเวทีเป็นช่วงเวลาที่ต้องมอบชีวิตออกมา ต่อให้ยอมแพ้ก็เปล่าประโยชน์ ฝ่ายใดที่ได้รับชัยสามารถตัดสินความเป็นตายของอีกฝ่ายได้เลย
“ได้ พรุ่งนี้เที่ยงยามสามไปพบกันที่เวทีเป็นตาย” หลี่เฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ มองหลงเฉินคล้ายกับคนที่ตายไปแล้วก็มิปาน
หลงเฉินแอบยิ้มขึ้นในใจ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะได้เชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว เมื่อเห็นว่าหลี่เฮ่ากำลังจะจากไป หลงเฉินแสยะยิ้มบนใบหน้า “เวลาเดินเหินก็ระวังหน่อยล่ะ อย่าได้เผลอหกล้มเข้า”
เมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้นของหลงเฉิน หลี่เฮ่าหยุดเดิน ร่างกายสั่นเทาไปหมด สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขาฟังออกถึงความหมายในวาจาของหลงเฉิน
เมื่อได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ก็คล้ายกับไม่เคยได้ยินวาจาของหลงเฉินมาก่อน แล้วก็เดินต่อไปยังอีกทางหนึ่งของหอศึกษาและลับหายไป
แต่ว่าคำพูดของหลงเฉินกลับคล้ายดั่งเข็มเงินเล่มหนึ่งที่เสียดแทงเข้าไปในความรู้สึกของเขา สัมผัสจากฝ่าเท้าเมื่อตอนที่เตะเข้ามาก็ได้ทำให้เกิดความทรงจำที่กรีดแทงไปที่ดวงใจของเขา
เขาคิดที่จะเดินจากไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อเขายิ่งนึกวนเวียนถึงเรื่องนี้ก็ยากยิ่งที่จะเดินเหินให้ปกติ จนทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางนั้น
ในขณะสายตาหลายคู่จ้องมองไปที่การเดินคล้ายกับเป็ดของหลี่เฮ่าที่ห่างออกไปไกลเรื่อยๆ ก็ได้มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามายืนข้างกายของหลงเฉินพร้อมกล่าวเตือนสติ “พี่หลง เหตุใดท่านถึงต้องไปตกลงกับเขาเช่นนั้น เป็นถึงการประลองเป็นตายเชียวหนา ถึงขั้นหมายชีวิต”
“ช่างเถิด วันนี้ข้ามองดูแล้ว โหงวเฮ้งของเขานั้นมีธาตุหยินซ่อนเอาไว้อยู่ ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งความตายเหมือนกับมีพญามัจจุราชคอยตามเอาชีวิต เขาคงมีชีวิตไม่พ้นวันมะรืนหรอก ใช่แล้ว ข้ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ใคร่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า” หลงเฉินกล่าวจบ เขาก็ได้ลดเสียงลงอย่างแผ่วเบาเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง
ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการเฝ้ารอคำพูด จ้องมองกันไปมา สุดท้ายก็ยังคงเป็นเจ้าอ้วนกัดฟันแล้วกล่าวขึ้นมา “พี่หลง ในเมื่อท่านเอ่ยปากแล้ว ข้าจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ท่านก็แล้วกัน”
กล่าวจบก็ได้ยื่นบัตรใสใบหนึ่งให้กับหลงเฉิน หลงเฉินคิดไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนผู้นี้จะจิตใจกว้างขวางถึงเพียงนี้ บนบัตรมีเงินอยู่มากถึงแปดหมื่นกว่าตำลึงทอง
ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นเหล่าบุตรขุนนางเช่นเดียวกัน แต่ว่าโดยส่วนมากแล้วก็เป็นเพียงแค่ชาติกำเนิด พวกเขาไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มากมายแต่อย่างใด ในมุมมองของเจ้าอ้วนแล้วเงินทองเหล่านี้ก็ถือเป็นเงินทองที่มากมายแล้ว
“ให้ตายเถิด ข้าเองก็มีอยู่หกหมื่น เอาไปสิ”
“ข้ากลับมีอยู่น้อยหน่อย มีเพียงแค่สามหมื่น พี่หลง…นี่ก็คงสุดความสามารถของข้าแล้ว”
“ที่ข้านี่ ……”
หลงเฉินเดิมทีคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะให้ยืมถึงยี่สิบกว่าหมื่นตำลึงทองซึ่งถือว่าไม่น้อยเลย ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะยอมช่วยเหลือถึงเพียงนี้
“ทุกคน หากข้าตายไปเงินทองเหล่านี้ของพวกเจ้าก็จะเลือนหายไปกับสายธารเลยนะ” หลงเฉินมองไปที่บัตรใสบนฝ่ามือ อดไม่ได้ที่กล่าวเตือนขึ้นมา
“พี่หลงดูถูกพวกเราอยู่อย่างนั้นหรือ? พวกเราต่างก็ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ ทั้งยังได้รับการดูแคลนจากผู้คนอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่มีความพลังและความกล้าที่จะไปท้าสู้กับพวกเขา แต่ว่าการสนับสนุนเป็นสิ่งที่สามารถทำได้”
คนเหล่านี้เมื่อพบว่าหลงเฉินตบปากรับคำท้าประลองเป็นตายกับหลี่เฮ่าก็เกิดความรู้สึกนึกคิดเฉกเช่นว่ามีศัตรูร่วมกัน หลงเฉินเองต้องการความช่วยเหลือทำให้หัวสมองวูบดับไม่สั่งการ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่สนใจอีกแล้ว
หลงเฉินพยักหน้า น้ำใจครั้งนี้จะขอจดจำไว้ให้ลึกสุดหัวใจ เงินทั้งหมดยี่สิบกว่าหมื่นตำลึงทองในมือก็เพียงพอที่จะให้เขาใช้ทำอะไรบางอย่างได้แล้ว
ในเวลานั้นเอง ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ปรากฏเป็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามายังหอศึกษาอักษร จากเดิมที่อยู่ในบรรยากาศแสนคึกคักกันอยู่ บัดนี้ได้เงียบลงจนคล้ายกับป่าช้าไปทันที