ณ จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง อันเจริญเฟื่องฟูในด้านวิทยายุทธ์ การถูกท้าประลองถือเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ ดังนั้นที่นอกเมืองจักรวรรดิจึงมีเวทีสำหรับประลองอยู่แห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่มีไว้เพื่อสะสางความแค้นส่วนตัวกัน
เวทีแห่งนี้ขอเพียงทั้งสองฝ่ายยินยอมลงนามเพื่อทำการประลองเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อการประลองบนเวทีได้เริ่มต้นขึ้นต่อให้อีกฝ่ายถูกสังหารก็ไม่อาจใช้กฎบ้านกฎเมืองของจักรวรรดิในการตัดสินลงโทษได้
ตามปกติจะมีผู้คนจำนวนมากเข้าชมเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง ในวันนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่มาชมจนการต่อสู้ในแต่ละรอบจบลง รอบต่อมามีเด็กหนุ่มสองคนก้าวขึ้นเวที ซึ่งถูกจับตามองและได้รับเสียงฮือฮาจากผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีเป็นอย่างมาก
“นั่นไม่ใช่หลงเฉินหรอกหรือ? เขามาได้อย่างไรกัน?”
“นั่นคือเขา เมื่อวานที่ถูกทุบตีจนปางตาย แล้ววันนี้ทำไมยังมาอีก?”
“เหอะ คิดว่าคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว จึงได้มายังที่แห่งนี้เพื่อให้คนทุบตีจนตายอีก”
หลงเทียนเซียวเป็นถึงขุนนางเจิ้งหยวน อีกทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพอันดับหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วคนที่เรียกเขาว่าแม่ทัพใหญ่ก็มีแต่เพียงสามัญชนอายุมากที่สนทนาเกี่ยวกับการรบระหว่างเวลาน้ำชาเท่านั้น
แต่เหล่าบุคคลที่มั่งมีทั้งเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์ในจักรวรรดิกลับไม่เห็นหลงเทียนเซียวที่เคยมีฐานะเป็นเพียงสามัญชนอยู่ในสายตาเลย หากพูดถึงหลงเฉินแล้ว ผู้ที่เห็นเขาอยู่ในสายตานั้นกลับยากยิ่งกว่า
“หลงเฉิน เจ้ามันก็แค่คนไร้ประโยชน์ ยังจะมาอีกทำไม มีแต่จะเสียเวลาเปล่าไม่ใช่หรือ? ใครมันจะไปอยากดูเจ้าประลองอีก รีบไสหัวกลับไปซะ”
“ใช่แล้ว ถ้าอยากจะฆ่าตัวตายก็ไปที่ที่ไม่มีผู้คน ไม่มีผู้ใดอยากดูคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้า เสียเวลาจริงๆ”
ในเวลานี้มีผู้ชมอยู่ในสนามต่อสู้นับร้อย เมื่อเห็นหลงเฉินขึ้นเวที ทางด้านล่างเวทีที่คึกคักมาได้ช่วงหนึ่งก็อดที่จะด่าทอออกมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อหลงเฉินเอามากๆ
ทว่าในบริเวณไม่ไกลมากนักที่มุมหนึ่งของสนามประลอง มีเด็กสาวสองคนปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมหน้ากำลังจ้องมองไปยังด้านบนเวทีอย่างใจจดใจจ่อ
“นั่นไม่ใช่คู่หมั่นของเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดสารรูปถึงดูไม่ได้เลยเล่า ทั่วทั้งร่างไม่มีความสง่าเลยแม้แต่น้อย” เด็กสาวผู้หนึ่งละสายตาจากเวทีพร้อมกับกล่าวขึ้นมา
“เหอะ ยังไม่ใช่เสียหน่อย เป็นท่านพ่อตัดสินใจด้วยตัวเองต่างหาก จัดการหมั้นหมายขึ้นให้ข้าแต่งกับเขา ช่างน่าโมโหยิ่งนัก” หญิงสาวอีกนางหนึ่งได้โต้กลับมาอย่างโกรธเคือง
ด้านบนเวทีต่อสู้ หลงเฉินไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยว่าตอนนี้กำลังถูกหญิงสาวสองนางจ้องมองมาที่เขาอยู่ ส่วนเสียงกรนด่าที่ดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น เขากลับรู้สึกเมินเฉย ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย สายตาเอาแต่จ้องมองไปที่หลี่เฮ่าอย่างเย็นชา
หลี่เฮ่าชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังปั่นป่วนอยู่ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นหรือยัง? เจ้าก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีผู้ใดอยากจะต้อนรับเลยด้วยซ้ำ จงยอมรับชะตากรรมแล้วเอาหัวโขกกำแพงตายไปเสียจะดีกว่า”
หลงเฉินเพียงแต่มองไปที่เขาอย่างนิ่งเฉย ไม่ส่งเสียตอบกลับใดๆ
เคร้ง
เสียงระฆังดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต่อสู้ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นแปลว่าทั้งคู่เข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นความตายแล้ว
กลุ่มคนที่ปั่นป่วนวุ่นวายก็สงบลงได้เพราะเสียงระฆัง ถึงอย่างไรก็ตามการต่อสู้นี้อาจจะไม่ได้ตัดสินเพียงผลแพ้ชนะ ไม่แน่ว่าในบางเวลาก็อาจจะหมายถึงตัดสินชีวิตคนได้เลย
“คู่หมั้นของเจ้าดูไม่เหมือนกับผู้มีวิทยายุทธ์เลย และที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ก็เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นก่อรวมในระดับที่สามเลยนะ เจ้าไม่เป็นห่วงบ้างเลยหรือ?” เด็กสาวผู้นั้นถามออกมาอีกครั้ง
“เหอะ มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน ตายไปเสียได้ก็ดี เกี่ยวอะไรกับข้ากัน” หญิงสาวอีกคนก็ส่งเสียงอย่างแผ่วเบา ทว่าแม้ปากจะกล่าวเช่นนั้นแต่บนฝ่ามือกลับได้มีพลังประหลาดคล้ายร่างแหหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“ฮิฮิ เจ้าบอกว่าไม่สนใจเขา แต่ก็เตรียมอุปกรณ์ยุทธ์เอาไว้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังเป็นห่วงเขาอยู่ และถึงแม้เขาจะฝึกยุทธ์ไม่ได้ แต่ด้านรูปร่างหน้าตาถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าเจ้าไม่ต้องการเขาก็ยกให้ข้าเถอะนะ” เด็กสาวผู้นั้นพูดเสียงใสพร้อมหัวเราะร่าออกมา
“อย่าพูดเหลวไหล เรื่องเช่นนี้สามารถยกให้กันไปมาได้อย่างนั้นหรือ? หากเจ้าชมชอบเขาก็รอให้ถึงวันที่ข้าถอนหมั้นกับเขาก็แล้วกัน จากนั้นก็ตามแต่เจ้าจะเห็นควรเถอะ” หญิงสาวอีกคนกล่าวขึ้นมาคล้ายกับมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ฮิฮิ”
บนเวทีต่อสู้ขณะนี้หลงเฉินได้เริ่มที่จะเยือกเย็นดุจสายน้ำ ต่างจากเมื่อวานที่ได้แต่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย
“หลงเฉิน ความตายได้กล้ำกรายเข้าไปหาเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ถึงกับนิ่งเงียบไปเลยหรือ? วางใจเถิด ข้าจะเห็นแก่การเดิมพันของเจ้า วันนี้ข้าจะไม่ทุบตีเจ้าจนตายก็แล้วกัน” หลี่เฮ่ากล่าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะสะใจ
“วาจาผายลมเยอะเสียจริงนะ รีบลงมือเถิด อีกเดี๋ยวข้ามีเรื่องที่จะไปทำต่อ” หลงเฉินทนไม่ไหวจนต้องกล่าวออกมาด้วยความรำคาญ
เพราะรอบสนามเงียบสงัด ดังนั้นคำพูดที่หลงเฉินกล่าวจึงดังกระทบโสตประสาทของผู้คนทั้งหมดโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว พริบตาเดียวผู้คนทั่วทั้งด้านล่างเวทีต่อสู้ก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมากลบความเงียบงันเมื่อครู่ก่อนหน้า
“หลี่เฮ่า เจ้ายังจะรออะไรเล่า รีบไปทุบตีเจ้าคนบัดซบผู้นี้ให้ตายเร็ว ช่างทำตัวน่ารังเกียจยิ่งนัก”
แล้วคนที่รู้จักของหลี่เฮ่าก็ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
สีหน้าของหลี่เฮ่าปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและเริ่มระเบิดพลังขั้นก่อรวมระดับสามทั้งหมดออกมา แค่ก้าวเท้าเหยียบลงด้านบนของเวทีต่อสู้เพียงเล็กน้อย เขาก็พุ่งตัวออกไปถึงด้านหน้าของหลงเฉินแล้วพุ่งหมัดออกไป
หลี่เฮ่าออกกระบวนท่าไปทำให้ด้านล่างเวทีเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา ท่วงท่าของหลี่เฮ่านั้นอ่อนช้อยสวยงาม ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ชวนหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
“กระบวนเยี่ยม หมัดต้นสนหยกต้านสายลม”
ทว่าเด็กสาวสองคนในบริเวณที่ห่างออกไปนั้นมองกระบวนท่านี้ออก ต่างก็อุทานร้องเพ่ยออกมา แล้วมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้น
หลงเฉินก็ได้ยิ้มเยาะที่มุมปากเช่นเดียวกัน กระบวนท่าที่เต็มไปด้วยช่องโหว่นับร้อยคงจะมีแต่คนโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นที่จะใช้มันออกมา มีหรือที่จะสามารถนำมาต่อกรกับศัตรูได้?
หมัดได้พุ่งตรงเข้ามาที่ใบหน้าของตนราวกับหอบสายลมเข้ามาด้วยกัน แต่หลงเฉินทำเหมือนกับมองไม่เห็น เหมือนจะขยับและเหมือนจะไม่ขยับในคราเดียวกัน
“ฮ่าฮ่า เจ้าคนไร้ประโยชน์ แม้จะหลบก็ยังหลบไม่เป็นเลยนะ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มคนด้านล่างเวที
แต่ทว่าขณะที่พวกเขาส่งเสียงออกมาไม่ทันจะสุดประโยค หมัดของหลี่เฮ่าก็ได้หยุดลงก่อนจะปะทะใบหน้าของหลงเฉินราวสามนิ้ว
จากที่ส่งเสียงโห่ดังสนั่นรอบบริเวณเวทีกลับเงียบลงราวป่าช้าเพียงชั่วครู่เดียว พวกเขาเห็นว่าหลงเฉินได้ยื่นเท้าออกไปข้างหนึ่ง ฝ่าเท้าได้เตะเข้าไปที่กึ่งกลางหว่างขาของหลี่เฮ้าอย่างรุนแรง
เดิมทีใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานก็ได้มลายหายไปจากใบหน้าของหลี่เฮ่า ในเวลานี้กลับกลายเป็นสีหน้าที่ไม่ต่างจากมะเขือม่วงเลย เห็นได้ชัดว่าเท้าข้างหนึ่งของหลงเฉินได้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายขึ้นมา ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงนี้ทำให้ไม่อาจจะขยับเขยื้อนร่างกายได้เลยแม้แต่น้อย
เขาขยับไม่ได้ แต่หลงเฉินยังคงขยับได้ ในขณะที่เขาได้หยุดลงเสี้ยววินาทีนั้น มือทั้งสองข้างของหลงเฉินก็ได้คว้าไปที่ผมบนศีรษะของหลี่เฮ่า เขาออกแรงดึงกลับมาแล้วใช้หัวของเขาเองกระแทกเข้าไปเต็มๆ
ปึกปึกปึก
การเคลื่อนไหวของหลงเฉินประหนึ่งการได้ชมความงามของทิวทัศน์ เปิดเผยและชัดเจนทั้งการเคลื่อนไหวของท่วงท่าและซุ่มเสียงที่ให้ความรู้สึกลื่นหูเป็นจังหวะ
ผู้คนโดยรอบเกิดอาการเสียวฟันขึ้นพร้อมกันหลังจากได้ยินเสียงของกระดูกหัก หลี่เฮ่าได้ถูกโจมตีเข้าอย่างหนักหน่วงติดต่อกันถึงสามครา สันจมูกยุบลงจนผิดรูปทรงไปจากเดิม สายโลหิตนองเต็มใบหน้า เขาสลบเหมือดทรุดลงกับพื้นไปในทันที
ทั่วทั้งสนามในเวลานี้กลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดก็คิดว่ายอดฝีมือขั้นก่อรวมระดับสามผู้นั้นจะถูกเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีแม้แต่พลังยุทธ์ทำให้พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
อีกทั้งยังได้เลือกใช้วิธีที่สมบูรณ์แบบอย่างหมดจดที่สุด ที่สำคัญยังพ่ายแพ้โดยที่ไม่อาจทำอันใดโต้กลับอีกฝ่ายได้เลย ผู้คนกลุ่มใหญ่รู้สึกเฉกเช่นเดียวกันว่าผลลัพธ์เช่นนี้ราวกับมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นมาอย่างแรงเหมือนดั่งตบเข้าที่ใบหน้าของพวกเขาฉาดใหญ่
หรือแม้แต่หญิงสาวสองคนที่อยู่ในที่ห่างไกลก็ยังต้องทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา หลี่เฮ่าผู้นั้น ถึงแม้เมื่ออยู่เบื้องหน้าพวกนางก็ถือว่าไม่มีตัวตนอันใด อีกทั้งพวกนางยังสามารถฆ่าได้ด้วยการพลิกฝ่ามือเท่านั้น
แต่ว่ากับหลงเฉินกลับรู้สึกต่างกันออกไป ตั้งแต่เริ่มจนจบเขายังไม่ได้ใช้พลังปราณออกมาเลยแม้แต่น้อย กลับใช้เพียงวิชาการต่อยตีของคนธรรมดาเท่านั้นก็ยังล้มหลี่เฮ่าจนพ่ายแพ้ไปได้
“หลงเฉินชนะ!”
เสียงเสียงหนึ่งได้ตะโกนดังออกมาจากทางด้านล่างเวที ต้นเสียงคือชายชราผู้หนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการของเวทีต่อสู้ เขามีหน้าที่ในการจดบันทึกและควบคุมดูแล
หลงเฉินหอบหายใจออกมาอยู่หลายครา เขาเองก็ได้ใช้พลังแห่งความแน่วแน่อย่างถึงที่สุดเพื่อคอยกดรังสีสังหารภายในจิตใจ ตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสที่จะฆ่าคนแต่อย่างใด
เพียงเพราะถูกข่มเหงมาเป็นเวลานาน การระเบิดออกมาจึงยากที่จะรั้งกลับไปได้ หากเป็นสายตาจากคนภายนอกที่มองเข้ามาอาจคิดว่าหลงเฉินมือไม้อ่อนเพราะความตื่นเต้น และต้องการพักผ่อนอย่างมากก็มิปาน
กฎของสถานที่แห่งนี้ก็คือ ก่อนการประลองทั้งสองฝ่ายต่างต้องส่งมอบสิ่งของเดิมพันเอาไว้ที่ส่วนกลางก่อนเพื่อความยุติธรรม เช่นนี้ก็ไม่อาจที่จะกลับคำได้
เมื่อได้หยิบดาบล้ำค่ากลับคืนมาแล้ว หลงเฉินก็ส่งคืนให้ซือเฟิง แล้วก็นำบัตรใสใส่เข้าไปยังเสื้อของตนเอง ภายในใจก็อดที่จะรู้สึกโล่งใจไม่ได้
ถึงแม้ว่าห้าพันตำลึงทองจะไม่ได้มากมาย แต่ก็ใช้จัดการกับเรื่องที่จวนเจียนได้อยู่บ้าง ส่วนทางราชสำนักเองก็ไม่ได้ให้เงินเดือนแก่ตระกูลหลงมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ตระกูลหลงจะขัดสนถึงเพียงนี้ได้
ท่ามกลางสายตาผู้คนนับไม่ถ้วนที่มองเข้ามา ชายหนุ่มทั้งสองก็ได้เดินจากไปอย่างช้าๆ เด็กสาวทั้งสองคนเมื่อพบว่าหลงเฉินได้จากไปแล้วก็ได้ติดตามจนหายลับไป
ข่าวลือที่หลงเฉินทำให้หลี่เฮ่าพ่ายแพ้กระจายออกไปทั่วสารทิศดุจดั่งมีขางอกเงยขึ้นมาก็มิปาน พริบตาเดียวก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งจักรวรรดิ ทั้งยังต้องให้ผู้คนนับไม่ถ้วนเสียเวลาอธิบาย ว่าเหตุใดเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถใช้วิทยายุทธ์อันใดได้เลยถึงกลายเป็นผู้ที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนั้นกัน?
หลังจากที่หลงเฉินและซือเฟิงจากไปแล้ว เดิมทีหลงเฉินคิดที่จะแบ่งรางวัลให้กับซือเฟิง ทว่าซือเฟิงถึงจะถูกตีให้ตายก็ไม่ยอมรับเอาไว้ สุดท้ายจึงหาข้ออ้างว่าตนเองยังมีเรื่องที่จะต้องสะสางจึงรีบกลับไปก่อน แม้แต่จะถามว่าเหตุใดหลงเฉินถึงได้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ได้ถามออกไป
แต่หลงเฉินก็ยังคงจดจำน้ำใจนี้เอาไว้ เขามุ่งหน้าไปยังตรอกร้อยสมุนไพรทันที หลังจากที่ได้เข้าไปยังเรือนร้อยสมุนไพรแล้ว หลงเฉินจึงได้ขอรายการของสมุนไพรในที่แห่งนี้เอาไว้ชุดหนึ่ง
ที่ด้านบนก็ได้จดบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนทั้งรายชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดพร้อมกับราคา หลงเฉินได้มองไล่ไปตามสมุนไพรที่คิดว่าพอจะนำมาหลอมโอสถกักวายุขึ้นมาได้ โชคยังดีที่สมุนไพรของการหลอมโอสถกักวายุยังไม่ใช่สิ่งที่หาได้ยากจนเกินไป
ทว่าเมื่อดูไปที่ราคาแล้ว หลงเฉินรู้สึกราวกับเลือดลมตีบตัน เงินตำลึงทองเหล่านั้นของตนอาจเพียงพอแค่ซื้อส่วนผสมมาได้แค่สามชุดเท่านั้น
เขากลับไม่สามารถที่จะซื้อสมุนไพรไปได้ทั้งหมด ทั้งยังจำเป็นที่จะต้องซื้อเตาหลอมโอสถมาอีกหนึ่งเตา และยิ่งไปกว่านั้นยังจำเป็นที่จะต้องซื้อสมุนไพรตัวอื่นอีกส่วนหนึ่งด้วย ตำลึงทองที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นเหมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
แต่ว่าถ้าไม่ซื้อก็ไม่ได้ หลงเฉินกัดฟันกรอดแล้วจับจ่ายไปทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยตำลึงทองเพื่อที่จะได้เตาหลอมทองเหลืองมาหนึ่งเตา
จากนั้นก็ซื้อสมุนไพรที่จะใช้หลอมโอสถกักวายุด้วยชุดหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้ซื้อสมุนไพรอื่นอีกจำนวนมหาศาล หลังจากที่หลงเฉินออกจากตึกร้อยสมุนไพร บนบัตรใสของเขาก็เหลือเพียงแค่ห้าร้อยตำลึงทองเท่านั้น
หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน หลงเฉินรีบตรงดิ่งมายังห้องของตนเองทันที เขาปิดประตูใหญ่ลงกลอน ทั้งยังให้เป่าเอ๋อไปแจ้งต่อผู้คนทั้งหมดว่าห้ามมารบกวนเขาเด็ดขาด
เขาทราบว่ามารดาจะต้องทราบเรื่องที่ตนออกไปประลองยุทธ์มาอย่างแน่นอนจึงเกรงว่ามารดาจะเป็นห่วง เขาเลยจงใจให้เป่าเอ๋อไปขัดขวางมารดาเอาไว้ ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร มารดาก็ไม่ควรเป็นห่วงจนเกินไป
ในวันนี้เขาได้จัดสรรเวลาเอาไว้เป็นอย่างดี เขาจำเป็นที่จะต้องเร่งเพิ่มพลังฝีมือให้เร็วที่สุด ตอนนี้ตระกูลหลงอยู่ในช่วงลำบากแร้นแค้นมากที่สุด ไม่ได้ดูสมถะอย่างที่เห็นกันภายนอก หลงเฉินสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ได้
ฮูม
ภายในร่างของหลงเฉินเกิดการไหลเวียนพลังปราณขึ้น ใจกลางฝ่ามือปรากฏเป็นเพลิงกาฬขึ้นกลุ่มหนึ่ง นี่ก็คือเพลิงโอสถของผู้หลอมโอสถ ทว่าเมื่อมองไปยังกลุ่มเพลิงกาฬนั้นแล้วทำให้หลงเฉินแทบอดกลั้นหัวเราะทั้งน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพลิงกาฬกลุ่มนี้ช่างแผ่วเบาเกินไปแล้ว
เพลิงโอสถก็คือการใช้พลังปราณจากร่างกายของผู้หลอมโอสถผ่านการไหลเวียนจากเส้นลมปราณ การก่อรวมพลังแห่งเพลิงทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องใช้พลังปราณ แต่ว่าเพลิงโอสถที่หลงเฉินรวมขึ้นมาจนกลายเป็นเพลิงกาฬในตอนนี้กลับมีอุณหภูมิที่ต่ำเตี้ยเป็นอย่างยิ่ง แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเปลวไฟธรรมดาสักเท่าไหร่
อีกทั้งหลงเฉินก็พบว่าเมื่อไม่มีจุดตันเถียนคอยประคับประคอง เพลิงโอสถของตนก็ไม่อาจที่จะใช้ติดต่อกันได้ยาวนาน เรียกได้ว่าไม่เพียงพอต่อการหลอมโอสถได้ในเวลานี้
หลงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นให้กับพลังของตนเอง ยังดีที่เขายังมีแผนสำรองอยู่ หลงเฉินยังไม่ได้ทำการหลอมโอสถ เพียงแต่นำสมุนไพรยัดกลับเข้าไปภายในเตาหลอมก่อน แล้วจึงค่อยๆ หลอมขึ้นทีละขั้น ทว่าเขานั้นกลับไม่ได้ใช้เพลิงโอสถ แต่กลับเป็นไม้ฟืนในการก่อไฟ
หลังจากที่หลอมสมุนไพรทั้งหมดเสร็จแล้ว ด้านข้างของหลงเฉินมีไหใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยของเหลวโชยกลิ่นออกมา เมื่อวางพักไว้สักครู่หนึ่งหลงเฉินสูดลมหายใจเข้าไปแรงๆ ฟอดหนึ่ง
คงจะสมควรแก่เวลาแล้วที่จะเริ่มต้นหลอมโอสถกักวายุกันเสียที