เมื่อโอสถเหลวไหลผ่านเข้าไปถึงกลางท้อง หลงเฉินก็ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อชี้นำจนทำให้ยาเหลวแตกซ่าน ซึมผ่านเข้าไปถึงปลายมือและปลายเท้าทั้งสี่ที่เต็มไปด้วยเส้นโลหิตนับร้อย
ตามปกติผู้ฝึกยุทธ์ที่คิดจะดูดซับฤทธิ์โอสถต่างก็ต้องปล่อยให้มันไหลเข้าไปจนถึงใจกลางของจุดตันเถียนก่อน จากนั้นจึงค่อยกระจายฤทธิ์โอสถไปให้ทั่วร่าง แต่ว่าหลงเฉินไม่มีรากปราณ จุดตันเถียนเองก็ว่างเปล่า ไม่มีวิธีใดที่จะสามารถกักเก็บพลังเอาไว้ได้เลย
มีเพียงแต่การชักนำฤทธิ์โอสถให้กระจายไปทีละส่วนทั่วร่างกาย ถึงแม้ว่าโอสถเหล่านี้จะเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาสามัญ แต่เมื่อผ่านการหลอมจากหลงเฉินก็จะสามารถกระตุ้นผลลัพธ์ของมันให้มีประสิทธิภาพได้สูงสุด
เมื่อฤทธิ์โอสถได้ไหลเวียนเข้าสู่ร่าง รูขุมขนนับไม่ถ้วนก็ได้เปิดกว้างขึ้นอย่างช้าๆ ทุกๆ อณูราวกับว่ามีคนเกิดการสำลักออกมา และดูดซับพลังปราณระหว่างฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง
ตูม!
ภายในร่างกายของหลงเฉินเกิดเสียงปะทุดังขึ้น เส้นลมปราณเดิมที่ถูกผนึกเอาไว้ก็ได้ตื่นขึ้นมา หลงเฉินส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
เมื่อคนอื่นๆ ทำการฝึกยุทธ์ต่างก็ต้องกระตุ้นพลังจากจุดตันเถียนก่อน หลังจากนั้นจะเบิกสู่เส้นลมปราณแล้วค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ ซึ่งจะไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด
แต่หลงเฉินกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมพลังจากภายนอกประดุจการเคลื่อนย้ายน้ำในมหาสมุทรเข้ามายังท้องนา ทั้งยังมีพลังมหาศาลและรุนแรงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปจะสามารถทนได้
“เจ็บเหลือเกิน ความเจ็บปวดนี้ข้าจะขอจดจำเอาไว้!” หลงเฉินกัดฟันแน่น หากมิใช่เพราะมีคนช่วงชิงรากปราณของตนไปเขาคงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่บ้าบิ่นเช่นนี้
โครมโครมโครม…
ภายในร่างกายของหลงเฉินคล้ายจะระเบิดออกมา เส้นลมปราณถูกเบิกขึ้นทีละเส้นทีละเส้น ทุกครั้งที่มีการเบิกขึ้นมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ทุกครั้ง
เมื่อเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างถูกเบิกขึ้นจนหมด หลงเฉินก็สลบไป มันใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ จากนั้นหลงเฉินก็ค่อยๆ มีสติกลับมา
ความเจ็บปวดค่อยๆ จางหายลงไป หลงเฉินรู้สึกได้ว่ารูขุมขนทั่วร่างต่างก็ถูกเปิดออก เมื่อเขาลองหายใจเข้าออกดู พลังปราณฟ้าดินก็ค่อยๆ ที่จะถูกดูดซับเข้าไปในตัวเขาเอง
“ยอดมาก เส้นลมปราณถูกเบิกขึ้นมาแล้ว ในที่สุดข้าก็จะสามารถฝึกยุทธ์ได้เสียที”
หลงเฉินตรวจสอบร่างกายอยู่อีกครู่หนึ่ง เส้นลมปราณเมื่อถูกเบิกขึ้นมาแล้วก็จะสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้ด้วยตัวของมันเอง จนทำให้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งมากขึ้น
ถึงแม้จะเพิ่งเปิดเส้นลมปราณไปได้ไม่นาน แต่เมื่อได้ใช้มันเพื่อช่วยปรับสภาพร่างกาย ทั่วทั้งร่างของหลงเฉินก็รู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างมหาศาล
ซูม
เมื่อเขาพุ่งหมัดออกไป ก็เกิดเสียงสายลมพวยพุ่งไปพร้อมกัน บนใบหน้าของหลงเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาราวกับความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ไม่ได้สูญเปล่า
คนธรรมดาทั่วไปที่ได้ฝึกยุทธ์จะต้องเข้าสู่การสัมผัสขอบเขตของพลังให้ได้ก่อน หลังจากที่สัมผัสถึงพลังปราณได้แล้วจึงจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อรวมได้
หลงเฉินเองยังไม่อาจผ่านขีดจำกัดนั้นไปได้ จึงมีแต่ต้องใช้อีกวิธีคือการใช้ฤทธิ์โอสถเพื่อทำการเบิกรูขุมขน ชักนำพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้ามาอย่างฉับพลันให้ทะลวงผ่านเส้นลมปราณไป หากทำเช่นนี้ก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อรวมได้แล้ว
ทว่าขอบเขตขั้นก่อรวมนี้เป็นเหมือนกับการเพาะสร้างร่างกายของหลงเฉินให้แข็งแกร่งขึ้น แต่เนื่องจากไม่มีจุดตันเถียน เขาจึงไม่อาจที่จะรวมพลังขึ้นมาได้ ฉะนั้นเขาจึงไม่ใช่ขอบเขตขั้นก่อรวมอย่างแท้จริง
“ถึงแม้ว่าวันนี้จะเบิกเส้นลมปราณได้ แต่ว่าภายในจุดตันเถียนกลับมิอาจที่จะคงสภาวะของพลังที่แท้จริงเอาไว้ได้ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้ก็คงทนได้ไม่นาน”
หลงเฉินได้ทำการระลึกนึกถึงความทรงจำกว่าครึ่งวัน ทันใดนั้นภายใต้วิชาการหลอมโอสถนับไม่ถ้วน เขาก็ได้พบวิทยายุทธ์แขนงหนึ่งภายในความทรงจำของเขา——เคล็ดกายานวดารา
หลงเฉินเกิดความดีอกดีใจขึ้นมาทันทีเพราะเคล็ดกายานวดาราเรียกได้ว่ามีไว้เพื่อควบคุมสภาวะร่างกายของเขาในตอนนี้เลยก็ว่าได้ ถือได้ว่าเป็นวิชาลับอย่างหนึ่งที่สามารถเบิกความลับที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ได้ นี่เป็นการฝึกยุทธ์ที่ไม่ใช้จุดตันเถียนแต่ใช้เพียงนว (เก้า) ดาราเท่านั้น
นวดาราก็คือสิ่งเร้นลับภายในของมนุษย์ สมบัติลับทั้งเก้าที่ถูกซ่อนเร้นไว้ หากเปิดความลับทั้งเก้าออกมาก็คล้ายกับการเบิกจุดตันเถียนขึ้นมา เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลงเฉินก็สะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเมื่อได้ลองนึกถึงภายหลังจากนี้ไปแล้ว พริบตาเดียวจิตใจของหลงเฉินก็เย็นวาบ นั่นก็คือการฝึกยุทธ์เคล็ดกายานวดาราจำเป็นที่จะต้องใช้โอสถจำนวนนับไม่ถ้วน
ดาราดวงที่หนึ่ง —— ดารากักวายุ การก่อรวมดวงดารานี้จำเป็นที่จะต้องใช้พลังมากมายมหาศาล พลังอันมหาศาลที่ว่าหากใช้เพียงแค่การดูดซับพลังจากภายนอก แม้จะใช้เวลาเป็นร้อยปีก็อย่าได้หวังที่จะรวมมันขึ้นมาได้
หากคิดที่จะก่อรวมดาวดวงที่หนึ่งจำเป็นต้องใช้โอสถปริมาณมากมายเกินกว่าที่ผู้คนจะสามารถพรรณนาถึงจำนวนของมันได้ ไม่เช่นนั้นก็แทบจะมิอาจฝึกยุทธ์ได้เลย
อีกทั้งในตอนนี้สถานภาพของตระกูลหลงถือได้ว่าแร้นแค้นจนถึงจุดต่ำสุดจึงไม่อาจที่จะมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะไปสรรหาโอสถมากมายเหล่านั้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นโอสถชิ้นที่เขาได้ใช้ไปก่อนหน้านั้นยังไม่อาจเรียกว่าเป็นโอสถได้เลยด้วยซ้ำไป
“ต้องคิดวิธีหาเงินเสียหน่อยแล้ว”
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ได้จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากประตูห้องไปจนบัดนี้ก็ได้ผ่านพ้นไปจนถึงเวลากลางวันแล้ว จวนขุนนางขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็ยังมีเพียงเงาของผู้คนเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่วังเวงเป็นอย่างยิ่ง
บิดาของหลงเฉินคือขุนนางเจิ้งหยวนโหว เขารักษาการณ์อยู่แนวชายแดนมาโดยตลอด หลายปีมานี้หลงเฉินสองแม่ลูกแทบไม่ได้รับการเหลียวแลจากจักรวรรดิเลย แม้ว่าจะมีบรรดาศักดิ์สูงส่งเพียงใดแต่ก็ประสบกับความลำบากอย่างที่สุด ทั่วทั้งจวนมีเพียงผู้รับใช้สิบกว่าคนเท่านั้นเพราะว่าหากมีคนเยอะก็เลี้ยงดูไม่ไหว
กล่าวคือในบรรดาชนชั้นขุนนางทั้งหมดตระกูลหลงถือได้ว่าเป็นตระกูลที่แร้นแค้นมากที่สุด และในบรรดาบุตรขุนนางหลงเฉินก็เป็นผู้ที่น่าเวทนาเสียยิ่งกว่าใครทั้งปวง
จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงเฟื่องฟูในด้านวิทยายุทธ์เป็นอันมากผู้คนต่างก็มีวิทยายุทธ์ติดตัว แต่หลงเฉินกลับมีร่างกายที่พิเศษอยู่ นั่นก็คือไม่อาจที่จะฝึกยุทธ์ได้และยังกลายเป็นตัวตลกที่น่าขบขันของผู้คนเหล่านั้นอีกด้วย
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือบิดาของหลงเฉินอันมีนามว่าเทียนเซียว ผู้ซึ่งเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิ เขารักษาการณ์แนวชายแดนที่มักจะต้องเผชิญกับชนเผ่าแสนร้ายกาจมากมาย ซึ่งเขาก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนบังอาจย่างกรายเข้ามายังจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงแม้เพียงครึ่งก้าว
หลงเทียนเซียวคือยอดแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งยุคของจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง แต่หลงเฉินกลับกลายเป็นเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ไม่อาจเข้าถึงพลังได้จนทำให้ผู้คนกล่าวขานว่าบิดาพยัคฆ์ที่มีบุตรสุนัข
ผู้คนมากมายต่างเย้ยหยันและประนาม หลงเฉินก็ไม่เคยเก็บมาคิดใส่ใจ แต่เมื่อหลายวันก่อนบุตรชายของขุนนางฝ่ายการคลังโจวเย้าหยางกลับเยาะเย้ยหลงเฉินว่าเป็นลูกชู้ของหลงเทียนเซียว
หลงเฉินในเวลานั้นได้เกิดโมโหโกรธาขึ้นมา นั่นก็เหมือนเป็นการบ่งชี้ทางอ้อมว่ามารดาของเขาคบชู้สู่ชาย หลงเฉินจึงถูกโทสะเข้าครอบงำจิตใจชั่ววูบหนึ่ง แม้ว่าจะต้องสู้กับอีกฝ่ายก็ตาม
ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังก่อรวมถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว แต่เขากลับเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่แม้แต่การรวมพลังขึ้นมาก็ยังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
หลงเฉินถูกทุบตีจนสะบักสะบอมแล้วสลบคาที่ ข่าวถูกส่งกลับไปยังตระกูลหลง นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้นหลงเฉินก็ได้กลายเป็นประเด็นให้ผู้คนเยาะเย้ยไปทั่วทั้งจักรวรรดิ
เมื่อได้ออกมาจากจวน หลงเฉินก็วิ่งตะบึงไปที่ตรอกร้อยสมุนไพร ที่นั่นนับได้ว่าเป็นแหล่งที่มีสมุนไพรอันทรงคุณค่ามากมายหลายชนิด เขาจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจถึงสภาพการณ์โดยรวมของแหล่งสมุนไพรก่อน
ตลอดรายทางมีผู้คนไม่น้อยที่เมื่อเห็นหลงเฉินเดินผ่านก็พากันซุบซิบนินทาตามหลัง แต่หลงเฉินกลับรู้สึกชินชากับท่าทางเหล่านั้นไปเสียแล้ว
ในเวลาเดียวกันก็อดที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาภายในใจไม่ได้ บิดาของตนเองเป็นถึงขุนนางเจิ้งหยวนที่รักษาการณ์แนวชายแดนก็เพื่อจะให้ทั่วทั้งจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงไม่ได้รับผลกระทบจากข้าศึก
แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนกลับมานั้นเล่า? พวกเขาสองแม่ลูกถูกดูแคลนอยู่บ่อยครั้ง ตนเองถูกทุบตีจนเกือบปางตาย นี่หรือคือการตอบแทน? กลุ่มคนที่บิดาคอยปกป้องคุ้มครองอยู่กลับดูถูกตน นี่มันคือการตอบแทนอย่างนั้นหรือ?
หลงเฉินรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่หวั่นเกรงต่อการถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี แต่ว่าในเวลานี้เส้นทางที่เขากำลังตรงไปกลับถูกกลุ่มคนขวางทางเอาไว้
“เอ๊ะ นี่มิใช่คุณชายหลงเฉินหรอกหรือ? ได้ยินมาว่าถูกทุบตีจนแม้แต่มารดาของตัวเองก็ยังจำไม่ได้ เหตุใดวันนี้ถึงได้กระโดดโลดเต้นออกมาได้กันนะ”
ที่ด้านหน้าของหลงเฉินมีเด็กหนุ่มสวมชุดหรูหรา อายุสิบหกสิบเจ็ด นำพาผู้คุ้มกันมาสองคน เขามองไปทางหลงเฉินด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
คนผู้นี้เป็นบุตรของตระกูลขุนนางเช่นกัน นามว่าหลี่เฮ่า ทว่าตำแหน่งกลับมิได้สูงอะไรมากนัก ทางด้านสถานะก็มิอาจเทียบกับหลงเฉินได้ แต่ว่าในจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง เรื่องของบรรดาศักดิ์กับสถานะภาพกลับไม่ได้มีความสำคัญเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือพลังนั่นเอง
ขณะนี้หลี่เฮ่ายืนขวางอยู่ตรงกลางของถนนพอดิบพอดี ถ้าหากหลงเฉินมุ่งหมายที่จะผ่านไปก็จำเป็นที่จะต้องหลบไปทางด้านข้างของชายผู้นี้
ถ้าหากเขาเป็นหลงเฉินคนก่อนนั้นคงจะสะบัดหน้าแล้วเดินจากไปแล้ว แต่ว่าหลงเฉินในวันนี้ที่กำลังยืนมองดูหลี่เฮ่าได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาแล้วถอนหายใจก่อนกล่าวว่า
“เขาว่ากันว่าสุนัขที่ดีจะไม่ขวางทาง ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะมิใช่สุนัขตัวนั้นนะ”
“หลงเฉิน ดูเหมือนว่าครั้งก่อนเจ้ายังถูกสั่งสอนไม่พอสินะ ยังอยากจะถูกทุบตีจนปางตายถึงขั้นหามลงมาจากสนามประลองอีกอย่างนั้นหรือ?” หลี่เฮ่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปก่อนจะกล่าววาจาเย้ยหยันออกมา
“ดังนั้นถึงได้บอกว่าเจ้าเป็นได้แค่สุนัขตัวหนึ่งไง ก็เหมาะแล้วที่จะตามติดสูดดมกลิ่นผายลมของโจวเย้าหยางไง” หลงเฉินส่ายหน้าช้าๆ อย่างรู้สึกละอายกับคนผู้นี้ เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลาด้วย เขาจำเป็นที่จะต้องไปทำเรื่องที่สำคัญกว่า อย่างไรก็ดีต้องเดินผ่านเขาไปให้ได้
“หลงเฉิน เจ้ารนหาที่ตาย”
หลี่เฮ่าอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราด เขาคิดไม่ถึงว่าคนอ่อนแออย่างหลงเฉินจะดื้อด้านถึงเพียงนี้ แทบจะไม่เห็นเขาอยู่เลยสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาได้ยื่นมือขวางหลงเฉินเอาไว้
หลงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังเปิดปากจะกล่าววาจา จู่ๆ ก็มีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นทางด้านข้างของหลี่เฮ่าแล้วด่าทอเสียยกใหญ่ “หลี่เฮ่า เจ้าก็รนหาที่ตาย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันถึงได้หาญกล้ามาข่มเหงพี่น้องของข้าเยี่ยงนี้”
ผู้ที่เพิ่งมาใหม่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ลักษณะคล้ายคนอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด แต่ว่ากลับมีร่างกายที่สูงยาวราวเก้าฉื่อ (ฟุต) เมื่อเทียบกับทั้งสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็สูงกว่าถึงหนึ่งศีรษะ
“ซือเฟิง นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเสียจะดีกว่า”
หลี่เฮ่าเมื่อเห็นซือเฟิงก็ร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ซือเฟิงก็เป็นบุตรขุนนางผู้หนึ่ง และมีบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากับเขา แต่ว่าซือเฟิงกลับสามารถเป็นยอดฝีมือขั้นก่อรวมระดับที่แปดแล้ว แต่หลี่เฮ่าเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขั้นก่อรวมระดับที่สามเท่านั้น
นอกจากนี้ซือเฟิงเองก็ยังมีพลังมหาศาลมาตั้งแต่กำเนิด โดยส่วนมากถ้าพูดถึงระดับเดียวกันแล้ว น้อยนักที่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ เขาจึงไม่มีความหาญกล้าพอที่จะท้าทายซือเฟิง
“หลงเฉิน ได้ยินมาว่าเจ้าถูกเจ้าลูกเต่าโจวเย้าหยางคนนั้นทุบตี สหายอย่างข้าจะช่วยเจ้าล้างแค้นเอง” ซือเฟิงมองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคียดแค้น
หลงเฉินมองไปยังชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้นี้ก็เกิดบังเกิดความอบอุ่นขึ้นมาในจิตใจ ท่ามกลางทั่วทั้งจักรวรรดิแห่งนี้ซือเฟิงถือเป็นเพียงคนเดียวที่ปฏิบัติกับเขาเฉกเช่นพี่น้องในสายโลหิตของเขาเอง
“ไม่เป็นไร ความแค้นของข้า ข้าต้องชำระด้วยตัวข้าเอง เจ้าวางใจเถอะ” หลงเฉินฉีกยิ้มเล็กน้อย เขาตบไปที่หัวไหล่ของซือเฟิง
ซือเฟิงเมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกว่าหลงเฉินน่าจะกลัวขายหน้า เขาจึงไม่ได้คิดที่จะเอ่ยถึงประเด็นดังกล่าวขึ้นมาอีก
“ไปกันเถอะ ไปเดินเล่นกับข้ากัน” หลงเฉินยิ้มกว้างขึ้นแล้วพาซือเฟิงเดินจากไป
หลี่เฮ่าเห็นว่าทั้งสองคนทำเหมือนเขาเป็นเพียงแค่อากาศธาตุก็เกิดโทสะจนโพล่งคำด่าออกมา “หลงเฉิน เจ้าลูกชู้ ถ้าเจ้าแน่จริงก็ไปสู้กับข้าที่สนามประลองกันสักรอบสิ”
หลงเฉินที่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเท้าลงกะทันหัน ใบหน้าชาซ่าน ดวงตาเปี่ยมไปด้วยรังสีอำมหิต เขาหันศีรษะกลับมาช้าๆ
“เจ้าคิดที่จะท้าประลองกับข้าอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจดั่งน้ำแข็งจากขั้วโลกก็มิปาน ทำให้ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินรู้สึกหนาวสั่นเข้ากระดูกดำไปตามกัน
หลี่เฮ่าถึงขั้นต้องกระตุ้นพลังปราณขึ้นเพื่อต่อต้านพลังอันเย็นยะเยือกนั้น เขารู้สึกได้ว่าหลงเฉินในวันนี้มีหลายอย่างที่ดูแปลกไปจากแต่ก่อน แต่ในเมื่อเอ่ยวาจาพล่อยๆ แสนใหญ่โตออกไปแล้ว หากขลาดเขลาขึ้นมาในเวลานี้ เขาคงจะกลายเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งจักรวรรดิเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายรังแกหลงเฉินมาตลอด เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเคยชิน ตอนนี้เองความหวาดกลัวกลับบังเกิดขึ้นภายในจิตสำนึกขึ้นมาทีละนิดทีละน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ถูกแล้ว เจ้าจะกล้ารับคำท้าของข้าไหมล่ะ?” หลี่เฮ่าตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
หลงเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไป “ไม่มีปัญหา แต่ว่าข้าต้องการวางเดิมพันด้วย”
“วางเดิมพันอย่างนั้นหรือ? ฮ่าฮ่า ตระกูลหลงของเจ้าแทบจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าจะเอาสิ่งใดมาเดิมพันกับข้ากันล่ะ? ใช้บ้านตระกูลหลงของเจ้า หรือไม่ก็ถ้าเจ้าพ่ายแพ้ต่อข้า จะมาเป็นข้ารับใช้ของข้าแทน ข้าก็ไม่ว่านะ” หลี่เฮ่าพูดพร้อมกับหัวเราะเย้ยหยัน
แต่ทว่าเขากลับไม่ได้สังเกตเห็นมุมปากของหลงเฉินที่กำลังปรากฏรอยยิ้มขึ้น รอยยิ้มที่แอบแฝงไปด้วยความเย็นชาอยู่ไม่น้อย
“ซือเฟิง ให้ข้ายืมดาบล้ำค่าของเจ้าได้หรือไม่?” หลงเฉินถาม
“เอาไปสิ”
ถึงแม้ซือเฟิงจะนึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ว่าก็ยอมยื่นดาบยาวส่งให้ไป
หลงเฉินพยักหน้าและจดจำน้ำใจในครั้งนี้เอาไว้ เขากล่าวต่อหลี่เฮ่าว่า “ดาบล้ำค่าเล่มนี้ ถึงแม้จะมิใช่สมบัติที่สูงส่ง แต่ก็น่าจะมีราคาค่างวดกว่าแปดพันตำลึงทอง วันนี้ข้าขอใช้มันแทนห้าพันตำลึงทอง ถ้าเจ้าชนะก็เอาดาบล้ำค่าเล่มนี้ไปได้เลย แต่หากเจ้าแพ้ก็ต้องให้ข้าห้าพันตำลึงทองเช่นกัน ว่าอย่างไรล่ะ?”
หลี่เฮ่าแสดงสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมาทันที ดาบของซือเฟิงถูกตีขึ้นมาจากเหล็กกล้าบริสุทธิ์ ทั้งยังมาจากช่างฝีมือชื่อดังของจักรวรรดิ แปดพันตำลึงทองนั้นย่อมต้องถือว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน
เจ้าคนโง่งมอย่างหลงเฉินถึงกับกล้าใช้สิ่งของล้ำค่าเยี่ยงนั้นมาเดิมพัน เมื่อคิดเช่นนั้นในใจของเขาจึงบังเกิดความรู้สึกเบิกบานขึ้น
เขากล่าววาจาเย้ยหยันต่อ “ข้าอยากจะรู้ว่าหลังจากที่สหายของเจ้าได้พ่ายแพ้ต่อข้าแล้ว จะมีการกลับคำมิยินยอมชำระบัญชีหรือไม่?”
“วางใจเถอะ ข้า…ซือเฟิง พูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้นมาโดยตลอดอยู่แล้ว” ซือเฟิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าว
“ได้ เช่นนั้นก็ไปลงชื่อนัดประลองกันเถิด วันนี้ถ้าไม่ได้ทุบตีเจ้าจนฟันร่วงหมดปาก อย่าได้เรียกข้าว่าหลี่เฮ่าอีกเลย” หลี่เฮ่าแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่และเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีดีอกดีใจ
หลงเฉินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ภายในแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา หลี่เฮ่าเป็นแค่เพียงสุนัขข้างกายของโจวเย้าหยางเท่านั้น หลงเฉินไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ทว่าแท้จริงแล้วที่พวกเขาเจาะจงมุ่งเป้ามาที่ตนนั้นเพื่อแผนการร้ายอันใดกันแน่?
แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนการร้ายอันใดก็คงต้องมีสักวันที่เหมือนหยาดน้ำกัดเซาะหิน หลงเฉินได้เดินมุ่งหน้าไปทางเวทีต่อสู้ที่อยู่นอกเมือง