ในมุมหนึ่งที่ห่างไกลออกไปบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ มีผืนแผ่นดินที่ผู้คนเชื่อกันว่าพังเสียหายเพราะสะเก็ดดาวพุ่งชน ที่นั่นเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกจากหลุมขนาดใหญ่เพียงหลุมเดียว
พืชพรรณที่เคยเจริญเติบโตขึ้นที่นี่เหี่ยวเฉาและตายไปหมดแล้ว รัศมีของความตายลอยคลุ้งไปในอากาศ คอยขับไล่ไม่ให้อสูรร้ายย่างกรายเข้ามาใกล้ เอกลักษณ์ของผืนแผ่นดินนี้ดึงดูดผู้ฝึกตนหลายคน แต่ไม่ว่าผู้ฝึกตนที่เข้ามาสำรวจจะตรวจดูทั้งบนดินและใต้ดินอย่างละเอียดขนาดไหน พวกเขาก็ต่างต้องกลับไปมือเปล่าด้วยกันทั้งสิ้น
ราวกับว่าไม่มีใครมองเห็นโลงศพแม้ว่ามันจะนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็ตามที ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะคิดเช่นใดกับดินแดนบริเวณนั้นและเชื่อว่าสะเก็ดดาวเป็นสาเหตุของความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มจะสนใจพื้นที่บริเวณนั้นน้อยลง
แต่ตอนนี้…ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่ในโรงเตี๊ยมในตลาด ขณะที่หน้ากากสุกรล่องลอยอยู่ตรงหน้า เสียงที่เปล่งออกมาจากหน้ากากนั้นเดินทางไกลกระทั่งไปถึงร่างจริงของชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ในโลงศพใต้ดิน ก่อนจะก้องสะท้อนอยู่ในศีรษะ!
เสียงนั้นฟังดูชัดเจนยิ่ง ราวกับมีใครมากระซิบที่ข้างหูก็ไม่ปาน ร่างจริงของหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นทันที สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง การที่เสียงของปรมาจารย์แห่งไฟทะลุผ่านโลงศพเข้ามาได้แปลได้อย่างเดียวว่า…บุรุษผู้นั้นต้องแข็งแกร่งทัดเทียมศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่อแน่นอน!
เสียงนั้นทำให้ใครอีกคนสั่นไหวเช่นกัน หน้ากากที่มีแม่นางน้อยอยู่ภายใน ซึ่งหวังเป่าเล่อเก็บไว้บนร่างจริงสั่นไหวอยู่เบาๆ เหมือนว่าแม่นางน้อยเองก็กำลังจะตื่นขึ้นเช่นกัน
สถานการณ์นี้ทำให้ร่างจริงของหวังเป่าเล่อนิ่งคิดอย่างเงียบงันไปพักใหญ่ จากนั้นดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มก็ปิดลงอีกครั้ง ไกลออกไปในโรงเตี๊ยมแห่งเดิม ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อยังคงตกตะลึงอยู่ หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างจริง หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้มคำนับต่ำให้หน้ากากสุกร
ชายหนุ่มยืดหลังตรง ยกแขนขึ้น และถือหน้ากากเอาไว้ในมือ มีชั่วอึดใจหนึ่งที่เขาแสดงความลังเลใจออกมาทางแววตา ทว่าในที่สุดหวังเป่าเล่อก็สวมหน้ากากจนได้
ทันทีที่สวมหน้ากาก พลังอำนาจมหาศาลก็ไหลบ่าออกมาจากหน้ากากนั้น มันไม่ได้ตรวจสอบหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่กลับแผ่ปกคลุมกายชายหนุ่มอย่างรวดเร็วก่อนจะฉุดกระชากเขาอย่างรุนแรง
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนกำลังสูญเสียการควบคุมร่างกายไปพร้อมๆ แรงกระชากที่รุนแรงนั้น ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มก็หายตัวไปจากห้องในโรงเตี๊ยม
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ไม่มีพลังงานใดที่บ่งบอกว่าเคยมีการเคลื่อนย้ายหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไร แม้จะมีวงแหวนปราณทรงพลังรายล้อมโรงเตี๊ยมอยู่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ราวกับว่าจู่ๆ หวังเป่าเล่อ…ก็หายตัวไปเสียอย่างนั้น!
ในวินาทีต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นอีกครั้ง เขาก็มาถึง… ณ โลกแห่งใหม่แล้ว!
เรียกว่าโลกอาจไม่ถูกนัก เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพังซ้อนทับกันจนไกลสุดลูกหูลูกตา มันให้ความรู้สึกเก่าแก่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูโบราณและผุกร่อนเพราะกาลเวลา
ดวงดาวพร่างพรายเกลื่อนท้องฟ้า ในขณะที่ซากปรักหักพังกองเกลื่อนพื้นดิน หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนซากอาคารที่เคยมีรูปร่างคล้ายดาบตะขอ ซากปรักหักพังเหล่านี้ดารดาษอยู่รอบกายชายหนุ่ม ร่างหลายร่างที่สวมหน้ากากแตกต่างกันไปปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ
หน้ากากบางชิ้นก็เป็นใบหน้าของวัว ปลา หรือม้า มีไม่น้อยที่เป็นใบหน้าอสูรซึ่งหวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้มีคนสวมหน้ากากมากกว่าสองร้อยคน และเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น ก็เริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมและประเมินผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทันที
หวังเป่าเล่อถึงกับผงะไป ชายหนุ่มตรวจสอบดูแล้วพบว่าไม่อาจสัมผัสรัศมีของใครได้เลย เขาไม่อาจบอกระดับปราณของคนเหล่านั้นได้เช่นกัน แม้เขาจะมองเห็นร่างเหล่านั้นได้อย่างคมชัดด้วยสายตา แต่เมื่อใช้สัมผัสสวรรค์มองกลับเห็นได้ไม่ชัดเจน แม้ไม่ถึงขั้นไร้ตัวตนแต่ก็ดูพร่ามัวไม่น้อย
ต้องเป็นเพราะหน้ากากแน่ๆ! หวังเป่าเล่อยกมือสัมผัสหน้ากากบนหน้าพลางครุ่นคิด ชายหนุ่มสรุปได้คร่าวๆ จากท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมา
ตัวอย่างเช่น…ผู้เข้าร่วมส่วนมากมีนัยน์ตาที่กระหายความรุนแรงและบ้าคลั่ง ดูป่าเถื่อนเหมือนคุ้นชินกับการฆ่าฟันเป็นอย่างดี การที่พวกเขาเลือกเข้าร่วมภารกิจนี้แปลว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง และต้องมีเหตุผลที่มาสมัครอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย…รางวัลที่ปรมาจารย์แห่งไฟเสนอให้นั้นก็มากพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อสนใจได้ ดังนั้นคนอื่นๆ ก็คงต้องสนใจไม่แพ้กัน
ขณะที่พวกเขากำลังเขม่นกันอยู่ไปมานั่นเอง จู่ๆ ก็มีแสงส่องขึ้นมาจากบริเวณซากรอบๆ กาย แสงนั้นเจือจาง หากว่าส่องขึ้นมาจากจุดเดียวก็คงยากที่จะมองเห็น แต่พวกมันกลับส่องขึ้นมาพร้อมๆ กันราวกับเป็นดาวตก แสงนั้นดูคล้ายแสงดาวอยู่ไม่น้อย มันหลั่งไหลออกมาจากทั่วทุกมุมและมารวมกันต่อหน้าทุกคน
แสงดังกล่าวเบาบางมากตั้งแต่แรก จึงไม่ได้สว่างมากนักถึงแม้จะมารวมกันเป็นจุดเดียว แต่เมื่อมีแสงมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก้อนแสงก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นทุกที พลังมหาศาลก่อตัวขึ้นด้านในก้อนแสงนั้น มันสั่นสะเทือนพื้นดินและค่อยๆ ห่อหุ้มโลกเอาไว้
ทุกคน รวมทั้งหวังเป่าเล่อต่างก็ตกตะลึง พวกเขารีบก้มลงมองพื้น ราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าเทพยดา แม้แต่คนที่ก้าวร้าวที่สุดในหมู่พวกเขาก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวลง แสดงท่าทีเคารพนบนอบทันที
หวังเป่าเล่อเองก็ทำเช่นกัน เขาก้มศีรษะลงต่ำขณะนึกสงสัยว่าใครกันที่ทรงพลังกว่า ระหว่างสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากับศิษย์พี่เฉินชิงของเขา ชายหนุ่มคิดว่าศิษย์พี่ของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็คงไม่มากเท่าใด
รัศมีเดียวที่สามารถทำลายสิ่งนี้ได้…น่าจะเป็นรัศมีที่ออกมาจากการอ่านบทสวดแห่งเต๋าเท่านั้น หวังเป่าเล่อหรี่ตาคิดขณะที่ยังก้มศีรษะลงต่ำ ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเหลือเกินในจักรวาลที่ไพศาลนี้ ไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่ามดปลวกเสียด้วยซ้ำ
บัดซบ ข้าอ่อนแอจริงๆ ข้อสรุปนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบายใจเอาเสียเลย ชายหนุ่มสงสัยว่าจะมีถ้อยคำอื่นใดที่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้บ้างหรือไม่ ขณะนั้นเอง น้ำเสียงแก่ชราและไร้อารมณ์ก็ดังออกมาจากก้อนแสงสว่างจ้าซึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้าทุกคน
“อย่างแรก ภารกิจนี้เริ่มตั้งแต่ที่พวกเจ้ามายืนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ และจะคงอยู่ต่อไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อเวลาหมดลง ข้าจะส่งผู้ที่ยังมีชีวิตรอดกลับไป
“อย่างที่สอง เป้าหมายของภารกิจคือการสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าจะได้รับคะแนนตามจำนวนที่เจ้าสังหารได้และระดับปราณของพวกเขา เมื่อเจ้ากลับไป ก็จะได้รับผลึกสีชาดตามคะแนน จงจำเอาไว้ว่า…จำนวนผลึกสีชาดที่แจกเป็นรางวัลนั้นมีไม่จำกัด!
“อย่างที่สาม หน้ากากนั้นซ่อนตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้าเอาไว้ และยังบอกตำแหน่งของพวกเจ้า เพื่อให้ข้าเคลื่อนย้ายพวกเจ้ากลับไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าใส่คาถาเอาไว้บนหน้ากากทุกชิ้นซึ่งเป็นคล้ายคำสาป มันจะทำให้ผู้ฝึกตนที่มีปราณต่ำกว่าระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์อ่อนกำลังลง ทำให้ระดับปราณร่วงลงหนึ่งระดับ!
“ยิ่งเป้าหมายของเจ้าบาดเจ็บมากเท่าใด คำสาปนี้ก็ยิ่งส่งผลรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่จะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และผลของคำสาปจะคงอยู่แค่สิบห้านาที!”
“คำเตือนข้อสุดท้าย ห้ามทำหน้ากากหายเป็นอันขาด หากเจ้าทำหายข้าก็จะช่วยเจ้าไม่ได้อีกต่อไป” ทันทีที่เสียงในก้อนแสงพูดจบ ก้อนแสงก็สั่นไหวอย่างรุนแรงโดยไม่รอให้ใครได้ตอบสนอง ก้อนแสงสว่างเจิดจ้าสลายตัวออกปกคลุมโลกทั้งหมด ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน หน้ากากบนใบหน้าทอประกาย ก่อนที่พวกเขาจะถูกกระชากไปข้างหลังอีกครั้ง
ภายในพริบตาเดียว ทุกคน…ก็หายตัวไปอีก!
ภารกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
การเคลื่อนย้ายครั้งที่สองดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าครั้งแรก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด เขารู้สึกราวกับว่าวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างกระนั้น จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นไหว สตินึกคิดก็ตื่นตามมา ราวกับหลับลึกไปอย่างยาวนาน ชายหนุ่มลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏบนคลองจักษุก็คือ…ท้องฟ้าสีแดงและแผ่นดินสีขาว!
ท้องฟ้าเป็นสีเลือด เพราะดวงอาทิตย์ของที่นี่เป็นสีโลหิตนั่นเอง!
ทะเลทรายเป็นสีขาว ไม่ได้รับเอาสีจากท้องฟ้ามาด้วย สีสันของพวกมันตัดกันรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสายลมและพืชพรรณที่รายล้อมอยู่ก็แปลกประหลาดจากที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นเป็นอย่างมาก!
สายลมไม่ได้โปร่งใส พวกมันเป็นเหมือนหมอกที่พัดผ่านทะเลทรายอยู่ไปมา ในขณะที่พืชพรรณก็เป็นสีดำสนิท ดูราวกับเป็นกลไกการป้องกันตัวจากดวงอาทิตย์สีโลหิตที่พืชเหล่านี้พัฒนาขึ้น
ทันทีที่หวังเป่าเล่อมองเห็นได้ชัดเจน ชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ออกมาให้ห่างผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาส่วนมากก็ทำเช่นเดียวกัน ต่างพากันถอยหลังและสร้างระยะห่างจากผู้อื่น ความระแวดระวังและดุร้ายฉายกล้าอยู่ในแววตาของทุกคน ราวกับเป็นอสรพิษที่แยกเขี้ยวเพื่อแสดงความร้ายกาจของตนออกมา พวกเขาต่างก็ต้องการให้คนอื่นๆ รู้ว่าไม่ควรเข้ามาวุ่นวายด้วย
มีแค่ไม่กี่คนที่ไม่ขยับตัว คนพวกนี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับว่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ บุรุษร่างสูงบึกบึนสวมเสื้อคลุมสีเขียวคนหนึ่ง เฝ้ามองผู้ฝึกตนที่รายล้อมรอบกายด้วยสายตาหยามเหยียด
“พวกขยะไร้ประโยชน์ ข้าไม่สนว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมภารกิจกันหรือไม่ จำไว้ อย่าตามข้ามา และอย่าเข้ามาแย่งเหยื่อไปจากข้า มิเช่นนั้น…จะให้ฆ่าคนเพิ่มอีกหน่อยข้าก็ยินดี!”
………………………..