เมื่อได้ฟังการอธิบายอย่างละเอียดจากหลิงชาน ผู้ฝึกตนหญิงของอารยธรรมไม้เถา หวังเป่าเล่อก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก เขามองผู้ฝึกตนหญิงเบื้องหน้าก่อนจะพูดพึมพำขึ้น “ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ”
หวังเป่าเล่อรู้สึกเปิดโลกมากยิ่งขึ้น ทางเดียวในการแลกเปลี่ยนศิลาพืชคือสืบสายเลือดทิ้งไว้ในอารยธรรมไม้เถา เนื่องจากอารยธรรมไม้เถาคือสังคมหญิงเป็นใหญ่จึงต้องคอยตามหาสายเลือดอยู่เสมอ พวกนางตามหาสายเลือดของสิ่งมีชีวิตที่ดีเยี่ยมทั้งหลายในจักรวาลเพื่อมาผสานเข้ากับสายเลือดในอารยธรรม ทำให้อารยธรรมมีพัฒนาการรวมถึงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุด
ถึงจะดูเป็นวิธีที่โบราณคร่ำครึ แต่อารยธรรมไม้เถาก็มีตัวตนกล้าแกร่งระดับดารานิรันดร์ เห็นได้ชัดว่าเหนือชั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับสหพันธรัฐ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอะไรมาก ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อคิดได้ดังนั้น จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีอารยธรรมมากมายหลายหลาก รวมถึงมีเส้นทางในการพัฒนาที่หลากหลายซึ่งคนภายนอกไม่สามารถเข้าใจได้
เพียงแค่ว่า…หลังจากชายหนุ่มถามราคาอย่างถี่ถ้วน เขาก็มองแผ่นหยกในมือและพบว่าการจะแลกเปลี่ยนทรัพยากรในจำนวนที่ต้องการนั้น จำเป็นต้องมีศิลาพืชอย่างน้อยหลายแสนก้อน…
ถึงจะลดจำนวนที่ต้องการลงจนต่ำสุดแล้วก็ยังต้องใช้ศิลาพืชถึงหมื่นก้อนด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้น…การจัดหาวัตถุดิบมาไว้ในครอบครองจะถือเป็นเรื่องยากมาก เพราะสารัตถะวิญญาณธรรมดาสามารถแลกศิลาพืชได้เพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น
“เจ้าสนใจจะแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมไม้เถาใช่หรือไม่” หลังจากบอกทุกเรื่องที่ชายหนุ่มต้องการทราบไปแล้ว หลิงชานก็หันไปมองหวังเป่าเล่อและพูดขึ้นด้วยแววตาคาดหวัง
ทว่าทันทีที่นางพูดจบ และหวังเป่าเล่อยังไม่ทันจะได้ตอบกลับ สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไปเหมือนว่าได้ยินอะไรบางอย่าง ราวกับว่าตัวตนทรงอำนาจได้ส่งข้อความเสียงมาหา ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจากจักรวาลจ้องผ่านร่างกายของเขาอย่างละเอียด
หวังเป่าเล่อตื่นกลัวขึ้นมา สีหน้าของหลิงชานดูผิดหวัง นางหันมองร่างกายชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
“สหายเต๋า ร่างกายของเจ้านั้นพิเศษออกไป…ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ตรงคุณสมบัติของเรา” หลังจากกล่าวอย่างมีชั้นเชิง หลิงชานก็หันไปมองเจ้าอู๋น้อยที่คอยก้มหัวและแอบอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อมาตลอดด้วยตาเป็นประกาย
“แต่…สหายเต๋าคนนี้มีคุณสมบัติตรงตามที่อารยธรรมไม้เถาต้องการ ถ้าเขายินยอม เราจะให้ศิลาพืชสองก้อนต่อสารัตถะวิญญาณหนึ่งส่วน!”
เมื่อหลิงชานพูดจบ สีหน้าของเจ้าอู๋น้อยก็เปลี่ยนไปทันที หวังเป่าเล่อเองก็เบิกตากว้าง
“ท่านบิดา ช่วยข้าด้วย…” เจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเทิ้ม กำลังจะร่ำไห้ หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้จักสภาพร่างกายตนเองดีและคาดว่าตัวตนทรงอำนาจระดับดารานิรันดร์น่าจะรู้ว่าร่างกายเขาไม่ใช่กายเนื้อแท้ จึงเป็นเหตุให้หลิงชานพูดขึ้นเช่นนั้น ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็อดรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เป็นเพราะกายเนื้อของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ อารยธรรมไม้เถาคงจะให้ราคาเป็นศิลาพืชสักหมื่นก้อนต่อสารัตถะวิญญาณหนึ่งส่วน อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงผู้นำสหพันธรัฐ เป็นศิษย์น้องของเฉินชิง และเป็นบุตรแห่งความมืดคนเดียวในยุคสมัยนี้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความภาคภูมิใจก็ก่อตัวขึ้นภายใน ข่มความขุ่นเคืองที่มีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวิเคราะห์คำพูดของหลิงชาน ดวงตาค่อยๆ เป็นประกายขึ้นขณะมองอู๋น้อย ก่อนจะส่ายหัว
“ไม่!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอู๋น้อยก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ข้างใน แอบคิดว่าบิดาช่างดูแลตนดีเหลือเกิน…
แต่พอคิดถึงตรงนี้ คำพูดของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นในหู
“บุตรชายที่ข้าเลี้ยงดูปูเสื่อมามีภูมิหลังเป็นคนใหญ่คนโต เขาเป็นถึงองค์ชายของอาณาจักรพิภพทมิฬและเป็นผู้สืบสกุลสายเลือดบริสุทธิ์ ศิลาพืชก้อนเดียวไม่พอ อย่างน้อยต้องห้าก้อน!”
“ท่านบิดา อย่าทำเช่นนี้ ข้ายังเป็นเด็ก!” เมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด เจ้าอู๋น้อยก็ขนลุกซู่ เรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมไม้เถาที่เคยได้ยินมาจากบ้านเกิดผุดขึ้นในหัว จึงพยายามจะหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ
แต่หวังเป่าเล่อรวดเร็วกว่า ในพริบตาเดียว เขาก็เข้าไปใกล้เจ้าอู๋น้อยและจับไหล่เอาไว้มั่น รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยความคาดหวังและความเปี่ยมสุข
“เจ้าอู๋น้อย ไหนตอนแรกเจ้าบอกว่ามีนางบำเรอตั้งหนึ่งแสนคน นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่เห็นต้องเป็นกังวลไปเลย ข้าไม่ได้จะให้เจ้าใช้พลังทั้งหมดที่เจ้าใช้กับนางบำเรอหนึ่งแสนคนเสียหน่อย เจ้าแค่ต้องใช้พลังเพียงร้อยละสิบเท่านั้น เร็วเข้า ไปเอาศิลาพืชมาให้ข้าหนึ่งแสนก้อน”
“ท่านบิดา ฟังข้า ข้าทำไม่ได้ ข้า…” เจ้าอู๋น้อยร้องไห้ เกาะขาหวังเป่าเล่อไว้แน่น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย เสียงของเขาสั่นเครือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจและมองไปทางหลิงชาน
“เขาคือบุตรหัวแก้วหัวแหวนของข้า ข้าขอเพียงอย่างเดียว จงทำให้เต็มที่!”
หวังเป่าเล่อถอนใจและแอบคิดว่าตนนั้นช่างใจอ่อน ไม่สามารถทนดูคนอื่นร้องไห้ได้ หลังจากพูดไปเช่นนั้น เขาก็โบกมือ ส่ายหัวและพูดขึ้น “ข้ามอบเขาให้ท่าน!”
เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อบอกยินยอม หลิงชานและผู้ฝึกตนหญิงหลายคนข้างๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกนางถกกันสักพักพร้อมมองประเมินเจ้าอู๋น้อยอีกรอบ บางคนถึงกับส่งข้อความเสียงหาเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลด้วยซ้ำ หลังจากยืนยันกันหลายครั้ง พวกนางก็พึงพอใจกับอู๋น้อยเป็นอย่างมาก หลิงชานยิ้มขึ้นบางๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วง สหายเต๋า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อารยธรรมไม้เถาแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับมนุษย์ โปรดวางใจได้ว่าบุตรชายของเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ พี่สาวน้องสาวในตระกูลที่รับผิดชอบเรื่องนี้จะมาพาตัวเขาไป” หลิงชานยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและชี้ออกไประหว่างพูด ทันใดนั้น วังวนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
วังวนหมุนวนราวกับกำลังสร้างทางเชื่อมขึ้นมาจากความว่างเปล่า ร่างเงาอ่อนช้อยสง่างามนับสิบเดินตรงออกมา สาวๆ เหล่านี้มีผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าสวยสดงดงาม มีกลิ่นหอมราวกับกลิ่นของสวรรค์สมกับความงาม หวังเป่าเล่อตาโตเมื่อเห็นว่าพวกนางต่างเขินอายโดยไม่ได้แสร้งทำ นิสัยใจคอและอะไรหลายๆ อย่างของหญิงสาวเหล่านี้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่องุนงงไป เขามองสาวๆ เหล่านั้นสลับกับพวกหลิงชาน หัวสมองไม่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วนัก เจ้าอู๋น้อยทำตาโต กลืนน้ำลายไปสองสามอึก เด็กหนุ่มหยุดร้องไห้ในทันใด ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมสงวนท่าทีตนเอง เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเสร็จสรรพ เขาก็กุมหมัดโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อ
“เมื่อเป็นคำสั่งของท่านบิดา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” พูดจบ เขาก็หันหนีอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางกลุ่มหญิงสาว ท่าทีดี๊ด๊าของเด็กหนุ่มทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดยิ่งขึ้น
แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดจะไปหยุดยั้งพวกเขา หลิงชานนำเขาไปยังที่พักก่อนจะกลับออกไป นางบอกหวังเป่าเล่อว่าเขาอาจต้องรออย่างน้อยครึ่งเดือนเพราะการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร
ชายหนุ่มตอบรับ ในช่วงครึ่งเดือนต่อมา แม้จะไม่ได้เจอเจ้าอู๋น้อยเลย แต่หวังเป่าเล่อก็ได้เที่ยวชมอารยธรรมไม้เถาด้วยการนำทางจากเหล่าผู้ฝึกตนในอารยธรรม ชายหนุ่มสนใจเรื่องการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมไม้เถาเป็นพิเศษและเพราะหลิงชานมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นางจึงแบ่งปันความรู้เรื่องการหลอมวัตถุเวทให้ หวังเป่าเล่อเองก็แบ่งปันความรู้กลับระหว่างที่พวกเขาสนทนาอย่างเป็นกันเอง จึงทำให้ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย
ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อหวังเป่าเล่อเที่ยวชมรอบอารยธรรมไม้เถาเสร็จและได้เพิ่มพูนทักษะการหลอมวัตถุเวทผ่านการประยุกต์ใช้ เจ้าอู๋น้อย…ก็กลับมา
แม้จะบอกไม่ได้ว่าเขาดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่สภาพในตอนนี้ก็ถือว่าใกล้เคียง เจ้าอู๋น้อยที่ได้ผู้ฝึกตนหญิงสองคนช่วยนำทางกลับมามีดวงตาดำคล้ำ ดูเหมือนถูกสูบพลังชีวิตไปหมด เมื่อพบหวังเป่าเล่อ เจ้าอู๋น้อยก็โยนแผ่นหยกไปให้
“ท่านบิดา ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว ให้ข้าได้พักสักหน่อย…”
เมื่อเห็นอู๋น้อยมีสภาพเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นหัวใจขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นจำนวนศิลาพืชในแผ่นหยกซึ่งเกินกว่าที่บอกไปมากเพราะได้มาถึงหนึ่งแสนหกหมื่นก้อน ชายหนุ่มก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก
แม้แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนที่พาอู๋น้อยกลับมาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“สหายเต๋าผู้นี้ทำการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นตั้งแต่ห้าวันก่อน แต่เขายืนกรานที่จะทำให้บิดาสุขใจ ความตั้งใจอันแรงกล้าเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ”
พอได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มมีสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากจัดการให้เจ้าอู๋น้อยได้พัก เขาก็ติดต่อไปหาหลิงชานเพื่อทำการแลกเปลี่ยน ชายหนุ่มใช้ศิลาพืชทั้งหนึ่งแสนหกหมื่นก้อนหมดอย่างรวดเร็วเพื่อซื้อวัตถุดิบมีค่ามาจำนวนมาก
เมื่อทำภารกิจเสร็จ แม้เจ้าอู๋น้อยจะไม่อยากกลับ แต่หวังเป่าเล่อก็บอกลาเหล่าผู้ฝึกตนของอารยธรรมไม้เถาและออกจากระบบดวงดาวไป เขาก้าวเข้าไปในห้วงอวกาศอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปไกล
……………………….