หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 777 แสดงความสำนึกเสียบ้าง เจ้าข้ารับใช้เฒ่า!

นี่มันอะไรกัน หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กับที่ก่อนจะส่งสายตามองเด็กหนุ่มอย่างฉงนใจ ชายหนุ่มรีบถอยหลังหลบผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายขว้างมา เพราะกลัวว่าจะเป็นวัตถุเวททรงพลังที่อาจสร้างความเสียหายให้เขาอย่างรุนแรงหากไม่ระวัง

วิธีการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มช่างประหลาดเสียนี่กระไร ในขณะเดียวกัน ลูกไฟที่มีดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่ภายในซึ่งก่อนหน้านี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงอันตรายก็จางหายไปด้วย ดังนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มจึงทั้งมีสมาธิและระวังตัวแจ เขาตัดสินด้วยสัญชาติญาณว่าชายผู้นี้แตกต่างจากจั่วอี้เซียน แม้ว่าจั่วอี้เซียนเองจะเคยถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ แต่ความรู้สึกที่เด็กหนุ่มคนนี้มอบให้หวังเป่าเล่อกลับแปลกประหลาดยิ่งกว่า

อย่างไรเสีย…แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เคยลองทำให้ศัตรูหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยการขว้างผ้าเช็ดหน้าใส่ก่อนจะโจมตีเพื่อเผด็จศึก แต่เขาก็คุ้นชินกับกลยุทธ์เช่นนี้ดี หากลองเอาตนเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งของเด็กหนุ่มคนนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มล่าถอยออกมา เกราะจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของเขาพร้อมเสียง “แกร็ก” และหวังเป่าเล่อก็ดูแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในทันที

ร่างกายของชายหนุ่มขณะนี้ทั้งใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัว เสื้อคลุมสีแดงโลหิตที่สะบัดปลิวอยู่เบื้องหลังแม้ลมจะสงบนิ่ง และเส้นปราณจำนวนมหาศาลที่พลิ้วไหวอยู่นอกกายไม่ต่างจากฝูงอสรพิษสีแดงทำให้หวังเป่าเล่อมีรัศมีแห่งการฆ่าฟันรุนแรง ราวกับเป็นปีศาจร้ายที่ขึ้นมาปรากฏตัวอยู่บนโลกมนุษย์ เขาแผดเสียงออกมา “เจ้าเป็นใคร”

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังระมัดระวังตัวนั้น สายตาของเขาก็ทั้งเฉียบคมและเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าเต้นถี่ขึ้นอย่างสุดจะควบคุม เด็กหนุ่มสัมผัสไปถึงอันตรายจึงรีบล่าถอยไปหลายก้าว ก่อนจะกลืนน้ำลายด้วยความวิตกกังวลยิ่ง รีบยกมือขึ้นโบกแล้วละล่ำละลักออกมา

“ไม่ต้องห่วงไปมนุษย์ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มีความวิตกกังวลฉายชัดอยู่ในแววตา

“ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรเลยนะ!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายก่อนที่จะพูดออกมาอย่างแข็งกร้าว การที่ภูมิหลังของอีกฝ่ายเป็นปริศนาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขายังทำตนราวกับว่าอ่อนแอเสียเต็มประดา หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจริง เด็กหนุ่มคงไม่โง่เขลาขนาดที่จะพูดกับหวังเป่าเล่อด้วยน้ำเสียงเช่นเมื่อครู่

ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นกัน!

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ลงความเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในแน่นอน

ชายหนุ่มรู้ทันลูกไม้เหล่านี้ตั้งแต่อายุสามขวบ จึงไม่ได้คลายความระแวงลง กลับกัน เขาระวังตัวมากขึ้นอีกโข น้ำเสียงแฝงไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี…” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือแล้วชี้ไปที่เด็กหนุ่มปริศนา แสงสว่างจ้าพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว แปรสภาพเป็นคลื่นแสงที่เข้าไปปกคลุมล้อมรอบเด็กหนุ่มทันที

ขณะเดียวกัน ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กระเถิบห่างออกไปจากเด็กหนุ่ม ขณะที่ถอยออกมานั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มร้องโอดครวญ เขาขยับร่างกายถอยหนีและพยายามหลบ แต่ก็สายเกินไป คลื่นแสงเข้าประชิดตัวในพริบตาก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเด็กหนุ่ม

เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องหวีดออกมา ร่างของเขาถูกชนกระเด็นไปไกลหลายสิบก้าวก่อนที่จะล้มลง สีหน้าของเด็กหนุ่มโกรธเกรี้ยวเมื่อส่งเสียงตะโกนใส่หวังเป่าเล่อ

“ไอ้มนุษย์บัดซบ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

“เจ้ากล้าโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ ไอ้…ไอ้ขยะ! น่าขันสิ้นดี! เจ้าไม่รู้หรือว่าการได้เช็ดรองเท้าของข้านับเป็นเกียรติเพียงใด!”

เมื่อเห็นท่าทางที่เด็กหนุ่มถอยหลังก่อนจะล้มลง ขณะที่ร่างกายไม่มีรอยขีดข่วนแม้จะถูกโจมตี นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็หรี่เล็กลง แต่ในวินาทีถัดมา หลังจากที่ได้ยินเสียงคำรามของเด็กหนุ่ม ใบหน้าของเขาก็กระตุกขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

คำพูดของเด็กหนุ่มช่างรนหาที่นัก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถแอบซ่อนเอาไว้ก็คงเป็นพวกโง่เง่าสติไม่เต็มเต็ง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง หวังเป่าเล่อก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มหมุนตัว ไปปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ส่งเสียงคำรามในทันที ก่อนจะเตะเข้าที่ท้องด้วยขาขวาเต็มแรง

หลังเสียงกระแทกดังพลั่ก เด็กหนุ่มก็ร้องออกมาอีกหน ก่อนที่ร่างกายจะลอยละลิ่วไปชนผนังด้านข้าง หลังจากที่ร่วงลงมาจากผนัง เสียงร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มก็ยิ่งแหลมขึ้น เขาแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่รับบาดเจ็บแต่อย่างใด การส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญนั้นไม่ใช่เพราะเขาบาดเจ็บ หากแต่เป็นเพราะการกระแทกนั้นทำให้เขาเจ็บต่างหาก

“ในอาณาจักรของข้า ขนาดผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังเรียงแถวกันมาเช็ดรองเท้าให้ข้า การที่เจ้าที่อยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณปฏิเสธที่จะเช็ดรองเท้าให้ข้าก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เจ้ายังกล้าดีมาทุบตีข้าอีก!” น้ำตาร่วงเผาะลงมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม เขาทั้งเศร้าทั้งโกรธ พลางส่งเสียงตะโกนด่าหวังเป่าเล่อไม่หยุดหย่อน

เมื่อเห็นองค์ชายก่นด่า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง จากการโจมตีทั้งสองครั้งและสังเกตดู ชายหนุ่มก็เห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับได้ว่าร่างกายของเขานั้นช่างแปลกประหลาด ราวกับมีพลังต้านทานคาถาขั้นเชื่อมวิญญาณโดยเฉพาะ แต่ก็ดูเหมือนจะตอบสนองกับความเจ็บปวดรุนแรงมากเป็นพิเศษ

ความขัดแย้งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อต้องหรี่ตา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังวางแผนจะทดสอบอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อยืนยันทฤษฎีที่คิดได้เมื่อครู่ โทสะของเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงสุดจากความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้เสียงก่นด่าดังก้องกลายเป็นเสียงคำราม

“ก็แค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเพียงข้ารับใช้เฒ่าเท่านั้น เจ้าข้ารับใช้เฒ่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคนนี้เป็นใคร รู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าคือราชาองค์ใด”

เมื่อได้ยินว่าตนเอง ซึ่งกำลังจะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐ ถูกเรียกว่าข้ารับใช้เฒ่า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงพลิกตัวพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้ทักษะการเตะที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานและเล็งไปยังเป้ากางเกงของเด็กหนุ่มโดยตรง

“วันนี้ บิดาคนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นว่าราชาผู้เป็นบิดาที่แท้จริงของเจ้านั้นคือใคร!” ขณะที่หวังเป่าเล่อพูด ก็มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นมา และเสียงร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มก็แหลมสูงขึ้นอีกหลายช่วงตัวราวกับว่าสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ก็ไม่ปาน ชายหนุ่มยกมือทั้งสองบดบังบริเวณที่ความเจ็บปวดกำลังไหลบ่าเข้ามาก่อนจะกระโดดขึ้น

แต่การทดสอบของหวังเป่าเล่อยังไม่จบ เมื่อเด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไป หวังเป่าเล่อก็ยกขาขวาขึ้นเตะไปที่เป้ากางเกงอีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาเตะไปถึงเจ็ดแปดครั้งติดๆ กัน!

“สั่งให้บิดาของเจ้าเช็ดร้องเท้าให้อย่างนั้นหรือ

“กล้าขึ้นเสียงใส่บิดาของเจ้าหรือ

“เจ้าเด็กโง่เง่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดีอย่างไรมาสั่งให้บิดาทำโน่นนี่ให้”

“เจ้าลูกไม่รักดี กล้ามากที่เรียกบิดาของเจ้าว่าข้ารับใช้เฒ่า” หวังเป่าเล่อยิ่งพูดยิ่งโกรธ ชายหนุ่มเตะเด็กหนุ่มซ้ำทุกประโยคที่พูด เสียงโหยหวนของเด็กหนุ่มดังถึงขีดสุด ผู้ที่ได้ยินย่อมรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกเตะเสียเองและตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดงของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ในความเป็นจริง ชายหนุ่มยังคงระแวดระวังอยู่ เขาหรี่ตาลง พยายามสังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม ในที่สุด หลังจากที่ยืนยันข้อสงสัยของตนได้แล้ว สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด เขากรีดร้องเสียจนเสียงแหบแห้ง ก่อนจะยกมือชี้หน้าหวังเป่าเล่อ

“เจ้าข้ารับใช้เฒ่า ข้าเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรพิภพทมิฬ! เป็นองค์ชายองค์เดียว! ข้าต้องสืบทอดราชบังลังก์และนำพาระบบดาวเคราะห์นับหมื่นไปสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาหยามน้ำหน้าข้าเช่นนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย แล้วกวาดล้างอารยธรรมของเจ้า สังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าไม่ให้เหลือ!”

หวังเป่าเล่อจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก หากเด็กหนุ่มทรงพลังถึงเพียงนั้นจริง เขาจะอยู่เพียงขั้นกำเนิดวิญญาณได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเขาก็ช่างแปลกเสียจริง

แต่อย่างไรหวังเป่าเล่อก็อัดอีกฝ่ายไปเสียเละแล้ว…โดยเฉพาะเมื่อเจ้าเด็กหนุ่มทำตัวปากเปราะชวนให้โดนอัดเสียขนาดนั้น ชายหนุ่มจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่บาดเจ็บแต่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบอัดคนอื่นเช่นหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มนี่ถือเป็นหุ่นซ้อมมวยคุณภาพสูงเลยทีเดียว

หวังเป่าเล่อจ้องมองก่อนจะยกมือขวาขึ้นจับนิ้วของเด็กหนุ่มงอเข้าหาตัวอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะกล่าว

“เรื่องของเจ้าสิ หากเจ้าเป็นองค์ชาย ข้าก็เป็นจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ใครๆ ก็พูดได้ เรียกข้าว่าท่านบิดาเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของเด็กหนุ่มเขียวคล้ำลงทันที เขาแทบจะทรุดตัวลงคุกเข่าเพราะร่างกายเหมือนจะสูญเสียเรี่ยวแรงไปหมด ก่อนจะส่งเสียงหวีดร้องดังลั่น แต่ความหยิ่งยโสนั้นไม่ลดลงเลย องค์ชายยังคงกัดฟันพูดต่อแม้จะยังส่งเสียงร้องอยู่

“ปล่อยโว้ยย อ๊ากกกกกก…เจ้าข้ารับใช้เฒ่าบัดซบ บิดาของข้าจะควานหาข้าไปทั่วระบบดาวเคราะห์แน่นอน โอ๊ยๆๆ มาพูดกันดีๆ เถอะ โอ๊ยยยยย…ยังไม่สายที่เจ้าจะคุกเข่าลงขอความเมตตา ข้าจะยอมปล่อยเรื่องที่แล้วๆ มาและให้โอกาสเจ้าได้เช็ดรองเท้าข้าอีกครั้ง…

“สำนึกเสียบ้างสิโว้ย เจ้าข้ารับใช้เฒ่า!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็ถึงกับตะลึงไป ไม่ได้ตะลึงในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะอย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เด็กหนุ่มคุยโวเท่านั้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึงคือการที่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังโอหังได้อยู่ในเวลาเช่นนี้

ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ใช้ทักษะนี้มานานเกินไปจนสนิทจับเสียแล้ว…หวังเป่าเล่อคิดในใจ ก่อนจะยกเท้าขวาขึ้นเตะผ่าหมากเด็กหนุ่มอีกครั้ง และเพราะลูกเตะของเขาว่องไว แถมมือก็ยังจับนิ้วของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ทำให้อีกฝ่ายหนีไปไหนไม่ได้ หวังเป่าเล่อจึงได้เตะต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

สุดท้ายเมื่อใบหน้าของเด็กหนุ่มเขียวไปทั้งหน้า เขาจึงตระหนักได้ว่าการส่งเสียงร้องและการยกตนข่มท่านนั้นไม่เป็นผล ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดตรงบริเวณหว่างขาก็เริ่มเสียดแทงมากขึ้นทุกขณะ จนทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เด็กหนุ่มจึงยอมกัดฟัน งัดไพ่ตายออกมา!

“ได้โปรดหยุดตีข้าเถิด ท่านบิดา ข้าผิดไปแล้ว ท่านบิดา ข้ายอมรับผิดแล้วขอรับ ท่านบิดา!”

…………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset