หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 671 วังศิษย์แห่งเต๋า!

หวังเป่าเล่อฟื้นคืนสติ

ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งที่ด้านนอกวังแห่งแรก เขาจ้องมองฟากฟ้า รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในหัวมีคำถามหนึ่งผุดขึ้น ทำไมตนจึงหมดสติไปเสมอหลังจากสู้กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

กี่ครั้งแล้วนะ… หวังเป่าเล่อถอนใจขณะพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แค่เพียงกดมือลงบนพื้นธรรมดาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ผืนดินสั่นสะเทือนก่อนจะส่งเขาลอยขึ้นฟ้าไป

หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะลอยอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเขายังไม่ทันได้ตรวจระดับการฝึกตนของตนเองเลย ชายหนุ่มก้มมองสำรวจต้วเอง ดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ

ระดับการฝึกตนไม่ได้เปลี่ยนไป ยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่ร่างกายของข้า…ได้บรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณแล้ว! หวังเป่าเล่ออ่ได้านตำรามากมายในสำนักวังเต๋าไพศาลและรู้ว่าพลังของผู้ฝึกตนนั้นมาจากสี่แหล่งด้วยกัน ได้แก่ พลังปราณ เคล็ดวิชา สมบัติเวท และท้ายที่สุด…ความแข็งแกร่งของร่างกาย

ทั้งสี่แหล่งนั้นช่วยเติมเต็มกันและกัน การบรรลุสิ่งใดในทั้งสี่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้ผู้ฝึกตน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเคล็ดวิชาและสมบัติเวทแล้ว การพัฒนาด้านพลังปราณและความแข็งแกร่งของร่างกายถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าและเป็นกุญแจหลักของพลังผู้ฝึกตน

โดยเฉพาะอย่างหลัง…ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นอาจดูพัฒนาได้ง่าย แต่ถ้าผู้ฝึกตนไม่ได้มีสายเลือดพิเศษ การพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกายก็ถือเป็นเรื่องท้าทายไม่ต่างจากการพัฒนาพลังปราณ ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใดก็ยิ่งก้าวหน้าได้ยากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้ฝึกตนยังมีเวลาและทรัพยากรที่จำกัด มีเพียงผู้ฝึกตนทรงพลังที่บรรลุขั้นการฝึกตนไปไกลแล้วเท่านั้นที่จะหันมามุ่งฝึกฝนร่างกาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนหวังเป่าเล่อขณะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ

ในที่สุด…ข้าก็บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณ! หวังเป่าเล่อระเบิดหัวเราะหลังจากตรวจสอบร่างกายของตนเอง เขาหายวับไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งห่างออกไปสามร้อยเมตร

เขาไม่ได้ทำการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา มันคือความเร็วที่ร่างกายขั้นจุติวิญญาณสามารถปลดปล่อยออกมาได้ ทำให้ได้ผลออกมาคล้ายคลึงกับการเคลื่อนย้าย เขายกมือขวาขึ้นกำหมัด สัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าในกำมือแม้จะยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมา ชายหนุ่มยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น

แม้จะยังแข็งแกร่งไม่เท่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหากวัดจากฝีมือจากการสู้ครั้งล่าสุด แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตนเองคงไม่จบในสภาพน่าเวทนาเหมือนรอบที่แล้ว

แค่วังแรก ร่างกายข้าก็บรรลุไปขั้นจุติวิญญาณแล้ว… ชายหนุ่มสูดหายใจลึกขณะมองวังแห่งแรก เขาเห็นว่าแสงสีแดงที่พุ่งออกมาจากวังจางลงไป น้ำแข็งเริ่มเกาะกุมรอบๆ เหมือนว่ากำลังจะโดนผนึกอีกครั้ง หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความเสียดาย

แม้การทดสอบจะเป็นไปอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่เขาก็ยังตัวสั่นเทิ้มเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ได้สัมผัสในสระโลหิตหมื่นวิญญาณ ทั้งปราณโลหิตที่เจาะเข้าสู่ร่างกายและความนึกคิดของอสูรนับไม่ถ้วนที่เข้าครอบงำได้สร้างความเจ็บปวดมหาศาลให้ตนเอง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าได้ตายไปหลายหมื่นหนอย่างไรอย่างนั้น

น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถทนได้นานเท่าที่ตั้งใจไว้ มิเช่นนั้นละก็…ดูจากขนาดของสระโลหิตหมื่นวิญญาณแล้ว ข้าอาจจะบรรลุไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ หรือไม่ก็ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ที่จริง…ร่างกายข้าอาจจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์เลยก็เป็นได้!

บางทีเต็มที่อาจจะได้เท่านี้ เอาไว้แข็งแกร่งกว่านี้ข้าจะหาทางกลับมาที่นี่ใหม่ ข้าจะลองซึบซับปราณโลหิตและบรรลุขั้นการฝึกตนอีก! หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก รู้สึกว่าเขาจะติดอกติดใจการบรรลุขั้นปราณเสียแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มก็จับจ้องไปยังวังอีกสองแห่งที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมอยู่

ข้าจะเข้าไปในอีกสองวังได้ไหมนะ… ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบเมื่อคิดเช่นนั้น เขาเดินตรงไปตรวจสอบใกล้ๆ น้ำแข็งที่เกาะอยู่ในวังทั้งสองไม่ได้ละลายลงแม้แต่นิด เสียงเยือกเย็นก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ดังขึ้น

หมายความว่าข้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะเข้าไปได้หรือ ชายหนุ่มเกาหัว ตระหนักแล้วว่าที่แห่งนี้มีกฎอย่างไร แต่ก็ยังไม่พร้อมจะกลับออกไป เขาเดินวนรอบวังอยู่สองสามรอบ ทันใดนั้นสายตาก็หันไปจ้องวังทางด้านขวา ดวงตาเริ่มฉายแสงสว่างอบอุ่นขณะสำรวจวังแห่งนั้น

วังด้านขวามีขนาดเท่าวังด้านซ้าย แต่ภาพสลักตกแต่งมีรายละเอียดซับซ้อนกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีสิทธิ์เข้าวังนี้ต้องมีสถานะสูงกว่าศิษย์อุปถัมภ์

หวังเป่าเล่อปวดใจขึ้นมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็กัดฟันแน่น ยกมือขวาขึ้นปลดปล่อยพลังปราณและพลังกายเต็มขั้น ก่อนจะปล่อยหมัดตรงเข้าใส่น้ำแข็งที่ปกคลุมรอบวังด้านขวา

“แหลกไปซะ!”

ชายหนุ่มร้องคำราม พายุพลังทำลายล้างก่อตัวขึ้นรอบหมัดขวา ทรงอำนาจกว่าเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเสียอีก!

หมัดนั้นตรงเข้าใส่ชั้นน้ำแข็ง แต่มันก็เหมือนหินที่จมหายไปในมหาสมุทร เสียงอู้อี้ดังก้องขึ้น ทว่าชั้นน้ำแข็งกลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ มันปราศจากแม้รอยขีดข่วน

เขาลนลาน กำลังจะปล่อยหมัดไปอีกครั้ง ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในชั้นน้ำแข็งหลังจากได้ดูดซับพลังจากหมัดแรกไป สายอัสนีพุ่งผ่านน้ำแข็งมาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อและระเบิดอัดเต็มหน้าของชายหนุ่ม

เสียงระเบิดดังสนั่น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มและกระเด็นถอยหลังไปจากแรงระเบิด เขากระเด็นไปไกลประมาณสามร้อยเมตรถึงเริ่มทรงตัวได้อีกครั้ง หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมอง หายใจติดขัด วังเบื้องหน้าและชั้นน้ำแข็งรอบๆ ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ สายฟ้าสีม่วงหายวับไปสักพักแล้ว ที่คงเหลืออยู่มีเพียงความกลัวที่แล่นผ่านเส้นเลือดในกาย เมื่อครู่คือสัญญาณเตือน หากเขายังคิดโจมตีอีก อาจจะไม่ได้รับแค่คำเตือน อาจกลายเป็นการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแทน

ไร้ความเมตตาเสียจริง! หวังเป่าเล่อมองวังด้านขวา เริ่มรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา ที่ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้น่าจะเป็นเพราะสถานะหรือไม่ก็ขั้นการฝึกตนไม่สูงพอ

ถ้าข้าเป็นศิษย์แห่งเต๋าละก็… ชายหนุ่มยืนวิเคราะห์ จากนั้นแสงผิดแปลกก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว

ถึงข้าจะไม่ได้เป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่ข้าก็มีแขนที่อาจจะเป็นของศิษย์แห่งเต๋า… เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก ก่อนจะหยิบแขนกระดูกอาวุธเทพออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เขาถือแขนกระดูกไว้ในมือ ปลดปล่อยพลังปราณให้ไหลเข้าสู่กระดูก แขนอาวุธเทพเริ่มฉายแสงจ้า แผ่พลังกล้าแกร่งออกมา

ทันทีที่พลังน่าพรั่นพรึงปะทุขึ้นจากแขนอาวุธเทพ วังด้านขวาก็เริ่มสั่นไหวขณะที่ชายหนุ่มมองตรงไปด้วยสายตาเป็นกังวล วังสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่งไป

หรือว่าพลังที่ปลดปล่อยจากแขนจะแข็งแกร่งไม่พอ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็สรุปได้ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกไปน่าจะยังแข็งแกร่งไม่พอ นอกจากนี้ การเชื่อมโยงระหว่างเขาและแขนกระดูกก็ยังไม่สมบูรณ์เหมือนที่ตั้งใจไว้

ความแน่วแน่ฉายแสงขึ้นในดวงตา ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะอัดพลังปราณเข้าไปในแขนกระดูก เขานั่งลง ตั้งใจว่าจะหลอมเกราะจักรพรรดิชุดใหม่ขึ้นด้วยวิธีการหลอมแบบดั้งเดิม!

มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่ความท้าทายอยู่ตรงการปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ โดยเขาต้องผสานวิชาเกราะจักรพรรดิเข้ากับกระบวนเวทลักอัคคีเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาของชายหนุ่มเรื่องการผสานสองวิชาเพื่อเสริมพลังของกันและกันให้เพิ่มพูนขึ้น

กระบวนเวทเกราะจักรพรรดินั้นกินพลังชีวิตมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เสร็จสมบูรณ์ในเร็ววัน แต่เขาก็มั่นใจว่าแค่สร้างเกราะจักรพรรดิขึ้นใหม่ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ด้วยประสบการณ์จากครั้งก่อน ชายหนุ่มจึงใช้เวลาแค่สองสัปดาห์ เส้นปราณมายาสีโลหิตก็เริ่มปรากฏขึ้นบนร่างกาย

เส้นปราณพวกนั้นคือเกราะจักรพรรดิขั้นแรก พลังและความแข็งแกร่งไม่สามารถเทียบเท่าเกราะจักรพรรดิชุดก่อนได้แม้แต่น้อย แต่ก็สามารถใช้หลอมแขนกระดูกเข้ากับชุดเกราะได้

เส้นปราณคืบคลานเข้าไปในแขนกระดูกอาวุธเทพด้วยการควบคุมของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณอีกครั้งโดยไม่ลังเลใจ พลังวิญญาณไหลหลากผ่านเส้นปราณเข้าไปในแขนอาวุธเทพ

คลื่นพลังวิญญาณเริ่มพวยพุ่งออกมาจากแขนกระดูกเมื่อถูกปลุกพลังให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!

ทันใดนั้น…วังด้านขวาก็เริ่มสั่นไหว เสียงเยือกเย็นดังก้องขึ้นในอากาศอีกคราหนึ่ง!

“ในฐานะศิษย์แห่งเต๋า เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นใหม่อีกครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับสองเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”

 …………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset