ลำแสงอันเย็นเยือกเคลื่อนผ่าน ผ่าร่างของสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายตัวหนึ่งด้วยคลื่นดาบอย่างไร้ปรานี
เย่หยวนยืนกอดอกมองดูอยู่ด้านหลังโดนไม่คิดจะลงมือใดๆ
“ไปเก็บแก้วอสูรศักดิ์สิทธามา!” ไป่หลี่ชิงหยานนั้นสั่งเย่หยวนออกมาอย่างเย็นชาราวน้ำแข็ง
เพราะดูท่าทางของเย่หยวนในตอนนี้แล้วมันไม่แปลกหรอกที่นางจะไม่พอใจ
เย่หยวนได้แต่กลั้นขำอยู่ใจใน นางคนนี้ยังคิดที่จะมาโกรธเคืองเขาอีก
ตั้งแต่ที่เข้าเทือกเขาเงาจันทร์มาไป่หลี่ชิงหยานนั้นยังไม่เคยแสดงท่าทางดีๆ ต่อหน้าเย่หยวนออกมาเลย
แต่เขานั้นไม่ได้ปฏิเสธ เดินเข้าไปยังร่างนั้นและเก็บแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมา
แก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์คือแก่นอสูรที่สัตว์อสูรเทวะพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ ด้านในนั้นมันอัดแน่นเต็มไปเปี่ยมไปด้วยแก่นแท้ที่สัตว์อสูรตัวนั้นสะสมมาทั้งชีวิต
ระหว่างทางมา พวกเขาก็สังหารสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายลงไปได้ถึงสามตัวแล้ว
และดูเหมือนว่าไป่หลี่ชิงหยานจะคิดอยากแสดงพลังฝีมือออกมา นางจึงเลือกที่จะสังหารพวกมันลงด้วยการโจมตีดาบเดียวเสมอ
นางต้องการเห็นความตื่นตะลึงในสายตาของเย่หยวน แต่นางกลับได้แต่ต้องผิดหวัง
เพราะเย่หยวนนั้นกลับมีใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา
แต่ท่าทางสบายๆ นี้มันกลับดูเหมือนเป็นการให้คนอื่นทำงานแล้วตัวเองรอแค่ตักตวงผลประโยชน์ในสายตาของนาง เป็นการรับผลงานไปอย่างไม่ต้องลงมือใดๆ
เรื่องนี้มันทำให้ไป่หลี่ชิงหยานไม่พอใจ!
ดูทำท่าทางเข้า คิดว่าข้าไม่สามารถลงมือจัดการเจ้าได้หรือ? ไป่หลี่ชิงหยานได้แต่บ่นอยู่ในใจ
วันต่อมาคนทั้งสองก็มาเจอกับสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายเข้าอีกตัว
เย่หยวนยังคงกอดอกอยู่ด้านหลัง เฝ้ามองดูการต่อสู้
ไป่หลี่ชิงหยานกล่าวขึ้น “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าจัดการไป”
เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้มันเพิ่งจะขึ้นระดับสี่ขั้นปลายมาได้ไม่นาน หากให้เทียบก็คงเท่ากับมนุษย์อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาว
หากไป่หลี่ชิงหยานต้องการสังหาร มันก็ลำบากเพียงแค่ขยับมือ
แต่ตอนนี้นางกลับคิดอยากจะสั่งสอนความยากลำบากให้แก่เย่หยวน
เย่หยวนยิ้มตอบ “หากเหนื่อยแล้วก็พักเถอะ เดี๋ยวข้ามา”
ไป่หลี่ชิงหยานนั้นดูถูกเย้ยหยันเย่หยวนอยู่ในใจ นางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนเย็นชา “อวดดี! ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าจะอวดดีไปได้ถึงเมื่อไหร่! แม้ว่าเจ้าอสูรมังกรเมฆามันจะเพิ่งเข้าระดับสี่ขั้นปลายมาได้ไม่นานมันก็ยังเป็นสัตว์อสูรที่แม้แต่ราชันพระเจ้าแปดดาวยังจัดการลงได้ยาก อีกสักพักเดี๋ยวเจ้าต้องมาก้มหัวขอร้องข้าแน่!”
ฟุบ!
ดาบยกขึ้น ดาบฟันลง!
อสูรมังกรเมฆาตัวนั้นถูกเย่หยวนฟังลงด้วยดาบเดียวอย่างไม่มีทางขัดขืนได้
เมื่อไป่หลี่ชิงหยานเห็นภาพนี้นางก็หรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจ
“เจ้าหมอนี่มันเก่งกาจขนาดนี้?”
หากเป็นตัวไป่หลี่ชิงหยานเอง นางก็ย่อมทำได้ในระดับนี้
เพียงแต่ว่าเย่หยวนนั้นเป็นเพียงราชันพระเจ้าห้าดาวเท่านั้น!
เจ้าหมอนี่มันมีพลังฝีมือพอจะต่อสู้ข้ามระดับได้
เย่หยวนเก็บแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์มาก่อนจะเดินเข้ามาหาไป่หลี่ชิงหยานด้วยรอยยิ้ม “แม่นางไป่หลี่ พักพอรึยัง?”
ไป่หลี่ชิงหยานได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา “เจ้าเคยเห็นใครพักเหนื่อยหายเร็วขนาดนั้นไหมล่ะ? ไม่มี!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “เอาเช่นนี้หรือ งั้นก็มาพักกันเสียหน่อยแล้วกัน”
ระหว่างที่พูดไปเย่หยวนก็ไปหาที่นั่งไม่ห่างจากไป่หลี่ชิงหยานมากนัก
ไป่หลี่ชิงหยานได้แต่ขมวดคิ้วและกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “มองหาอะไร?! ถ้ายังมองมาอีกข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาให้!”
เดิมทีแล้วไป่หลี่ชิงหยานนั้นไม่ได้เป็นคนเย็นชาโหดร้ายนัก
กลับกัน แท้จริงแล้วนางนั้นเป็นคนที่อบอุ่นนิสัยเป็นกันเองมาก
เพียงแค่ว่าในความอบอุ่นของนางนั้นมันก็ยังทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้ผู้คนยิ่งไม่กล้าจ้องมองนางตรงๆ
แต่ตอนนี้เมื่อนางต้องมาเจอเย่หยวน นางกลับไม่สามารถจะทำตัวตามปกติได้ และไม่สามารถที่จะแสดงศักดิ์ศรีความปกติออกมาได้เลย
กับคำขู่ของไป่หลี่ชิงหยานนี้ เย่หยวนกลับไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อยและยิ้มตอบกลับไป “แม่นางไป่หลี่ ข้าขอถามหน่อยได้ไหม? คนตั้งเยอะทำไมจึงมาเลือกข้ากัน?”
ไป่หลี่ชิงหยานหัวเราะขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้านั้นมันกล้าไม่เบา จึงได้เลือกชวนเจ้า ไม่นึกไม่ฝันว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นสัตว์ร้ายตัวฉกาจที่เอาเปรียบผู้คนเช่นนี้!”
เย่หยวนเข้าใจได้ทันทีหลังได้ยิน ดูท่าคำขู่ที่ซ่งถิงกล่าวนั้นไป่หลี่ชิงหยานเองก็คงได้ยิน และนั่นคงทำให้นางคิดเกิดสนใจขึ้นมา
“เอาเปรียบผู้คนเช่นนั้นหรือ? แม่นางไป่หลี่มาชวนข้าเองก็มิใช่เพื่อหาข้ออ้างสลัดการตามตื้อของคนเหล่านั้นหรือ? การกระทำของท่านมันทำให้ข้าต้องผิดใจกับยอดคนระดับนั้นพร้อมๆ กันถึงสองคน ท่านคิดว่านี่ข้ายังเอาเปรียบผู้คนอยู่อีก? หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นท่านกันแน่ที่กระทำการออกมาอย่างร้ายกาจ? หรือว่าท่านคิดว่าด้วยเสน่ห์ของตยแล้ว ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธได้เลย?” เย่หยวนยิ้มกลับไปอย่างเยือกเย็น
ไป่หลี่ชิงหยานหน้าถอดสีทันที นางไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะมองสถานการณ์ได้เฉียบขาดถึงเพียงนี้
แต่ถึงจะรู้เช่นนี้อยู่ดีแก่ใจว่าต้องพบเจอผลลัพธ์ใดๆ คนอื่นๆ ก็คงเลือกที่จะยอมรับอย่างไม่ปริปาก
แต่เย่หยวนนั้นไม่ เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดที่จะปฏิเสธออกมาเช่นนั้น
“มีข้าอยู่ด้วยพวกมันย่อมไม่กล้าทำอะไรกับเจ้า” ไป่หลี่ชิงหยานพูดปกป้องตัวเอง
เย่หยวนยิ้มตอบ “คำพูดเช่นนี้แม่นางไป่หลี่เอาไปใช้หลอกเด็กสามขวบมันเถอะ ท่านทั้งสามมาจากสามนิกายใหญ่ หากคนทั้งสองนั้นคิดอยากสังหารข้าจริงพวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญในสายตาของแม่นางไป่หลี่แล้วชีวิตความเป็นความตายของข้ามันคงไม่มีความสำคัญมากมายหรอกมั้ง?”
ไป่หลี่ชิงหยานมองดูเย่หยวนด้วยสายตาตื่นตระหนกไม่น้อย ตอนนี้นางได้รู้อย่างแท้จริงแล้วว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มันแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าอายุของเย่หยวนจะไม่ได้แก่มาก แต่เขากลับรับมือทุกอย่างด้วยความเยือกเย็น ต่างจากคนปกติธรรมดาจริงๆ
แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้นางอาจจะปกป้อง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้นางย่อมไม่คิดจะสนใจความเป็นความตายของเย่หยวน
การที่พวกต้วนชิงหงจะไปสังหารเย่หยวนหลังจบการสอบนี้ แท้จริงนางก็คาดเดาไว้แล้วด้วยซ้ำ
“หึๆ ดูท่าไอ้เด็กคนนี้มันจะยังพอรู้ตัวอยู่บ้าง!”
ระหว่างที่สองคนกำลังคุยกันอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายดังออกมาพร้อมเงาร่างหนึ่ง
“จงฮันหลิน!” ไป่หลี่ชิงหยานขมวดคิ้วแน่นทันทีที่เห็นใบหน้านั้น
เมื่อเขาคนนี้คิดเข้ามาหา มันย่อมไม่มีเจตนาดีเป็นแน่
จงฮันหลินใช้สายตาชั่วร้ายมองดูไป่หลี่ชิงหยานด้วยรอยยิ้ม “น้องชิงหยานรอให้ข้าจัดการไอ้คางคกนี่ก่อนเถอะ แล้วข้าจะไปเล่นกับเจ้าด้วย”
พูดจบเขาก็หันหน้าไปหาเย่หยวน “ไอ้เด็กเวร เจ้าไม่ควรจะมาร่วมกลุ่มกับน้องชิงหยานตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อตอนที่เจ้าคิดตกลง เจ้าก็น่าจะรู้ถึงจุดจบได้นะ?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่รู้จะตอบอะไร ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าปฏิเสธไปแล้ว แต่เป็นนางต่างหากที่ตื้อจะดึงข้าเข้ากลุ่ม”
จงฮันหลินยิ้มเย้ย “เรื่องนั้นก็ผิดสมควรตาย! การชวนของน้องชิงหยานนั้นเจ้าควรจะปลาบปลื้มยินดี แต่เจ้ากลับทำให้นางไม่สามารถกลับคำได้ต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้าสมควรตายนับหมื่นครั้ง!”
เมื่อเย่หยวนได้ยิน เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง “เจ้าหมายความว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็สมควรตาย?”
จงฮันหลินยิ้มและพยักหน้าออกมา “ใช่! วินาทีที่น้องชิงหยานชวนเจ้า เจ้าก็ได้ตายไปแล้ว! หากอยากโทษใครก็ไปโทษชะตาของเจ้าเองเถอะ”
จงฮันหลินนั้นมีท่าทางหยิ่งยโสโอหัง สั่งตายเย่หยวนออกมาอย่างไม่กลัวเกรง
เย่หยวนได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ เพราะในสายตาของพวกอัจฉริยะเช่นนี้ชีวิตอื่นนั้นมันแสนไร้ค่า
ตราบเท่าที่พวกมันอยาก พวกมันก็คิดจะโทษความผิดที่ผู้คนไม่ได้ก่อและเข้าไปสังหารคนๆ นั้นเล่น
หากให้พูดแล้ว มันก็เพราะว่าพลังของเย่หยวนนั้นต่ำต้อยและง่ายแก่การรังแกเท่านั้น
หากคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาเป็นต้วนชิงหง เขาคงไม่กล้าที่จะพูดจาอวดดีเช่นนี้ออกมา
เย่หยวนหันไปมองไป่หลี่ชิงหยาน “เจ้าคิดจะยืนมองดูเฉยๆ?”
ไป่หลี่ชิงหยานหน้าเปลี่ยนสีไปมาระหว่างแดงกับเขียว แต่สุดท้ายความโกรธแค้นต่อเย่หยวนก็ชนะจิตใจของนางไปได้
“ขอร้องข้าสิ! ตราบเท่าที่เจ้าพูดมันออกมาจากปาก ข้าจะลงมือช่วยให้!” ไป่หลี่ชิงหยานบอก
………………………