หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 631 เสียงเรียกขอความช่วยเหลือ!

บทที่ 631 เสียงเรียกขอความช่วยเหลือ!
เรือรบยักษ์ที่สร้างมาจากแผ่นวงแหวนสามแผ่นที่แยกออกจากกันอย่างเป็นเอกเทศ ลอยขึ้นจากทะเลเพลิงภายในบริเวณตัวดาบ และพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยพลังล้นเหลือของกระบี่ที่ทรงพลัง โดยเป้าหมายอยู่ที่บริเวณด้ามดาบ ในขณะที่หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยกำลังเข้าพิธีมงคลสมรสบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล

หลังจากที่ได้รับพรจากหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นที่เรียบร้อย เหล่าผู้ร่วมงานทั้งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐก็พากันชื่นชมยินดีกึกก้อง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธียังได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความปีตินั้น ดังมาจากจัตุรัสสาธารณะที่ยอดเขาหลัก

ทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงเวลานั้นดูแสนสมบูรณ์แบบ ต้นไฮยาซินปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อน ทั่วทั้งสำนักอาบไล้ไปด้วยความสงบสุขและความชมยินดี

ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้บ้างแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีอย่างเครือข่ายวิญญาณ ระบบการกู้ยืมเงินตรา และกิจกรรมใหม่ๆ มากมาย ที่ทำให้ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของชาวโลกมากขึ้น ทัศนคติที่พวกเขามีต่อคนจากสหพันธรัฐก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นกัน

สถานะของหวังเป่าเล่อในสำนักถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ด้วยเช่นกัน เขามีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมในสำนักวังเต๋าไพศาล ยกเว้นว่าเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นจริงๆ

หากวิถีชีวิตของผู้คนจากทั้งสองโลกยังดำเนินไปเช่นนี้ ภายในเวลาสิบปี จะต้องเกิดการดองกันของผู้คนจากทั้งสองสำนัก เพื่อสร้างชนรุ่นหลังที่มีสายเลือดจากทั้งสองฝ่ายขึ้นมากมายอย่างแน่นอน การควบรวมอาณาจักรก็จะสมบูรณ์แบบแนบสนิท จนแยกสหพันธรัฐออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ได้อีกต่อไป ข้อตกลงระหว่างเฟิ่งชิวหรันและหลี่ซิงเหวินก็จะถือว่าบรรลุเสร็จสิ้น

สัมพันธมิตรนี้จะทำให้อารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง และช่วยให้พัฒนาได้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อารยธรรมของสหพันธรัฐจะรุดหน้าไปอีกอย่างแน่นอน…

นั่นคือเป้าหมายของสหพันธรัฐ และก็เป็นเป้าหมายของหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คำอวยพรของเขาที่มอบให้หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยในวันมงคลสมรสของทั้งสองนั้น จึงเป็นถ้อยทำที่จริงใจ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่แน่นอนว่าเขาเองก็มีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียใจอยู่เช่นกัน

หวังเป่าเล่อเองก็เป็นชายในวัยหนุ่มที่ยังไม่ได้ออกเรือน ไร้ซึ่งคู่ครอง สายตาของเขากวาดมองไปท่ามกลางฝูงชนอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนหยุดลงที่เจ้าเยี่ยเหมิง

เจ้าเยี่ยเหมิงกำลังยิ้มกว้าง ดวงตาสว่างเจิดจ้าด้วยความปิติยินดีต่อคู่แต่งงานใหม่ กระนั้นบนใบหน้าก็ยังมีความรู้สึกอิจฉาปนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน นางรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังมองมา เจ้าเยี่ยเหมิงเอาผมที่ถูกลมอ่อนพัดปลิวไสวกลับมาทัดหู ดวงตาระยิบระยับของนางสบเข้ากับดวงตาของหวังเป่าเล่อ

นางยิ้มเมื่อสายตาประสานกับชายหนุ่ม หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด จนทำให้เขาต้องเอื้อมมือไปลูบพุงตนเองตามนิสัยเดิม…

ท่าทีนั้นทำให้มนต์สะกดหายไปทันที เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีก ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็ดูเหมือนอายเช่นกัน เขากำลังจะเดินเข้าไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงเพื่อพูดบางสิ่ง ในตอนนั้นเองโจวเหมยและหลี่อู๋เฉินที่กำลังอยู่ระหว่างดื่มคารวะกับผู้ร่วมงาน ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาพอดิบพอดี

“ท่านเจ้าสำนัก…” โจวเหมยดื่มสุราเข้าไปเล็กน้อย แก้มของนางจึงเป็นสีแดงปลั่ง ดวงตามองหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพนับถือปนความรู้สึกขอบคุณ นางโค้งคำนับเขาก่อนยื่นแก้วเมรัยให้

หลี่อู๋เฉินยืนอยู่ข้างๆ ความรู้สึกของเขาต่อหวังเป่าเล่อยังคงสับสนปนเประหว่างขั้วบวกและขั้วลบ แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อที่กล้าตัดสินใจ และสนับสนุนความรักของเขาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึกและรินเหล้าให้เสียจนปริ่มเต็มแก้ว

หวังเป่าเล่อชะงักกลางคัน มองคู่สมรสใหม่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองโจวเหมย ความทรงจำของนางในฐานะเด็กสาวตัวน้อยที่สำนักหมอกเขาแห่งเต๋าผุดขึ้นในใจ เขาหันไปหาหลี่อู๋เฉิน หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและความชื่นใจ ก่อนหยิบแก้วสุรามาและเอ่ยด้วยท่าทีขำๆ “เหมยเอ๋อร์ เจ้าจะเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้นะ”

โจวเหมยเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้นที่ทอแสงแรงกล้าอยู่ในดวงตา นางถือว่าหวังเป่าเล่อเป็นอาจารย์ของนางตั้งนานแล้ว และไม่ใช่นางเพียงคนเดียว ศิษย์รุ่นแรกเริ่มทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเป็นคนประสาทวิชาให้ด้วยตนเองก็คิดเช่นเดียวกัน กระทั่งศิษย์รุ่นต่อมาที่ไม่ได้รับการสั่งสอนจากหวังเป่าเล่อโดยตรงยังเคารพยกย่องเขาไม่เสื่อมคลาย อันเป็นความจริงที่จะคงอยู่ตลอดไปในทุกรุ่นของสำนักหมอกเขาแห่งเต๋า หลังจากที่หวังเป่าเล่อก้าวขึ้นดำรงตำแห่งเจ้าสำนัก

โจวเหมยหายใจเข้าลึก ก่อนคารวะหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“ข้าขอคารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ!”

เมื่อผู้ฝึกตนจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเห็นโจวเหมยคารวะหวังเป่าเล่อ และเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ ทุกคนก็มองนางเปลี่ยนไปในทันที สำนักวังเต๋าไพศาลให้ความสำคัญกับจารีตประเพณีเป็นอันมาก การที่โจวเหมยเรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านอาจารย์นั้น แปลว่าสถานะของนางในสำนักวังเต๋าไพศาลนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

บัดนี้ถือว่านางเป็นศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล และเป็นศิษย์เอกคนแรกของหวังเป่าเล่อ!

นี่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง!

หวังเป่าเล่อยิ้มให้หลี่อู๋เฉินท่ามกลางความตกใจและความอิจฉาของฝูงชน หลี่อู๋เฉินรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญกับโจวเหมยอย่างไร แม้เขาจะรู้สึกสองจิตสองใจกับหวังเป่าเล่อเนื่องจากความไม่ลงรอยกันในอดีต แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปในทันที เมื่อหันกลับมามองผู้อาวุโสสูงสุดตรงหน้าอีกครั้ง เขาก็หายใจเข้าลึกก่อนคารวะด้วยการโค้งคำนับต่ำตามโจวเหมย

หวังเป่าเล่อยิ้ม เขาดื่มสุราจนหมด ก่อนวางแก้วลงและกำลังจะเอื้อนเอ่ย…แต่บางสิ่งก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน!

ท้องฟ้าที่สร้างมาจากอำนาจของวงแหวนปราณที่เคยสดใสพลันแปรเปลี่ยน สายฟ้าฟาดกระหน่ำเหนือสำนักในบัดดล!

เปรี้ยง!

สายฟ้าพิโรธนั้นทำให้สวรรค์และผืนดินสั่นสะเทือน หวังเป่าเล่อสะดุ้ง ส่วนสีหน้าของเฟิ่งชิวหรันก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน สานุศิษย์รอบกายพวกเขาตาเบิกกว้าง สีหน้างุนงง ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวขึ้นภายใน ทุกคนรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้

“เสียงอะไรกัน”

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่”

เสียงอุทานด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้าเบื้องบนเรื่องบิดเบี้ยว สายฟ้ายังคงฟาดกระหน่ำไม่หยุดและทวีความดังขึ้นเรื่องๆ พื้นดินสั่นไหวจนทำให้สำนักสะเทือน ทะเลเพลิงเดือดด้วยความโกรธเกรี้ยว!

ท้องฟ้าและปฐพีแปรเปลี่ยน ลมพายุซัดโหมหวีดหวิว เมฆเคลื่อนย้อนกลับ

ภาพนี้ทำให้ทั้งสำนักตกใจโกลาหล หลายคนที่ไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงาน เหาะออกจากถ้ำที่พักเพื่อสังเกตการณ์ด้วยสีหน้าตกใจ เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็เช่นกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหันไปมองยังทิศทางที่เป็นตัวดาบในทันที!

หวังเป่าเล่อหายใจถี่ รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติขณะมองไปรอบกาย ในตอนนั้นเอง…พายุหมุนก็โหมเข้ามาจากอากาศธาตุ ดูเหมือนว่าจะมาจากทางตัวดาบ ทางใดที่มันเคลื่อนผ่าน ทะเลเพลิงก็ระอุขึ้นเป็นระรอก จนทำให้เกิดการระเบิดปะทุขึ้นมากมาย เสียงระเบิดนั้นดังมาแต่ไกล ไล่เข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทางที่พายุหมุนพัดผ่าน ทะเลเพลิงปั่นป่วนบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดเป็นเสียงอึกทึกน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หัวใจของทุกคนเย็นวาบด้วยความกลัว!

สีหน้าของทุกคนในสำนักตกใจถึงขีดสุด ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เสียงที่ชรามากเหลือก็ดังวังเวงมาจากระยะไกล ลอยมาตามสายลมที่พัดโหมเข้ามายังตัวสำนัก!

“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าที…”

เสียงนั้นดังไปทั่วสำนัก เฟิ่งชิวหรันที่กำลังตกใจกับภาพตรงหน้าตัวสั่นอย่างรุนแรง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ราวกับกำลังจะสติหลุดสิ้นสติ!

“ท่านพ่อ”

เฟิ่งชิวหรันรู้จักเสียงนั้นดีกว่าใคร เสียงบิดาของนางผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้สิ้นชีพลงระหว่างการรบพุ่งบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ขณะกำลังท่องอวกาศหนีตาย บิดาของนางเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของตระกูลไม่รู้สิ้น!

“ท่านอาจารย์ลุงหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็จำได้เช่นกัน ความตกใจวาบผ่านใบหน้าขณะที่หันไปมองเฟิ่งชิวหรัน ทั้งสองมองเห็นแววความไม่อยากเชื่อในสายตาของกันและกัน

เฟิ่งชิวหรันหายใจหอบ นางรีบกระโจนออกไปยังทางที่เสียงลอยมาทันทีโดยไม่ลังเล

“ผู้อาวุโสเฟิ่ง รอก่อน!” เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันอาจคิดไม่เหมือนกัน แต่ตัวเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นจงรักภักดีต่อสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย เฟิ่งชิวหรันกำลังตัดสินใจวู่วามไร้เหตุผล แต่เขาก็หยุดนางเอาไว้ไม่ทัน เขากัดฟันก่อนตัดสินใจตามนางไปทันที!

โยวหรันเองก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เขารีบรุดตามผู้อาวุโสทั้งสองไปจนลับสายตา!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ก่อนที่จะมีใครได้ทันตั้งตัว ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามก็จากไปสุดขอบฟ้าเสียแล้ว

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากทั้งสองสำนักก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ทุกคนรู้สึกได้…ว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น!

ณ เขตแดนที่กั้นระหว่างตัวดาบและด้ามดาบ เสียงระเบิดยังคงดังกึกก้องต่อเนื่องพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เรือรบยักษ์ฝ่าแนวกั้นเข้ามาได้สำเร็จ ครึ่งหนึ่งของตัวเรือปรากฏขึ้นที่บริเวณด้ามดาบ ตัวกำแพงกั้นนั้นเริ่มมีรอยร้าว แม้จะไม่ได้สลายลงในทันที แต่เสียงปริแตกที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้พอเดาได้ว่าอีกไม่นานนักกำแพงนี้จะสลายหายไปอย่างแน่นอน

เรือรบหยุดเดินหน้าต่อในตอนนั้น มันลอยอยู่เหนือตะเข็บ ท่ามกลางกำแพงกั้นที่ปกป้องบริเวณด้ามดาบให้ปลอดภัยจากอันตรายภายในตัวดาบ เสียงชราแหบพร่าอ่อนแรงยังคงลอยออกจากในตัวเรืออย่างไม่หยุดยั้ง

“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าที…”

เสียงชราลอยวนอยู่ในอากาศ รอยแตกของกำแพงก่อให้เกิดพายุหมุนรอบตัวเรือ พายุหมุนนั้นเริ่มบุกตะลุยเข้าไปยังบริเวณตัวดาบในทันที…

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset