หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 629 การจัดการสมรส!

บทที่ 629 การจัดการสมรส!
เมื่อได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ก็รีบรุดออกไปตามหาโจวเหมยทันที ก่อนจะอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆ ให้เด็กสาวผู้วิตกกังวลฟัง สีหน้านางเหมือนเด็กที่เพิ่งทำอะไรผิดมา

ต้นไม้ยักษ์รู้ถึงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์ของทั้งคู่จึงยืนรออย่างอดทนและไม่ได้เร่งเร้านาง หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน โจวเหมยก็สูดลมหายใจเข้าลึก มีความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นบนดวงตาของนางเมื่อนางติดตามต้นไม้ยักษ์ไปยังวังของหวังเป่าเล่อ

เมื่อนางก้าวเข้ามาในวังและมองเห็นหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ตรงสุดปลายโถง ความกังวลของโจวเหมยก็พุ่งสูง เมื่อเข้าไปรวมกับความตื่นเต้นและความเคารพที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อ ก็ทำให้นางต้องทรุดตัวลงคำนับทักทายเขาทันที

“โจวเหมยผู้ต่ำต้อย คารวะท่านหัวหน้าสาขาเจ้าค่ะ”

หวังเป่าเล่อจ้องมองสตรีวัยเยาว์ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ โจวเหมยเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ระดับปราณของนางพัฒนาขึ้นส่งผลให้ร่างกายกำยำที่นางได้รับจากการฝึกทักษะเป่าเล่อดูดกลืนสวรรค์นั้นผอมบางลงอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของพลังของนางก็ดูจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันอยู่มากทีเดียว

สิ่งนี้เป็นผลมาจากทักษะการฝึกปราณที่หวังเป่าเล่อได้สอนพวกเขาไป โจวเหมยไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับประโยชน์จากทักษะนั้น ศิษย์รุ่นดั้งเดิมของชายหนุ่มขณะนี้กระจายกันไปอยู่ตามฝ่ายต่างๆ ในสหพันธรัฐ และความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาก็เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับปราณขั้นเดียวกันสิ้น และด้วยชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อที่ขจรขยายไปไกลขึ้นทุกทีๆ ก็ทำให้บรรดาศิษย์ของเขาก็ยิ่งเคารพเขามากขึ้นในช่วงเวลาหลายปีมานี้

โจวเหมยเองก็เช่นกัน นางทักทายหวังเป่าเล่ออย่างตื่นเต้นและยังเรียกเขาว่าหัวหน้าสาขา ช่างเป็นคำที่ชวนให้รำลึกถึงอดีต ชายหนุ่มทอดถอนใจก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะมีพลังอันนุ่มนวลที่ยกตัวนางให้ยืนขึ้นมา

“ไม่เจอกันมาหลายปี เจ้าโตขึ้นมากนะ ข้าเผลอแค่อึดใจเดียว ไม่รู้เลยว่าเจ้าเองก็มาที่สำนักวังเต๋าไพศาลนี้ด้วยหากข้าไม่ได้เห็นชื่อเจ้าเสียก่อน” หวังเป่าเล่อจับจ้องไปยังโจวเหมยพลางถอนหายใจใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้แก่ชรานัก แต่เมื่อมองเห็นศิษย์อยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกแก่ขึ้นมาถนัดใจ

หรือว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นแตะพุงอย่างเคยตัว ท้องของเขาใหญ่ขึ้นมามากทีเดียว

“หัวหน้าสาขาตอนนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล และกำลังยุ่งเรื่องงานบริหารเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์เข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้ว ศิษย์อับอายเสียจนไม่อาจจะแบกหน้ามาพบท่านหัวหน้าสาขาได้” โจวเหมยกัดริมฝีปากและพูดออกมาแผ่วเบา

ความรู้สึกที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อนั้นพิเศษมาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนกับบิดาและลูกสาว แต่ก็อาจจะไม่ใช่แค่นั้น หวังเป่าเล่อเป็นอาจารย์ผู้ประสาทวิชาให้ หากไม่มีเขาแล้ว โจวเหมยก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ นางคงจะอ่อนแอและขี้อายเหมือนที่เคยเป็นมา หวังเป่าเล่อได้พลิกชีวิตของนางและเพื่อนร่วมห้องของนางไปตลอดกาล

หวังเป่าเล่อเป็นผู้ที่ได้พร่ำสอนให้พวกเขามั่นใจและรู้ถึงคุณค่าของความสามัคคี ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเขานั้นพาให้บรรดาศิษย์ที่เขาเคยสอนมารวมตัวกัน พวกเขารวมตัวกันในนามกลุ่มหวังเป่าเล่อ ก่อเกิดเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่กระจายตัวกันอยู่ในทุกๆ กรมในสหพันธรัฐ

กลุ่มของพวกเขายังใหม่มาก แต่ทว่าก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงพลังอำนาจที่มันจะมีในอนาคตเมื่อบรรดาสมาชิกพากันก้าวหน้าไปในอาชีพการงาน!

บรรดารุ่นพี่ต่างก็รวมตัวกันเป็นรากฐานอันสำคัญให้กับสหพันธรัฐ สถานการณ์บนดาวอังคารเองก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี!

เพราะเหตุนี้ โจวเหมยจึงเลือกเข้าศึกษาต่อ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่จบจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขา แต่ทว่า โชคชะตาก็เป็นเรื่องประหลาดนัก นางไม่รู้เลยว่าวันหนึ่ง นางจะต้องมาตกหลุมรักกับหลี่อู๋เฉิน ผู้ซึ่งเป็นทั้งรุ่นพี่และศัตรูเก่าของนางเอง

และก็เป็นเหตุให้นางอับอายเกินกว่าจะกล้ามาเยี่ยมเยียนหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อจ้องมองโจวเหมยอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มไม่ได้เปรยเรื่องหลี่อู๋เฉินขึ้นมาในทันที หากแต่เริ่มต้นโดยการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของโจวเหมยและศิษย์คนอื่นๆ เสียก่อน โจวเหมยเริ่มผ่อนคลายและความกังวลก็เริ่มหายไปอย่างช้าๆ จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า

“โจวเหมย เรื่องระหว่างเจ้ากับหลี่อู๋เฉินนั้น…” หวังเป่าเล่อหยุดพูดเพียงเท่านั้น พลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของโจวเหมย

โจวเหมยเริ่มวิตกกังวลอีกครั้งเมื่อถูกจ้องมอง ขณะที่นางได้ยินคำถามที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของหวังเป่าเล่อ สีหน้านางก็เริ่มแสดงความตกใจและหวาดหวั่น น้ำเสียงของนางสั่นเครือและตะกุกตะกักเมื่ออ้าปากตอบ

“หัวหน้าสาขาเจ้าคะ…ข้า…เรื่องนี้นั้น…”

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลง ขณะที่โจวเหมยก็เริ่มกังวลจนตัวสั่น ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนจะถามขึ้นมาปุบปับ

“หลี่อู๋เฉินสร้างปัญหาให้เจ้าเมื่อเจ้าเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วใช่หรือไม่ เขาทำเรื่องเลวทรามกับเจ้าใช่หรือไม่ ต้องใช่แน่ๆ เจ้าหลี่อู๋เฉินคนนี้ กล้าดีอย่างไร!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นทุบที่พักแขนบนเก้าอี้ ก่อนจะปล่อยรัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมา จากนั้นจึงตะโกนสั่งการไปยังต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งยืนรออยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดไปเชิญตัวหลี่อู๋เฉินมาพบข้าเดี๋ยวนี้เถิด!”

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของโจวเหมยซีดเผือดลงก่อนที่ต้นไม้ยักษ์จะได้พูดอะไร นางเดินโซเซออกมาข้างหน้าอย่างเร่งรีบ น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาทั้งสองที่เปี่ยมไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล เห็นได้ชัดว่านางลำบากใจอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อเองก็มองเห็น จึงถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะยกมือเป็นเชิงบอกให้ต้นไม้ยักษ์รออยู่ก่อน จากนั้นจึงยกมือขึ้นถูหน้าผากพลางจ้องมองไปทางโจวเหมย ผู้ซึ่งขณะนี้กำลังยืนคอตก

พักใหญ่ต่อมา หวังเป่าเล่อจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“โจวเหมย บอกข้ามาเสีย เจ้ามีใจให้หลี่อู๋เฉินจริงหรือไม่ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา”

“เลิกพยายามปิดบังความจริงจากข้าเสียที หากเจ้าคิดเช่นนั้น ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น แต่หากไม่ ก็คือไม่” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อสูญเสียความดุร้ายที่เคยมีไปสิ้น ราวกับว่าเขากลับไปเป็นหัวสาขาแห่งสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขาอีกครั้งหนึ่งก็ไม่ปาน

โจวเหมยหน้าแดงก่ำ ก่อนจะก้มศีรษะลงใคร่ครวญ ไม่นานนักก็ตอบขึ้นมาอย่างเอียงอายว่า

“ใช่เจ้าค่ะ!”

หวังเป่าเล่อเงียบงันไป จากนั้นจึงโคลงศีรษะและยิ้มออกมา เมื่อทั้งคู่ต่างก็มาสานสัมพันธ์กันโดยสมัครใจ ก็ไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องตามดูทั้งคู่อีกต่อไป พวกเขาจะได้มาเป็นคู่ครองกันในอนาคตเป็นแน่

การแทรกแซงของหวังเป่าเล่อก็จะทำให้ความสัมพันธ์นี้เป็นทางการเร็วขึ้น ในฐานะศิษย์แห่งเต๋าแล้ว หากหลี่อู๋เฉินเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากับคนจากสหพันธรัฐ ก็จะยิ่งทำให้สถานะพันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาทั้งคู่มีใจให้แก่กันจริง เพราะว่าคงจะไม่มีความหมายแต่อย่างใดหากคนใดคนหนึ่งไม่เต็มใจ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จ้องมองโจวเหมยอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะสรุปว่านางเองก็มีใจให้หลี่อู๋เฉินจริง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้และพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดไปเชิญตัวหลี่อู๋เฉินมาที่นี่เถิด”

โจวเหมยดูกังวล แต่น้ำเสียงที่สุภาพขึ้นขอหวังเป่าเล่อก็ทำให้นางโล่งใจได้บ้าง นางยังคงหลุบศีรษะลงต่ำและยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ นางเป็นสตรีที่หลักแหลมนัก และนางรู้ดีว่าหัวหน้าสาขาของนางกำลังจะทำสิ่งใด

หวังเป่าเล่อต้องรับบทพ่อสื่อเป็นครั้งแรก ช่างเป็นประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์เสียจริง ชายหนุ่มยิ้มแย้มและเย้าแหย่โจวเหมยอยู่เป็นครั้งคราว จากนั้นจึงชวนนางคุยเรื่องจินตั้วจื่อ เขาประหลาดใจที่ได้รู้ว่าจินตั้วจื่อไม่ได้กลับไปที่กลุ่มไตรจันทราหลังจากเรียนจบ แต่กลับเลือกไปอยู่กับกองทัพบนฐานที่มั่นบนดวงจันทร์แทน

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ต้นไม้ยักษ์ผู้ขยันขันแข็งจะเดินนำหลี่อู๋เฉินเข้ามายังวังของหวังเป่าเล่อ หลี่อู๋เฉินไม่ได้อยากมา แต่ต้นไม้ยักษ์บอกเขาว่าโจวเหมยรอเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินตามมาอย่างเสียไม่ได้

ทันทีที่เขาเข้ามาถึงโถง ชายหนุ่มก็มองเห็นหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ที่ปลายฝั่งหนึ่ง พลางพูดคุยกับโจวเหมยอย่างสุขใจ ภาพนั้นทำเอาหัวใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย หลี่อู๋เฉินรู้ดีว่าโจวเหมยเป็นลูกศิษย์ของหวังเป่าเล่อ เขายังรู้อีกด้วยว่าคงไม่มีทางซ่อนความสัมพันธ์นี้จากหวังเป่าเล่อได้เป็นแน่

ความอับอายและความบาดหมางในอดีตของทั้งคู่ทำให้หลี่อู๋เฉินทั้งกังวลทั้งกระอักกระอ่วนใจไปหมด ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องโถงและก่อนที่จะได้เอ่ยทักทาย สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หลี่อู๋เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและโจวเหมยจะต้องจบลงวันนี้ ข้าขอเตือนไม่ให้เจ้ามาตอแยกับศิษย์ของข้าอีกต่อไป หาไม่แล้ว ข้าจะสังหารเจ้าเสีย!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ โจวเหมยก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

“หัวหน้าสาขา ท่าน…”

หลี่อู๋เฉินชะงัก ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงและสีหน้าก็เริ่มซีดขาว จากนั้น เมื่อมองเห็นหน้าโจวเหมยและได้ยินสิ่งที่นางพยายามจะพูด หลี่อู๋เฉินก็รู้สึกมีกำลังวังชาอย่างประหลาด เขาเลิกประหม่าและวิตกก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ประกายความท้าทายฉายกล้าอยู่ในแววตา

“ผู้อาวุโสหวัง เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเหมยเอ๋อร์กับตัวข้า ท่านอาจเคยเป็นอาจารย์ของนางแต่ท่านก็ไม่มีสิทธิมาขวาง…”

“ข้าสามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะบรรลุไปถึงขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดภายในหนึ่งปี และยังรับประกันได้อีกด้วยว่าเจ้าจะได้เข้าไปยังห้องจุติศาสตร์เวทอีกด้วย เจ้าจะได้มีโอกาสก้าวเข้าไปถึงขั้นจุติวิญญาณได้!”

“แต่ทว่า หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ข้าจะทำให้ชีวิตเจ้ายากลำบาก ต่อให้เจ้าจะเป็นคนของสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ก็ตามที เจ้าจะต้องตายอยู่ในตัวกระบี่ หลี่อู๋เฉิน เจ้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร คิดดูให้แน่ใจและตอบข้ามา” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อนั้นเย็นชา ความรุนแรงปกคลุมอยู่ในอากาศอันหนักหน่วงที่ปกคลุมวังทั้งหมดเอาไว้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้ที่โจวเหมย คาถาหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเข้าปิดปากโจวเหมยเอาไว้ นางไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาได้ ทำได้เพียงกังวลอย่างเงียบงัน

หลี่อู๋เฉินหน้าซีดลงอีก ความเกรี้ยวกราดในแววตาของเขาเปล่งประกายกล้าขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าจ้องหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างไม่รีรอ

“หวังเป่าเล่อ คำตอบของข้าก็คือ…ไม่มีทาง!”

หวังเป่าเล่อกลอกตา ชายหนุ่มตั้งใจแสดงให้ยิ่งใหญ่ไปเช่นนั้นเอง แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะเขาเคยเห็นตัวอย่างมาจากละครโทรทัศน์ในสหพันธรัฐ เขาเชื่อว่าคงจะต้องมีเหตุผลที่ต้องแสดงกันอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อได้ยินคำตอบของหลี่อู๋เฉินแล้วจึงจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะได้ข้อสรุป ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบที่เท้าแขนก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน และเมื่อเปิดปากพูด เสียงของเขาก็ดังสนั่นออกมากึกก้องอย่างน่ายำเกรง

“ไม่มีทางอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าทั้งคู่เอง การสมรสของพวกเจ้าจะเกิดขึ้นภายในวังแห่งนี้ เจ้าจะเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของกันและกัน ไม่อาจจะแยกจากกันได้แม้ทั้งในชีวิตและความตาย!”

“หลี่อู๋เฉิน เจ้าตกลงหรือไม่”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset