บทที่ 618 ผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่!
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข่าวการกลับมาของหวังเป่าเล่อในฐานะศิษย์อุปถัมภ์เริ่มแพร่กระจายออกไป สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คนในสำนักวังเต๋าไพศาล คนที่ไม่รู้มาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นก็เริ่มไปค้นหาดูในบันทึกเก่าๆ และพบว่าระดับศิษย์นี้ถือเป็นสถานะสูงส่งเท่าใดในอดีต
สถานะใหม่นี้แปลว่าหวังเป่าเล่อสามารถจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรเสียผู้ที่มอบตำแหน่งนี้ให้เขาก็คือสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง เหลือเพียงระดับขั้นพลังปราณปัจจุบันของเขาเท่านั้นที่หยุดไม่ให้เขาเข้าควบคุมสำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดเอาไว้
ตอนนี้ไม่สำคัญอีกแล้วว่าเขาไม่ได้มาจากสำนักวังเต๋าไพศาล
ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คน เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ด้วย ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็กลับมาถึงในฐานะศิษย์สำนักในและศิษย์สำนักนอก ระดับของกงเต๋านั้นไม่ค่อยน่าตื่นตกใจเท่าใดนัก แต่ของเจ้าเยี่ยเหมิงทำเอาทุกคนแทบไม่เชื่อสายตา หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จอันใหญ่หลวงของหวังเป่าเล่อที่บดบังอยู่ เจ้าเยี่ยเหมิงก็จะต้องเป็นที่สนใจอย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
สหพันธรัฐ…ในที่สุดก็ควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพสาลเป็นเนื้อเดียว แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะแยกทั้งสองออกจากกัน เพราะอย่างไรเสียก็มีหวังเป่าเล่ออยู่ บุรุษไร้เทียมทานผู้ที่ไม่อาจถูกแทนที่ได้
สิ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลต้องตัดสินใจขณะนี้ก็คือตำแหน่งและหน้าที่ที่จะมอบให้หวังเป่าเล่อ ผู้คนเสนอความคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ที่ต้องปวดศีรษะกับเรื่องนี้อย่างใหญ่หลวงก็คือเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน รวมไปถึงศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากการถือสันโดษและนิ่งเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
ถ้าที่เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังปฐมพยาบาลตนเองจากอาการปวดหัว เฟิ่งชิวหรันก็กำลังสับสันอย่างหนัก นางไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรกับหวังเป่าเล่อดี ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้พูดเรื่องนี้กันแม้แต่น้อย เรื่องยุ่งยากทุกอย่างก็ยังคงอยู่ต่อไป
ทั้งสามรู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างไม่ช้าก็เร็ว มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ศิษย์อุปถัมภ์มีอำนาจพอที่สั่งการต้นไฮยาซินและวงแหวนปราณของสำนักได้ หากที่นี่เป็นสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นในอดีตแล้ว ก็ไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะได้เป็นผู้ติดตามของหวังเป่าเล่อเสียด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสทั้งสามพยายามจัดการกับเรื่องปวดหัวที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ระหว่างที่บรรดาผู้ฝึกตนทั้งหลายในสำนักวังเต๋าไพศาลก็ยังคงถกเถียงกันต่อไปอย่างเผ็ดร้อน หวังเป่าเล่อกลับไปถึงเกาะเพลิงเขียวเพื่อจัดการธุระให้เรียบร้อย ชายหนุ่มกำชับเจ้าลาหนักแน่นว่าห้ามก่อปัญหา ก่อนจะติดต่อไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสามไปรวมตัวกันที่เกาะหลักและเตรียมจะนำสิ่งของที่เก็บมาได้ไปแลกเป็นแต้มการรบ
รายรับของพวกเขามากมายมหาศาล ทุกคนต่างก็หลีกทางให้พร้อมกับส่งสายตาแปลกแปร่งมาเมื่อพวกเขาเดินไปยังแผ่นหินรับภารกิจ ทันทีที่การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้น ทั้งสามก็หยิบเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า แผ่นหินเริ่มสั่นสะท้านก่อนจะส่องแสงสว่างจ้า
ไม่ใช่เพียงแสงสว่างวาบเดียว แต่เป็นแสงสว่างจ้าที่ส่องอยู่ไม่หยุดหย่อน เพื่อนทั้งสามหยิบเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่อไป ราวกับว่ากระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาทั้งสามไร้ก้นบึ้งกระนั้น
ศิษย์สำนักวังเต๋ารอบกายพวกเขาตอนแรกๆ ก็ตกใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สามสิบนาทีผ่านไป หวังเป่าเล่อและเพื่อนในที่สุดก็เอาของออกมาหมด เกิดความโกลาหลยิ่งใหญ่ขึ้น ณ บริเวณลานแผ่นหินรับภารกิจนั้น
ความวุ่นวายนั้นเกิดขึ้นอยู่ยาวนาน เสียงร้องโวยวายดังก้องออกมาได้ยินไปไกล หวังเป่าเล่อและเพื่อนเอาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต้มการรบที่พวกเขาได้รับมาอยู่ที่ราวๆ หนึ่งล้านแต้ม พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จแล้ว!
เพื่อนทั้งสามแยกทางกันในอีกไม่นานนัก หวังเป่าเล่อลงแรงไปเยอะที่สุดในการสำรวจ ทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็ยืนยันว่าให้ชายหนุ่มรับแต้มการรบไปทั้งสิ้นห้าแสนแต้ม ส่วนกงเต๋ารับไปอีกร้อยละสี่สิบของที่เหลือ ทิ้งอีกร้อยละหกสิบเอาไว้ให้เจ้าเยี่ยเหมิง
การแบ่งเช่นนี้ก็ดูสมเหตุสมผลดี กงเต๋าเองก็คิดว่าเป็นจัดการที่ยุติธรรม ชายหนุ่มกล่าวคำอำลาเพื่อนทั้งสองก่อนจะจากไปเพื่อนำแต้มการรบไปแลกสมบัติเวท เขาตั้งใจจะไปแลกเสื้อคลุมผ้าคลุมออกรบที่มีพลังทำให้ผู้สวมใส่หายตัวได้
เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีสิ่งที่ต้องการจะซื้อเช่นกัน นางจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเปี่ยมความหมายและแก้มสีชมพูระเรื่อ ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อเองก็รีบมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาลพร้อมตราประจำตัวที่มีแต้มการรบอยู่เต็มเปี่ยม
ครั้งนี้ละ ข้าจะให้ต้วนมู่น้อยเรียกข้าว่าท่านบิดาให้จงได้! หวังเป่าเล่อคิดอย่างภาคภูมิใจ ตราบใดที่ชายหนุ่มยังแต้มการรบอยู่ เขาก็เสมือนมีพลังครองโลกได้ เขามาถึงหอตำรากระบวนเวทไพศาลจนได้ ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มก็ซื้อตำรากระบวนเวทมาถึงสองร้อยชุดในพริบตา แม้ว่าในบรรดาตำรานั้นมีบางเล่มราคาสูงถึงหนึ่งพันแต้มการรบเลยก็ตาม!
หวังเป่าเล่อใช้แต้มการรบไปเกือบสามแสนแต้มไปกับตำรากระบวนเวท ชายหนุ่มไม่เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีแต้มการรบอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มที่ซุนไห่จะนำมาจ่ายในวันนี้ แถมการที่เขาไม่อยู่ชั่วระยะหนึ่งก็แปลว่ายังมีกำไรจากเกมให้เก็บอีกมาก แม้จะยังไม่ได้ถามเซี่ยไห่หยางว่าเท่าใด แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นจำนวนไม่น้อยแน่นอน
ชายหนุ่มไม่ได้เครียดเรื่องการใช้จ่ายเงินแม้แต่น้อย เขาหยิบเอาตำรากระบวนเวททั้งสองร้อยเล่มไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและส่งกลับไปสหพันธรัฐพร้อมกับในคราวเดียว หวังเป่าเล่อพอจะจินตนาการความตื่นตะลึงที่จะเกิดขึ้นในสหพันธรัฐหลังจากที่ได้รับตำรากระบวนเวทสองร้อยเล่มพร้อมๆ กันได้ ชายหนุ่มสงสัยว่าต้วนมู่ฉีจะอ้าปากกว้างเพียงใดเมื่อได้เห็น ความคิดนั้นทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ต้วนมู่น้อย เจ้าหมดหนทางต่อต้านแล้ว เจ้าไม่ควรจะพยายามเล่นสกปรกเองตั้งแต่ต้น! หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นตบท้องอย่างภาคภูมิใจ ชายหนุ่มเชื่อมั่นในการไม่ยอมแพ้ เขาส่งตำรากระบวนเวททั้งสิ้นกว่าสามร้อยเล่มกลับไปยังสหพันธรัฐแล้ว หรือบางทีถ้านับแบบปัดเศษอาจจะบอกได้ว่าเขาส่งกลับไปห้าร้อยเล่นก็ย่อมได้!
ถ้าอย่างนั้นก็แน่นอนแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก่อนจะกลับเกาะเพลิงเขียวไปอย่างเปี่ยมสุข ตามที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้ เกิดความโกลาหลขึ้นครั้งใหญ่ในสหพันธรัฐเพราะตำราสองร้อยเล่มที่เพิ่งถูกส่งกลับไป
ความวุ่นวายบนดาวพุธและการผกผันของระบบจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าทำให้การทุ่มเถียงอย่างรุนแรงแพร่กระจายไปทั่วสหพันธรัฐ สำนักข่าวทั้งหลายต่างพากันตีพิมพ์และเผยแพร่บทความออกไป ผู้คนในสหพันธรัฐก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้เช่นกัน ต้วนมู่ฉีถึงกับใบ้เบื้อไป เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสถานะผู้นำแห่งสหพันธรัฐของเขา…คงจะอยู่อีกไม่นาน
สำนักข่าวหลายแห่งเริ่มพูดถึงคำสัญญาที่ต้วนมู่ฉีให้ไว้ แปลว่าใครก็ตามที่ติดตามข่าวอยู่เสมอก็จะรู้ว่า หวังเป่าเล่อจะได้รับการปูนยศอย่างใหญ่หลวงเมื่อเขากลับมา!
ผู้คนทั้งสหพันธรัฐก็พากันซุบซิบเรื่องนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาผู้อาศัยในนครศักดิ์สิทธิ์ บิดามารดาของหวังเป่าเล่อเริ่มมีเพื่อนฝูงในเมืองบ้างและพวกเขาก็เริ่มติดตามข่าวเช่นกัน ชายหญิงชราทั้งคู่ต่างก็ดูข่าวด้วยหัวใจเต้นระทึก ไม่อาจจะวาดฝันไปถึงการที่บุตรชายคนเดียวจะได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐได้เลย
แต่ทว่า สิ่งนั้นกำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว พวกเขารู้ดีว่าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะมั่นคงขึ้นเพียงใด ทั้งคู่ขณะนี้ก็ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แถมเพื่อนใหม่ๆ ที่เพิ่งรู้จักก็ดีจะเป็นมิตรขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…
ขณะที่แผ่นดินสหพันธรัฐเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง ชีวิตของหวังเป่าเล่อบนกระบี่สำริดโบราณก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง ชายหนุ่มเริ่มการฝึกปราณอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เขาสามารถควบคุมพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดได้แล้ว และเริ่มวางแผนการบรรลุขั้นไปยังขั้นจุติวิญญาณ ยังคงมีปัญหาเรื่องวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองอีกด้วย หวังเป่าเล่อยังวางแผนจะบรรลุขั้นสุดท้ายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยเช่นกัน
ความคืบหน้าของเขาในวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคียังคงเชื่องช้า แต่กับกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นกลับรุดหน้าไปได้ดี อย่างไรก็ตามแต่ ความคืบหน้าในการฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงเองก็ชะลอตัวลงเช่นกัน แม้จะใกล้ถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ตามที พลังที่ชายหนุ่มจะได้รับมาเมื่อบรรลุขั้นสุดท้ายนั้นจะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ากระบวนเวทอื่นใดในตระกูลอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยกัน อันที่จริงแล้ว กระบวนเวทนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงในขั้นกำเนิดแก่นในด้วยกัน
ชื่อของมันก็คือดัชนีอัสนีนิรันดร์!
สวรรค์และพื้นพิภพจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อดัชนีอัสนีนิรันดร์ถูกปลดปล่อย! ขั้นที่สี่ของกระเบนเวทอันสีนิรันดร์จำแลงนี้มุ่งเน้นการรวมพลังไปของสายฟ้าเข้าสู่กายของผู้ใช้เพื่อสร้างดัชนีสายฟ้าที่ทรงพลัง ทำให้สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ในพริบตา!
ความพยายามครั้งแรกๆ ของหวังเป่าเล่อทำให้เขาได้สัมผัสถึงพลังที่ถูกกักเก็บอยู่ภายในดัชนีอัสนีนิรันดร์นี้ ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจในการฝึกฝนมากขึ้นไปอีก
ในที่สุดซุนไห่ก็รวบรวมแต้มการรบมาได้หนึ่งแสนห้าหมื่นแต้ม หลังจากที่ต้องทั้งร้องขอ ลักขโมย และประจบประแจง ในเวลาเดียวกันนั้น เซี่ยไห่หยางก็โอนแต้มการรบมาให้สองแสนแต้ม ที่ล้วนเป็นรายได้จากเกมทั้งสิ้น
ความร่ำรวยของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นจนทะลุสี่แสนแต้มการรบไปแล้ว หากชายหนุ่มไม่ได้เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ก็ต้องติดหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน
หวังเป่าเล่อฝึกปราณต่อไป ในช่วงนี้ ปัญหาเรื่องสถานะของเขาก็ได้รับการแก้ไข เฟิ่งชิวหรันในที่สุดก็เสนอให้หวังเป่าเล่อรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด เท่าเทียมกับอีกสามคนที่เหลือ ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล เขาจะสามารถรวบรวมผู้คนมาเข้าฝ่ายของตนเองได้อีกด้วย!
หากเป็นเรื่องอื่น เมี่ยเลี่ยจื่อก็คงคัดค้านหัวชนฝา ตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อได้รับนั้นเกินกว่าที่ชายชราจะยอมรับได้ แต่ทว่าขณะนี้นั้น…เพราะความกดดันจากสถานะของหวังเป่าเล่อที่เป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ เมี่ยเลี่ยจื่อทำได้เพียงต้องยอมรับข้อเสนออย่างขมขื่น เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ติดตามของศิษย์อุปถัมภ์ด้วยซ้ำ…
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดูเหมือนว่าจะมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดคุยแบ่งปันกับใคร ทั้งเฟิ่งชิวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อต่างก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะฉะนั้นก็คงไม่เป็นการควรหากโยวหรันจะแสดงความคิดเห็นอะไรอีกต่อไป เขาจึงนั่งเงียบอยู่ ขณะที่มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตา
ผู้อาวุโสทั้งสามบรรลุฉันทามติซึ่งกันและกัน และเมื่อประกาศเรื่องนี้ออกไป ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลก็วุ่นวายเอิกเกริกเป็นการใหญ่!
ไม่มีใครสักคนในสำนักที่ไม่ตกตะลึงกับข่าวนี้ ทุกๆ คนรู้ดีว่าอะไรๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลก็กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล!