บทที่ 617 สถาปนาอำนาจ!
เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นเทา ตั้งแต่ขึ้นมาสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มานานมากแล้ว ชายชราไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะออกมาเช่นนี้แม้แต่น้อย ว่าคนอย่างหวังเป่าเล่อจะได้ระดับศิษย์อุปถัมภ์มาไว้ในครอบครอง!
เขาคาดการณ์ไว้ว่า หวังเป่าเล่อคงต้องลำบากอย่างหนักเพียงเพื่อจะไปให้ถึงระดับศิษย์สืบทอดได้ แต่ทว่าขณะนี้นั้น หวังเป่าเล่ออยู่ในระดับศิษย์อุปถัมภ์ สูงกว่าระดับศิษย์สืบทอดถึงสองขั้น เป็นรอดเพียงแค่ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลเท่านั้น!
เมี่ยเลี่ยจื่อยังไม่อาจจะเชื่อสายตาตนเองได้ ในฐานะศิษย์ที่เคยเห็นช่วงเวลาที่สำนักวังเต๋าไพศาลรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขาเคยได้เห็นว่าศิษย์สืบทอดนั้นมีสถานะสูงส่งเพียงใด ศิษย์เอก ที่ถือว่าสูงกว่าศิษย์สืบทอด ยังได้รับการยอมรับมากยิ่งกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคยมีศิษย์เอกอยู่พร้อมๆ กันเพียงสามถึงห้าคนเท่านั้น
ศิษย์สืบทอดนั้น…เป็นตำแหน่งในตำนานของสำนัก แต่ละคนก็มีพลังอำนาจและสถานะอันสูงยิ่ง และไม่ใช่คนที่จะพบเจอได้ง่ายๆ ชายชราจำได้ว่าตัวเขาเองเคยเป็นผู้ติดตามของศิษย์เอกคนหนึ่งและเห็นว่าศิษย์เอกเหล่านั้นทุ่มตัวลงคำนับศิษย์สืบทอดจนหน้าผากจรดพื้น ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาๆ ที่มาอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนอย่างใดอย่างนั้น!
ความทรงจำเหล่านี้เป็นเหตุให้เมี่ยเลี่ยจื่อตกตะลึงไปเช่นนั้น ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ เขาได้ยืนนิ่งตะลึงไปเช่นนั้น
เฟิ่งชิวหรันเองก็มีปฏิกริยาคล้ายคลึงกัน แต่เทียบกับเมี่ยเลี่ยจื่อแล้ว นางก็เคยเห็นตราประจำตัวศิษย์สีม่วงมามากกว่าบ้าง เพราะว่าผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลของนางเคยไปถึงระดับศิษย์อุปถัมภ์มาก่อน!
แต่ความทรงจำนั้นก็ยังทำให้นางอดใจหายไม่ได้ อันที่จึงแล้วเฟิ่งชิวหรันตกตะลึงมากกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อหลายเท่าตัว นางเกือบจะยกมือคำนับหวังเป่าเล่อตามสัญชาติญาณที่ต้องทำความเคารพผู้อาวุโสกว่า
กระทั่งหวังเป่าเล่อเองก็ยังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าระดับศิษย์อุปถัมภ์นั้นสูงยิ่ง แต่ก็ยังคงเศร้าเสียใจไม่หายกับการพลาดตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าไพศาลไป เขาดึงเอาตราประจำตัวนี้ออกมาเพื่อจะจบการถกเถียงเรื่องของซุนไห่เท่านั้น
หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดคิดว่าตราประจำตัวสีม่วงจะทำให้ต้นไฮยาซินสั่นไหวและวงแหวนปราณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับมันไปด้วย กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังสั่นคลอนอยู่เบาๆ สีหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน ดูราวกับว่าพร้อมจะทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบหวังเป่าเล่ออยู่ทุกขณะ
หวังเป่าเล่อสูดเอาอากาศเย็นเยียบเข้าไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ สงบใจลง จากนั้นเขากะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนจะชูตราประจำตัวและกล่าวออกมาอย่างเนิบๆ ว่า “ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ ข้าอยากจะรู้ว่า ซุนไห่เป็นศิษย์สำนักในใช่หรือไม่ หรือเป็นศิษย์สืบทอด หรือเป็นศิษย์สำนักนอกกัน”
เสียงของหวังเป่าเล่อนิ่งสงบ ก่อนหน้านี้นั้น ชายหนุ่มไม่มีอำนาจเพียงพอ แต่มาบัดนี้ เมื่อเขามีสถานะศิษย์อุปถัมภ์ ทุกๆ คำที่เขาพูดก็มีความหมายและมีอำนาจขึ้นมาอย่างยิ่งยวด!
เมี่ยเลี่ยจื่ออ้าปากพยายามจะพูด แต่ก็สัมผัสได้เพียงรสขมปร่าอยู่ภายในปากเท่านั้น ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย เฟิ่งชิวหรันจึงชิงเอ่ยตอบชายหนุ่มเสียเอง
นางเองก็เพิ่งจะหายตกตะลึง นางยกมือประสานทำความเคารพหวังเป่าเล่อตามสัญชาติญาณก่อนจะตอบเบาๆ ว่า “ซุนไห่ไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงของวังเต๋าไพศาลแต่อย่างใด เขาไม่มีสถานะตำแหน่งศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล…”
“เขาไม่มีอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพยักหน้า ประกายเย็บเยียบปรากฏขึ้นในแววตาของชายหนุ่ม
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็แปลว่าเขาเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดาๆ เท่านั้น เมื่อมาคิดว่าคนรับใช้บังอาจมาล่วงเกินข้าและใช้อสูรประจำตัวของข้าเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถ สิ่งนี้ต่างหากที่เหมาะจะเรียกว่าเป็นการกบฏ! เป็นการล่วงเกินผู้บังคับบัญชา ผู้อาวุโสเมี่ยคิดเห็นเช่นใดกับเรื่องนี้ เขาควรจะได้รับการลงโทษเช่นใดดี” หวังเป่าเล่อพูดอย่างวางโต ชายหนุ่มขณะนี้มีทั้งเหตุผลและอำนาจอยู่ข้างเขาสิ้น เขาพลิกสถานการณ์กลับได้โดยใช้เพียงวาจาเท่านั้น ทุกๆ คนเริ่มจะกังวล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจึงได้รีบรุดพากันมา พวกเขามีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อกล่าว สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปทางชายหนุ่มในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ…ความยิ่งใหญ่และสถานะอันสูงส่งของระดับศิษย์อุปถัมภ์นั่นเอง!
กระทั่งซุนไห่ ผู้ที่รอดมาได้เพราะเมี่ยเลี่ยจื่อ ก็เริ่มตัวสั่นเทาแม้จะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณก็ตาม ความรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาทำเอาเขากังวลจนแทบคลั่ง ชายชราไม่คิดเลยว่าความโลภเพียงชั่ววูบจะทำให้เขาเสียกายเนื้อ แถมยังเข้าข่ายว่าได้กระทำผิดอย่างมหันต์ไปเสียฉิบ
เจ้านี่มีตำแหน่งศิษย์อุปถัมภ์ได้อย่างไรกัน บัดซบ เป็นไปไม่ได้!
ซุนไห่ตัวสั่นก่อนจะร้องขอให้เมี่ยเลี่ยจื่อช่วย อีกฝ่ายก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง เขาทั้งตะลึงทั้งประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจแต่อย่างใด สถานะใหม่ของหวังเป่าเล่อทำเอาชายชราหัวหมุนไปหมด
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ทว่าสำนักวังเต๋าไพศาลให้ความสำคัญกับสถานะและระดับมาเป็นอันดับแรก เมี่ยเลี่ยจื่อรู้ดีว่าในสถานการณ์นี้ผู้ที่กุมอำนาจเหนือกว่านั้นคือใคร วังเต๋าไพศาลนั้นย่อยยับไปแล้วก็จริง แต่ผู้อาวุโสที่แก่ชราก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจจะจำศีลอยู่ในดินแดนห่างไกลตรงปลายกระบี่แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตื่นขึ้นอย่างแน่นอน
เมี่ยเลี่ยจื่อเงียบงันเพราะความสับสน
หวังเป่าเล่อไม่ได้เร่งเร้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าไปหาหม้อหลอมโอสถ ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ก็ไม่มีใครกล้าหยุดเขา ต่างพากันถอยกรูดเมื่อหวังเป่าเล่อเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นโบก หม้อหลอมโอสถนั้นแตกออกเป็นสองซีกพร้อมเสียงดังสนั่นก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยง
ลาดำกระโจมออกมาจากหม้อหลอม มันดูทั้งอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ขนจำนวนมากของมันก็ร่วงหายไป มันดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและไม่ได้มีอันตรายใดๆ หนักหนา
เจ้าลาดีใจที่ได้เจอหวังเป่าเล่ออย่างเห็นได้ชัด มันกำลังจะส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งแต่หวังเป่าเล่อจ้องมันถมึงทึง เจ้าลาจึงหลุบศีรษะลงต่ำพลางทำท่าทีเศร้าเสียใจ ก่อนจะเอาจมูกเข้ามาดุนขาหวังเป่าเล่อราวกับว่าจะขอความเมตตา
ข้าจะจัดการกับเจ้าตะกละนี่อย่างไรดี! หวังเป่าเล่อโกรธจัด ชายหนุ่มเป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ แถมยังเป็นบุรุษที่หล่อเหล่าที่สุดในสหพันธรัฐอีกต่างหาก เขายอมให้เจ้าตะกละนี่มาติดตามได้อย่างไรกัน ต้องเป็นการจับคู่ที่แปลกประหลาดในสายตาของผู้คนภายนอกอย่างแน่นอน ชายหนุ่มกำลังจะเตะสั่งสอนเจ้าลาสักทีแต่เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งมองเห็นว่าเจ้าลาไม่ได้บาดเจ็บมากมาย ก็พูดขัดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงแหบพร่า
“หวัง…” ชายชราตะกุกตะกักพูดออกมาได้คำเดียว เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเรียกหวังเป่าเล่อว่าอย่างไร จึงชะงักงันอยู่ จากนั้นจึงตัดสินใจไม่คิดมากจนเกินไปนักก่อนจะกล่าว
“หวังเป่าเล่อ ซุนไห่มีความผิดจริงในกรณีนี้ ข้าจะให้เขาออกมาขอโทษเจ้าเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นโบก วิญญาณจุติของซุนไห่พุ่งออกมาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะก้มลงคำนับหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม สายตาน่าเวทนานั่นส่องประกายขณะที่ชายชราก้มศีรษะลงขอโทษอยู่ซ้ำๆ
“ผู้อาวุโสหวังโปรดเมตตาด้วย ศิษย์ไม่รู้ถึงสถานะของท่านจึงได้ล่วงเกิน ข้าขอขมากับความเลวทรามที่ข้าได้กระทำล่วงเกินท่านลงไปแล้ว…”
เมี่ยเลี่ยจื่อรู้สึกอึดอัดที่ต้องฟังซุนไห่กล่าวขอโทษอยู่ไปมา แต่ทว่าหวังเป่าเล่อนอกจากจะมีสถานะสูงกว่าแล้ว ยังมีเหตุผลรองรับการกระทำอีกด้วย การที่ให้ซุนไห่มาขอขมานั้นเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสงบ
หลังจากที่เงียบกันไปชั่วอึดใจหนึ่ง เฟิ่งชิวหรันก็หันมามองหวังเป่าเล่อเช่นกัน นางและเมี่ยเลี่ยจื่ออาจจะอยู่คนละฝ่าย แต่ซุนไห่ก็ยังเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันเองก็มีสิทธิทัดทานหากหวังเป่าเล่อตัดสินใจจะลงโทษเขาเพิ่มเติม
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่านางคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มยังรู้อีกด้วยว่าการจะสังหารซุนไห่นั้นทำได้ แต่ทว่าอาจจะต้องออกแรงกันสักหน่อย คงจะไม่ง่ายเท่ากับการหาโอกาสลอบสังหารเขาในคราวต่อๆ ไป
หวังเป่าเล่อจะไปยอมปล่อยซุนไห่ไปง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน แต่ทว่า หลังจากที่นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็กล่าวออกมาช้าๆ “อสูรประจำตัวของข้าประสบกับเคราะกรรมอันใหญ่หลวงและไม่เป็นธรรม สิ่งนี้จะทำให้เกิดความ…” ซุนไห่รู้ทันทีว่าหวังเป่าเล่อกำลังพยายามจะทำสิ่งใด แม้ว่าชายหนุ่มจะยังพูดไม่จบก็ตาม ชายชราจึงรีบตะโกนแทรก “ผู้อาวุโสหวัง ศิษย์ผู้นอบน้อมคนนี้ยินดีจะชดใช้ให้…ข้าจะจ่ายให้ท่านห้าหมื่นแต้มการรบ!” หัวใจของซุนไห่รวดร้าวขณะที่ได้ยินจำนวนที่ตนเองตะโกนออกไป แต่อย่างไรเสีย สถานการณ์ก็ดูเหมือนว่าเขาคงไม่อาจจะรอดไปได้โดยไม่ต้องชดใช้
หวังเป่าเล่อกลอกตาก่อนจะพูดต่อไป
“…ความเจ็บปวดทางใจ จากความหวาดกลัวที่มันต้องเผชิญ ซึ่งจะไปฉุดรั้งโอกาสการบรรลุขั้นการฝึกปราณของมันต่อไปในอนาคต!”
เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันไปบุ้ยใบ้ใส่เจ้าลาอยู่ลับๆ ลาดำกะพริบตา แล้วก็แหกปากร้องตะโกนก่อนจะล้มตัวลงกับพื้น น้ำลายเริ่มฟูมปาก ตีนทั้งสี่ก็กระตุกอยู่ไปมา เจ้าลานั้นดูเหมือนว่าพร้อมจะขาดใจได้ในทุกขณะ นับเป็นผลงานการแสดงชิ้นเยี่ยมของเจ้าลาเลยก็ว่าได้
เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างอ่อนใจ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อต้องเบือนหน้าหนี เขาไม่อาจจะทนดูภาพนั้นได้ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณรอบๆ กายพวกเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง ซุนไห่ถึงกับใบ้เบื้อ หัวใจเขาจากที่ตอนแรกเจ็บปวดอยู่เฉยๆ ตอนนี้ราวกับถูกมีดกรีดจนเลือดอาบ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ซุนไห่จะกัดฟันพูด “หนึ่งแสน หนึ่งแสนแต้มการรบ ข้าจะจ่ายชดเชยให้ท่านด้วยหนึ่งแสนแต้มการรบ!”
เมื่อเขาพูดจบ เจ้าลาก็ส่งเสียงร้องลั่นก่อนจะกระอักเอาโลหิตออกมาเต็มปาก
“หนึ่งแสนห้าหมื่น…” เสียงของซุนไห่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ จำนวนนั้นคือเงินทั้งหมดที่เขามี
“หนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มการรบที่จะต้องจ่ายให้ครบภายในสามวัน จงจำเอาไว้ว่า ซุนไห่ แม้ว่าข้าจะไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้เพราะนี่เป็นความผิดครั้งแรกของเจ้า แต่หากเจ้าทำอีกครั้งแล้วละก็…” หวังเป่าเล่อไม่พูดต่อให้จบ ชายหนุ่มจ้องไปยังซุนไห่อย่างเปี่ยมความหมายด้วยสายตากระหายเลือด จากนั้นเขาจึงยกมือคารวะเฟิ่งชิวรัน เก็บตราประจำตัว และหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้กลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนมองหน้ากันไปมาด้วยสายตางุนงง
เจ้าลากระโจนวิ่งตามหวังเป่าเล่อไป มันไม่กระอักโลหิตอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันห้อตะบึงตามหวังเป่าเล่อจากไป เสียงร้องด้วยความยินดีของเจ้าลาดังก้องมาตามอากาศอยู่เป็นพักๆ บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็เฝ้ามองหวังเป่าเล่อและฟังเสียงร้องของเจ้าลาจนพวกเขาลับสายตาไป ต่างก็คิดเหมือนกันเป็นหนึ่งเดียวว่า
ในอนาคตอันใกล้นี้ สำนักวังเต๋าไพศาล…อาจจะต้องเตรียมการต้อนรับผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก็เป็นได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้นก็ตามที!