“เมื่อกี้ดูอย่างไรก็เป็นฉีเฟิงที่เหนือกว่า ทำไมจู่ๆ เขาถึงกลายเป็นฝ่ายแพ้ไปเล่า?”
“ใช่ ข้าเห็นแค่ว่าเจ้าเด็กนั่นมันถูกไล่ไปทั่ว แต่จู่ๆ คิ้วของฉีเฟิงก็ติดไฟขึ้นมาเสียอย่างนั้น”
“หรือว่าเจ้าเด็กนี่มันจะโชคดีและบังเอิญชนะได้?”
…
การพ่ายแพ้ของฉีเฟิงเมื่อสักครู่นี้ ดูอย่างไรทีแรกก็เป็นเขาที่ได้เปรียบแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แพ้พ่ายไปเสียอย่างนั้น?
ไม่ใช่แค่เขา ตอนนี้คนอื่นๆ ที่มองดูอยู่เองก็ไม่เข้าใจและแสดงสีหน้ามึนงงสับสนออกมาตามๆ กัน
มีแค่คนเดียว มีเพียงแค่ชายชราหัวขาวคนนั้นเท่านั้นที่มองไปยังเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจ
การลงมือของเย่หยวนเมื่อสักครู่นี้มันแยบยลมาก เขาเปลี่ยนทิศไฟของฉีเฟิงสองอันพุ่งเข้าไปเผาคิ้วอีกฝ่ายด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติ
เพียงแค่ว่าการลงมือนี้ของเย่หยวนมันแสนจะแยบยล ด้วยพลังสายตาของผู้คนทั้งหลายที่มองดูอยู่ตอนนี้มันจึงไม่มีใครที่จะมองออกได้เลย
“ศิษย์พี่ฉีเฟิง แข่งกับมันอีก! นักบวชอย่างเราๆ จะไปแพ้นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำได้หรือ?” ในฝูงชนมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น
ฉีเฟิงเองก็ทำหน้านิ่งและบอกออกมา “ได้! ข้าจะวางห้าร้อยแต้ม หากเจ้าแพ้เจ้าต้องเสียทั้งผลปั้นจั่นอายุและสามร้อยแต้มที่มีให้ข้า! เจ้ากล้ารับคำท้าไหม?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบ “เจ้านี่มันหน้าไม่อายจริงๆ สองร้อยแต้มก็คิดจะเอามาเทียบกับผลปั้นจั่นอายุของข้าแล้ว แต่…ทำไมข้าจะไม่กล้ารับล่ะ? เจ้าลงมือเลย!”
ฉีเฟิงกำลังคิดจะลงมือแต่ก็หยุดตัวเองไว้ก่อน “เมื่อรอบก่อนข้านั้นลงมือไปแล้ว ตอนนี้เจ้าลงมือก่อนบ้าง!”
เย่หยวนยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าลงมือก่อนจริง? หากข้าลงมือก่อนเจ้าคงไม่มีปัญญาจะชนะได้แล้ว”
ฉีเฟิงยิ้ม “เมื่อกี้เจ้ามันก็แค่โชคดีเท่านั้น เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจปานนั้น? นอกจากผู้อาวุโสแล้วยังไม่มีใครกล้าพูดจาขนาดนี้ต่อหน้าข้าเลย เจ้านี้มันช่างอวดอ้างอย่างไม่ประมาณตน”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยหน้าเหนื่อยๆ “หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็จะขอลงมือก่อนล่ะ เจ้าเตรียมตัว”
คราวนี้ฉีเฟิงไม่คิดที่จะประมาทศัตรูอีกต่อไปแล้ว เขาพร้อมตั้งรับอย่างเต็มที่ สายตาจับจ้องไปยังเย่หยวน
เขาตัดสินใจที่จะทำให้เย่หยวนต้องร้องขอชีวิต
ให้เขาได้รู้ว่านักบวชนั้นไม่ใช่ตัวตนที่จะมาลบหลู่กันได้!
ตอนนี้เองที่เย่หยวนค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมา มือของเขากำแน่นโดยมีแค่นิ้วชี้และนิ้วกลาวที่ยื่นออกมา
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉีเฟิง มือทั้งสองข้างเตรียมการวาดตราไว้ พร้อมที่จะเรียกไฟศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาอีกครั้ง
เย่หยวนขยับนิ้วทั้งสองเล็กน้อย!
ฟุบ!
พรึ่บ!
โดยที่ยังไม่มีใครทันตั้งแต่ก็เกิดไฟลุกขึ้นท่วมสูง
ฉีเฟิงเรียกไฟดาวอนันต์ออกมาอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
ในฝูงชนมีคนตะโกนขึ้น “ศิษย์พี่ฉีเฟิง ผมท่าน! ผมของท่าน!”
ฉีเฟิงนิ่งไปและบ่นขึ้นมา “ผม?”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะ เป็นตอนนี้เองที่เขาเริ่มตื่นตัวขึ้นมา
“อ่า! อ้าก! ผมข้า! ไหม้แล้ว! ผมไหม้แล้ว!”
ฉีเฟิงตะโกนร้องออกมาพร้อมกระโดดไปมาไม่หยุด ราวกับเป็นกระต่ายที่ตื่นตูม เป็นท่าทางที่แสนน่าขบขัน
แต่ไฟบนหัวของเขานั้นกลับรุนแรงอย่างมากและไม่มีทีท่าจะดับลงแม้แต่น้อย
ชายชราผมขาวได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างตื่นตกใจ
ทักษะการควบคุมไฟของคนทั้งสองนี้มันห่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิงเลย
ทักษะของเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะง่ายแต่แสนซับซ้อน
ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ถึงขั้นนี้
นี่มันนักบวชฝึกหัดหน้าใหม่ไม่ใช่หรือ?
ทำไมยอดอัจฉริยะระดับนี้ถึงได้มาอยู่ระดับล่างได้?
“อ่า มือข้า! ข้า…ข้ายอมแพ้! ข้าขอยอมแพ้! รีบดับไฟให้ข้าเร็ว!”
มือของฉีเฟิงนั้นไม่สามารถจะจับศีรษะของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเย่หยวนนั้นมันพัฒนาไปถึงยอดระดับสี่มานานมากแล้ว มีพลังที่ไร้สิ้นสุด
หากเย่หยวนไม่คิดที่จะดับมัน ไฟนี้ก็คงไม่มีวันมอดดับเป็นแน่
เย่หยวนยิ้มออกมาและยื่นมือเข้าไปเก็บก้อนไฟนั้นเข้ามาไว้
แต่ระหว่างที่ดวลกันนั้นเส้นผมของฉีเฟิงก็ไหม้จนดำสนิท เป็นภาพที่แสนตลกติดอยู่บนหัวของเขา
เมื่อทุกคนได้เห็นมันแล้วพวกเขาต่างก็ได้แต่ต้องกลั้นขำอย่างสุดชีวิต
แต่กับฉีเฟิงแล้วภาพในตอนนี้มันยิ่งเสียกว่าการเสียหน้า
เย่หยวนเองก็พยายามกลั้นขำไว้และยกมือขึ้นคารวะ “ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งนี่สมชื่อจริงๆ เย่หยวนได้เรียนรู้มากมาย!”
“ดูท่าไอ้เด็กคนนี้มันจะไม่ได้แค่โชคดีเสียแล้ว!”
“โชคก็บ้าแล้ว! เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าฉีเฟิงเจ้าลองไปโชคดีให้ข้าดูสักทีสองทีสิ!”
“นี่เขาเป็นแค่นักบวชฝึกหัดจริงๆ หรือ? ข้าไม่สามารถเข้าใจทักษะการควบคุมไฟของเขาได้เลยแม้แต่นิด!”
…
หลังจากหายขำแล้วสิ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนๆ กันตอนนี้ก็คือความตื่นตะลึง
ในที่นี้มีนักบวชอยู่มากมายหลายคน แต่คนที่จะมองทักษะการควบคุมไฟของเย่หยวนออกนั้นมันกลับไม่มีเลยสักคน!
นักบวชฝึกหัดที่มีทักษะการคุมไฟถึงขั้นนี้มันจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ?
แต่เย่หยวนก็ไม่คิดที่จะสนใจพวกเขา เพราะเป้าหมายของเขาแต่แรกมันก็คือการหาแต้มความดี เมื่อตอนนี้เขารู้ถึงมันแล้วเขาย่อมคิดที่จะเข้าศาลาสวรรค์หลวงเพื่อหาความรู้!
เมื่อถ่ายโอนแต้มเสร็จ เย่หยวนก็หันไปบอกกับชายชราผมขาว “ผู้อาวุโสข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”
ชายชราตอบกลับมา “ย่อมได้ ตอนนี้ระดับของเจ้าเข้าไปได้แค่ศาลาสวรรค์หลวงชั้นหนึ่ง สองชั่วโมงต่อห้าแต้ม ค่ายกลของศาลาจะตัดแต้มเจ้าเอง เพราะฉะนั้นเจ้าจงกะเวลาของตัวเองให้ดี!”
เย่หยวนทำหน้าเหยเกออกมาเมื่อได้ยิน “สองชั่วโมงห้าแต้ม นี่มันจะไม่แพงไปหน่อยรึ?”
ชายชราตอบกลับมาด้วยท่าทางดุดัน “พูดจาไร้สาระอีกเฒ่าคนนี้จะตบหน้าเจ้าให้ตายคาที่เลย!”
เย่หยวนแลบลิ้นออกมาและเดินเข้าไปด้านใน
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้พวกเขาทั้งหลายต่างมึนงง
ชายชราคนนี้มันเป็นแค่คนแก่ที่ดูแลศาลาสวรรค์หลวงเองไม่ใช่หรือ?
เจ้าเด็กคนนี้มันทำตัวอวดดีกับฉีเฟิงถึงขนาดนั้น แต่กลับแสดงท่าทีเคารพต่อชายแก่คนนี้?
ชายแก่คนนี้ดูไม่มีพิษภัยต่อผู้คนหรืออสูร คลื่นพลังจากร่างของเขานั้นก็ไม่ได้รุนแรงมากมาย
นักบวชและนักบวชฝึกหัดที่มายังศาลาสวรรค์หลวงต่างก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจเขามากนัก
ส่วนชายแก่ก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเดินหน้ากลับเข้าไปในศาลาสวรรค์หลวงอีกครั้ง
…
เมื่อเข้ามาในศาลาสวรรค์หลวงชั้นแรกแล้วเขาก็พบว่านี่มันเป็นอีกโลกหนึ่ง
มันราวกับว่าเย่หยวนได้เดินเข้ามาในมหาสมุทรแห่งจารึกศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราววิธีการต่างๆ ล้วนถูกบันทึกและแสดงขึ้นมาบนจอแสง
ได้เห็นเช่นนั้น เย่หยวนก็ต้องเบิกตาโต
สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในตอนนี้ย่อมเป็นศาสตร์หลอมอสูร เพราะมันคือพื้นฐานของการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
ในชั้นหนึ่ง เย่หยวนเจอหมวดความรู้เกี่ยวกับศาสตร์หลอมอสูรและเริ่มศึกษามันอย่างจริงจัง
ความเข้าใจในวิถีโอสถของเย่หยวนในตอนนี้มันย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะมีใครเทียบได้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเหล่านักบวชฝึกหัด
แต่กับเย่หยวนแล้ว เขาแค่ต้องลองอ่านผ่านๆ ตาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที
เมื่อเย่หยวนเริ่มเก็บตัวเรียนรู้อยู่ด้านใน เวลากว่าสิบวันก็ผ่านไปได้ในพริบตา
จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลดีดร่างของเย่หยวนออกมาจากศาลาสวรรค์หลวงชั้นหนึ่งทันที
“โอ้ย! อะไรกันเนี่ย?”
เย่หยวนร่วงลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด
“แต้มความดีของเจ้าหมดแล้ว ค่ายกลจึงส่งเจ้าออกมาด้านนอก” ชายชราผมขาวที่มาอยู่ด้านหลังเย่หยวนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ช่วยตอบกลับไป
เย่หยวนนั้นพูดอะไรไม่ออก “นี่หรือเรียกว่าส่ง? ดูอย่างไรก็เตะออกมาชัดๆ”
ชายชราหัวเราะขึ้น “เจ้าคิดว่าแต้มความดีมันหาง่ายจึงไม่คิดที่จะรักษามันสินะ? เวลาหลายวันนี้เจ้าอ่านไปโดยที่ไม่เข้าใจอะไร ทำแบบนั้นมันจะช่วยอะไรเจ้าได้กัน?”
เย่หยวนนั้นมึนงงเมื่อได้ยิน “ท่านผู้อาวุโสมองดูข้าอยู่ตลอดช่วยหลายวันนี้เลย?”
ชายชราไม่คิดจะตอบเย่หยวนและพูดออกมาด้วยความโกรธเหมือนเวลาที่เด็กๆ ไม่สามารถทำตามความคาดหวังของคนแก่ได้ “เด็กน้อย เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่มากล้น แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้มันคงยากที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้!”
เขานั้นจับตามองดูเย่หยวนมาตลอดหลายวัน แต่เขากลับเห็นว่าเย่หยวนเปิดอ่านความรู้ผ่านๆ ตากว่าห้าร้อยเรื่องในช่วงเวลาแค่สิบวันนี้
และเรื่องราวห้าร้อยอย่างนี้ แต่ละอย่างมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากกว่าหลายสิบปี
ทำเช่นนี้มันจะไม่ใช่การล้อเล่นอีกหรือ?
…………………………