เจ้าลาดำตัวสั่นเทิ้มทันทีที่จ้องมองไปยังเจ้านาย ความกลัวของมันนั้นกำเนิดมาจากสัญชาติญาณ “บิดา” ของมันที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้รู้สึกเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า ตัวตนที่แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้คล้ายกับทะเลโลหิต เพียงชายหนุ่มเอ่ยปากพูดแค่คำเดียวเจ้าลาก็รู้สึกเกรงกลัวสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ มันตัวสั่น ก่อนที่จะนอนลงกับดิ้นอย่างอ่อนเปลี้ย ไม่กล้าจะขยับตัวแม้เพียงนิดเดียว
หวังเป่าเล่อถึงกับเงียบงันไปเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาสังหารหนูเพลิงนรกไปกี่ตัวในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ก่อนที่จะบรรลุวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีชั้นหนึ่ง เขาเก็บสะสมพลังงานจำนวนมหาศาลเอาไว้ในเกราะ แถมยังเข้าใจวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่เขากึ่งส้รางขึ้นกึ่งสืบทอดมาอย่างลึกซึ้งขึ้นอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่ายิ่งหวังเป่าเล่อสังหารไปมากเท่าใด ความบ้าคลั่งที่แฝงอยู่ในใจเขาก็ยิ่งเพิ่มทวีขึ้น ความบ้าคลั่งนั่นเริ่มจะแพร่กระจายออกมาจากกายเขาและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในลักษณะนิสัยของเขาไปโดยปริยาย ในช่วงที่หวังเป่าเล่อฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีนี้ กลายเป็นว่าอารมณ์ของเขาลดความแปรปรวณลง แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ดูห่างเหินขึ้นกว่าที่เขา แต่ทว่าบัดนี้เขากลับเย็นชายิ่งนัก
ชายหนุ่มเปลี่ยนไปมากเสียจนเจ้าลาตัวสั่นและจ้องมองเขาด้วยความกลัว ในทันใดนั้น หวังเป่าเล่อผู้รู้สึกงุนงงก็โบกมือขวาครั้งหนึ่ง ซากหนูเพลิงนรกที่เขาลากมาด้วยก็สลายกลายเป็นฝุ่นและร่วงหล่นลงไปในทะเลเพลิง หลังจากนั้นเขาจึงยกมือขวาขึ้นกำแน่น เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ล้อมกายเขาอยู่เปล่งแสงสีแดงฉายก่อนจะหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ดูราวกับว่าเกราะที่ล้อมกายหวังเป่าเล่ออยู่นั้นค่อยๆ แยกชิ้นส่วนและสลายกลับไปเป็นเส้นเลือดและจุดตันเถียนที่สร้างขึ้นมาจากปราณวิญญาณและโลหิตสีแดงสด จุดตันเถียนเหล่านั้นค่อยๆ ไหลคืนเข้าไปในกายหวังเป่าเล่อ เข้าไปรวมตัวกันที่หัวใจเขา ก่อนจะเรียงตัวกันเป็นตรารูปข้าวหลามตัดสีเลือดบนหัวใจอีกครั้ง
กายเนื้อที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อมาปรากฏต่อหน้าเจ้าลาอีกครั้งหลังจากที่เกราะมลายหายไป เจ้าลาหยุดตัวสั่น มันชูคอขึ้น ดวงตาของมันฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ก่อนที่จะวิ่งเร็วจี๋เข้ามาอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ ก่อนจะใช้ศีรษะถูไถขาของชายหนุ่มอยู่ไปมา สีหน้าของมันแสดงความเป็นมิตรอันคุ้นเคยอีกครา
หวังเป่าเล่อเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าลา เมื่อเก็บชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเป็นแล้ว ชายหนุ่มก็เก็บกดเอาความป่าเถื่อนและกระหายเลือดในใจลงไปด้วย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“มา ไสหัวไป กลับบ้านกันเถอะ!” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็ออกเดินนำไปด้วย เจ้าลาส่งเสียงร้องดังก่อนจะเดินตามมาอย่างรื่นเริง ทั้งคนทั้งลาก็พากันเร่งฝีเท้าออกไปให้พ้นบริเวณทะเลเพลิง พวกเขาออกมาพ้นบริเวณนั้นตอนค่ำมืด ก่อนจะรีบรุดไปยังเกาะเพลิงเขียวในทันที!
เมื่อกลับมาถึง หวังเป่าเล่อก็นั่งลงขัดสมาธิในถ้ำที่พักก่อนจะเริ่มจัดแจงตนเองและระดับพลังปราณ เพื่อให้ทั้งสภาพจิตใจและปราณวิญญาณอยู่ในระดับสูงสุด ชายหนุ่มปล่อยใจจิตใจค่อยๆ สงบลงเพื่อรอรับวันแห่งการทดสอบที่กำลังจะมาถึง
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
เช้าวันถัดมา ทันทีที่พระอาทิตย์ฉายแสง ระฆังจำนวนมหาศาลที่รายล้อมสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มสั่นขึ้นพร้อมกัน เสียงระฆังดังสะท้อนไปทั่ว ชัดเจนว่าดังมาจากวัตถุเวทลึกลับชนิดหนึ่ง เสียงระฆังนั้นสะท้อนไปไกลถึงครึ่งหนึ่งของด้ามกระบี่ ยิ่งห่างออกไปเสียงระฆังก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ แต่บนเกาะเพลิงเขียวที่ตั้งอยู่ใกล้กับเกาะหลัก ทำให้หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงระฆังชัดเจนแม้ว่าจะทำสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักก็ตาม
ดวงตาของชายหนุ่มค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ตามจังหวะการดังของระฆัง นัยน์ตาของเขาส่องประกาย ขณะที่หวังเป่าเล่อลุกขึ้นยืนและเดินออกจากถ้ำที่พัก ประกายบนดวงตาก็ค่อยๆ จางไป ก่อนที่เขาจะอ้าปากร้องเรียกอย่างขี้เกียจ
“ไสหัวไป มาหาข้าเร็ว บิดาจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่น”
ลาดูไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ทว่ามันก็ไม่กล้าขัดคำสั่งหวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงวิ่งมาหาแม้จะคอตก ก่อนที่มันจะได้ส่งเสียงร้องประท้วง หวังเป่าเล่อก็จับตัวมันโยนเข้าใส่กระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะหมุนตัวหนึ่งครั้งและแปลงกายเป็นสายรุ้งที่พุ่งตัวไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มุ่งหน้าปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้เข้าแข่งขันจากเกาะต่างๆ รอบๆ เกาะหลักก็พากันทยอยเดินทางมาทันทีที่ได้ยินเสียงระฆัง ผู้ฝึกตนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวนมากก็เดินทางมาเช่นกัน ไม่มีใครอยากพลาดงานใหญ่เช่นนี้ด้วยประการทั้งปวง
ทุกๆ คนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หลายคนก็ตั้งกลุ่มขึ้นและพากันแลกเปลี่ยนข้อความเสียงขณะที่กำลังเดินทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดคุยเรื่องการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างออกรส
ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันที่จัตุรัสสาธารณะบนยอดเขาสำนักวังเต๋าไพศาลหนาตาขึ้นทุกขณะ ผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนหลายร้อยพากันจ้องมองไปยังบรรดาผู้ชมด้านนอกที่มีจำนวนมากกว่าพวกเขาหลายต่อหลายเท่า ทุกคนต่างก็พากันพูดคุยถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมทดสอบอาจจะยังควบคุมตนเองได้ดีกว่า เพราะว่าเมื่อถูกจับจ้องด้วยสายตานับหมื่นคู่นั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมจะต้องเตะตาอย่างช่วยไม่ได้
บรรดาผู้ชมรอบข้างนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเท่าใดนัก เป็นเหตุให้ทุกต่างถกเถียงกันอย่างตื่นเต้นด้วยเสียงอันดัง หวังเป่าเล่อได้เสียงขู่คำรามของคนทันทีที่เขาเข้ามาในบริเวณปริมณฑลของเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล
“ข้าสงสัยอยู่ว่าตู้กูหลินจะติดอันดับหนึ่งในสามไหมครั้งนี้”
“ตู้กูหลินข้าไม่แน่ใจนัก แต่ข้าเชื่อมั่นว่าศิษย์พี่สวีหมิงจะต้องทำได้แน่นอน!”
“ใครสนใจสวีหมิงกันเล่า ศิษย์พี่ของข้าโจวซู่เต๋าจะขยี้สวีหมิงและลู่หยุ่นด้วยนิ้วมือเดียว!” เสียงการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเช่นนั้นยังคงดังก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อมองมาจากที่ไกลแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ชายหนุ่มหันหน้าหนีและพุ่งตัวไปยังจัตุรัสสาธารณะบนยอดเขา
ผู้เข้าร่วมทดสอบราวร้อยละแปดสิบมาถึงเรียบร้อยแล้ว มีอยู่ราวห้าร้อยคนที่ยืนจับกลุ่มกันตามฝ่ายของตน ผู้ที่อยู่ภายใต้เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน และโยวหรันต่างก็มีพื้นที่เป็นของตนเอง หวังเป่าเล่อมองปราดเดียวก็รีบเดินเข้าไปร่วมกับกลุ่มของเฟิ่งชิวหรัน
ไม่ค่อยมีสนใจการมาถึงของชายหนุ่มเท่าใดนัก แม้ว่าจะมีคนมองเห็นเขามาถึงบ้าง แต่ก็เพียงแค่มองผ่านๆ เท่านั้น
หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มหาที่ว่างๆ ยืนก่อนจะหันหน้ามองไปรอบๆ ไม่นานนักก็มองเห็นกงเต๋า ทั้งคู่สบตากันก่อนจะเดินเข้าหากันทันที
ทันใดนั้น ทุกๆ คนรอบๆ กายของทั้งสองก็ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ เสียงโห่ร้องสนับสนุนดังก้องมาจากด้านนอกและจากในจัตุรัสสาธารณะ เสียงนั้นดังมาจากกลุ่มของเมี่ยเลี่ยจื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเรากลับมาแล้ว!”
“ศิษย์น้องคารวะพี่ใหญ่ตู้กูหลิน!
ใครบางคนเดินทางมาทางอากาศท่ามกลางเสียงโห่ร้อง บุรุษผู้นั้นใส่ชุดดำสนิท สายลมตีผมยาวปลิวสยาย และดวงตาของเขาก็เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ ชายคนนั้นก็ก้าวเดินผ่านเข้ามาอย่างไร้อารมณ์ไปทางกลุ่มของเมี่ยเลี่ยจื่อ เมื่อเขาเดินผ่านกลุ่มผู้ฝึกตนของเมี่ยเลี่ยจื่อ สายตาของผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็ลุกโชนด้วยความชื่นชมและหึกเฮืม
ศิษย์เอกเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ…ตู้กูหลิน! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองเท่านั้น ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเทียบพลังการยุทธของตัวเขาและอีกฝ่ายอยู่ในใจ กงเต๋าก็เดินมาประชิดตัว
“เป่าเล่อ ข้าหารายละเอียดกฎกติกาของการทดสอบเพิ่งไม่ได้เลย” กงเต๋ากระซิบทันทีที่เขาเข้ามาในระยะได้ยิน หวังเป่าเล่อพยักหน้า ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้แล้ว เรื่องเดียวที่เขาเสียดายอยู่เล็กน้อยก็คือการหายตัวไปอย่างปุบปับของเซี่ยไห่หยาง เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย เพียงแค่ไม่ได้รับคำตอบจากเซี่ยไห่หยางเลยตั้งแต่ก่อนหน้านี้
บางทีเซี่ยไห่หยางอาจจะเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ หวังเป่าเล่อคิดขณะที่เสียงโห่ร้องดังเซ็งแซ่ขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มได้ยินเสียงคารวะศิษย์พี่สวีและศิษย์พี่ลู่อยู่ไปมา หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะเดาได้ว่าผู้มาใหม่เป็นใครเท่านั้น ชายหนุ่มยังมองเห็นพวกเขาอีกด้วย!
ทั้งสองก็คือสวีหมิงผู้งดงามราวกับสตรีและลู่หยุนผู้กำยำ ทั้งคู่คือศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรันและอัจฉริยะที่แท้จริงแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล จะเปรียบว่าพวกเขาเป็นเจ้าชายก็คงไม่ผิดนัก ทั้งคู่แตกต่างกับตู้กูหลินผู้เย็นชา ต่างพากันทักทายฝูงชนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม พลางพยักเพยิดทักทายขณะที่เดินผ่านกลุ่มศิษย์ของเฟิ่งชิวหรัน ทำให้เกิดเสียงสนับสนุนดังขึ้นอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อและกงเต๋าเหมือนเป็นเพียงวัชพืชในสายตาพวกเขา ตัวตนของพวกเขาเลือนลางราวกับว่าเป็นเพียงภาพวาดบนกำแพงที่ตกแต่งฉากให้กับเจ้าชายทั้งสองเท่านั้น หลังจากตู้กูหลิน สวีหมิงและลู่หยุนมาถึง ผู้ฝึกตนอีกจำนวนมากก็มาถึงเช่นกัน เจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏตัวขึ้นจากเส้นขอบฟ้าไกลๆ นางมองเห็นหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจึงพุ่งตัวลงมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ในฐานะสามผู้ฝึกตนตัวแทนสหพันธรัฐ ก็มีคนสนใจพวกเขาอยู่บ้างเช่นกันเมื่อพวกเขามายืนรวมกลุ่มกัน หยุนเพียวจื่อเป็นหนึ่งในนั้น
ในฐานะของหนึ่งในผู้ฝึกตนจากกลุ่มของโยวหรัน เขาส่งยิ้มให้หวังเป่าเล่อเมื่อมองเห็นชายหนุ่มจากระยะไกล สายตาเขาเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ หวังเป่าเล่อเห็นรอยยิ้มนั้นจึงผงกศีรษะตอบ ชายหนุ่มกำลังจะส่งข้อความเสียงไปถามอีกฝ่ายว่าได้ข่าวใดๆ มาเพิ่มบ้างไหมก่อนที่ทุกคนจะส่งเสียงดังอีกครั้ง ผู้มาถึงใหม่คราวนี้เป็นคู่บุรุษและสตรี พวกเขาก็คือศิษย์เอกของโยวหรัน…
โจวซู่เต๋าและหวงหยุนซาน!
นอกจากจะเป็นศิษย์เอกของโยวหรันและพวกเขายังเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากันอีกด้วย มีเรื่องซุบซิบที่วนเวียนอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล พูดถึงคู่รักคู่หนึ่งที่ฝ่ายชายรูปร่างหน้าตาธรรม ดูละม้ายคล้ายกับชาวนา ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้นงดงามราวกับประกายแวววาวของดอกไม้ พวกเขาไม่ได้ดูสมกันเลยแม้แต่น้อย ตู้กูหลินผู้ซึ่งหลับตาอยู่เมื่อสวีหมิงและลู่หยุนมาถึง ตอนนี้ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังโจวซู่เต๋า มีประกายของความริษยาปรากฏขึ้นในดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้น
ดูราวกับว่า นอกจากโจวซู่เต๋าแล้วตู้กูหลินเห็นคนอื่นเป็นเพียง…ขยะที่ไม่มีค่าพอจะได้รับการโจมตีจากเขาเสียด้วยซ้ำ!