หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 553 หลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรัน!

บทที่ 553 หลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรัน!

เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากอาจารย์ สวีหมิงและลู่อวิ๋นต่างก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด ยืนรอรับคำสั่งจากอาจารย์อย่างแข็งขัน

เฟิ่งชิวหรันรู้สึกใจชื้นเมื่อเห็นความเอาจริงเอาจังในแววตาของศิษย์ทั้งสองที่นางรักที่สุด หลังจากความเงียบชั่วอึดใจ นางก็เริ่มพูด

“เจ้าทั้งคู่ได้ยินเรื่องการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันแล้วใช่หรือไม่ ข้าต้องการให้เจ้าทั้งสองติดหนึ่งในสามให้จงได้ไม่ว่าจะต้องเผชิญอะไร!”

“ตำแหน่งหนึ่งในนั้นต้องส่งมอบให้ผู้เข้าร่วมทดสอบที่มาจากสหพันธรัฐในวินาทีสุดท้าย ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าทั้งสองอย่างงามสำหรับงานในครั้งนี้!” เมื่อพูดจบนางก็ส่งสายตาเฉียบคมไปยังศิษย์ทั้งสอง

สวีหมิงและลู่อวิ๋นนิ่งเงียบ ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับอาจารย์และพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจคำสั่ง

แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของทั้งคู่ แต่นางก็บอกได้ว่าพวกเขาทั้งสองต้องรู้สึกอะไรบ้างแน่นอน นางรู้ดีว่าคำขอนี้ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่เห็นทางอื่น ดังนั้นนางจึงเริ่มพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่นุ่มนวล

“ข้าสัญญาว่าจะช่วยเหลือผู้ที่ยอมสละตำแหน่ง หากเมื่อใดที่คนผู้นั้นใกล้จะบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ข้าจะช่วยให้บรรลุไปถึงชั้นกลางในทันที!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสวีหมิงและลู่อวิ๋นต่างก็ตกใจ ก่อนจะมีประกายปรากฏอยู่ในแววตา ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ต่างก็อิดออดกับคำสั่งของอาจารย์ แต่หากว่ารางวัลเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาเองก็ยินดี

“อาจารย์ แต่หากพวกเราได้แค่ที่เดียวเล่าขอรับ” ลู่อวิ๋นถามขึ้นมาอย่างปุบปับ

“ที่เดียวก็ไม่เป็นไร แต่จะต้องได้ที่หนึ่งมาเป็นอย่างน้อย!” หลังจากที่เงียบอยู่ชั่วอึดใจ เฟิ่งชิวหรันก็กล่าวตอบ

“อาจารย์ขอรับ หากว่าเราต้องติดหนึ่งในสามของการทดสอบนี้ พวกเราทั้งคู่จะต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้ว…คงเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยดูแลบรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ หากเราไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเขาและใช้สมาธิเต็มที่ เราก็น่าจะทำสำเร็จได้ง่ายกว่า ยิ่งกว่านั้น อย่างน้อยๆ เราก็อาจให้ใบต้นเฟิงซิ่นกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐสักคนและให้เขาเข้าไปยังตำหนักวังบูชาแทนเราได้” สวีหมิงพูดพลางมองไปที่เฟิ่งชิวหรันหลังจากคิดอยู่อึดใจหนึ่ง

เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้วและกำลังจะตอบคำ แต่หลังจากที่คิดใคร่ครวญดูแล้ว หญิงสาวก็ตระหนักขึ้นได้ว่าหากนางดื้อดึงจะทำงานนี้ให้ได้ดังใจ ก็จะทำให้เรื่องยากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว คงจะเป็นการยากหากพวกเขาต้องดูแลเหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแถมยังต้องระวังผู้ร่วมทดสอบที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ ไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นกฎของการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่เหมือนใคร ดังนั้นหลังจากที่คิดจนถี่ถ้วนแล้วหญิงสาวจึงเข้าใจว่านางขอมากเกินไป

หลังจากที่คิดดูดีแล้ว เฟิ่งชิวหรันคิดว่าหากไม่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐติดหนึ่งในสามเลย และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของเมี่ยเลี่ยจื่อ นางก็เพียงต้องมอบใบเฟิงซิ่นให้สหพันธรัฐในตอนท้าย ซึ่งอาจอ้างได้ว่าพวกเขาบรรลุเงื่อนไขได้ขั้นหนึ่งแล้ว ผลลัพธ์เลวร้ายสุดที่อาจเกิดขึ้นคือการที่นางต้องทะเลาะกับเมี่ยเลี่ยจื่อต่อไป…

ในขณะเดียวกัน หลังการทดสอบหากศิษย์ของสหพันธรัฐได้เข้าไปยังตำหนักวังบูชาพร้อมใบต้นเฟิงซิ่นและได้รับสถานะศิษย์ที่แท้จริงแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล แผนของนางก็จะรุดหน้าไปไกล กว่าจะถึงตอนนั้น สิ่งต่างๆ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปมาก และแปลว่านางจะไม่ต้องกังวลกับแผนของเมี่ยเลี่ยจื่ออีกต่อไป!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟิ่งชิวหรันก็รู้ว่านางไม่ควรรอช้าอีกและต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ นางจึงกัดกรามแน่น

“พยายามดูแลพวกเขาเต็มที่ หากเกินกำลังเมื่อใด ก็ขอให้พวกเจ้าทั้งคู่มุ่งมั่นกับเป้าหมายก็พอ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิวหรัน ทั้งคู่ก็ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกเขาไม่ได้ดูแคลนบรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ชื่นชมเช่นกัน พูดให้ง่ายคือทั้งคู่ยังรู้สึกว่าบรรดาพันธุ์กล้านั้นเป็นภาระ เมื่อได้ยินการตัดสินใจของอาจารย์ พวกเขาก็ไต่ถามต่อไปเล็กน้อย ก่อนจะจากไปหลังจากที่เฟิ่งชิวหรันอธิบายกฎของการทดสอบให้ฟังจนเสร็จสิ้น

เมื่อมองดูแผ่นหลังของศิษย์ทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางสั่งเด็กรับใช้ให้ไปส่งข่าวถึงหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าซึ่งเป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐให้มาพบนาง

เฟิ่งชิวหรันยังมองเห็นค่าของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐอยู่ โดยเฉพาะในแง่ความก้าวหน้าในการฝึกตน เฟิ่งชิวหรันได้ยินมาว่าทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เฟิ่งชิวหรันกำลังเรียกตัวหวังเป่าเล่อและเพื่อนให้มาพบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็อยู่ในถ้ำที่พักของตนบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล เขาเรียกศิษย์เอกเพียงคนเดียวให้เข้ามาพบ ชื่อของศิษย์ผู้นั้นคือตู้กูหลิน!

“หลินเอ๋อร์ เจ้าพร้อมสำหรับการทดสอบครั้งนี้หรือไม่” เมี่ยเลี่ยจื่อจ้องมองศิษย์ตรงหน้าผู้ซึ่งแผ่รัศมีเย็นเยียบออกมา มีความรู้คุณปรากฏขึ้นในสายตาของชายหนุ่มก่อนที่เขาจะตอบ

“ข้าจะได้ที่หนึ่งแน่นอน ท่านอาจารย์วางใจได้” สายตาตู้กูหลินยังคงเย็นยะเยือน น้ำเสียงสงบนิ่ง

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าได้ที่หนึ่ง ข้าต้องการให้ในการทดสอบครั้งนี้มีเพียงตำแหน่งเดียวและไม่มีตำแหน่งอื่นใดอีก เจ้าทำได้หรือไม่” เมี่ยเลี่ยจื่อหรี่ตาลงจ้องมองตู้กูหลิน

“กำจัดทุกคนอย่างนั้นหรือ ข้าจะพยายามก็แล้วกัน” ตู้กูหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามเดิม

“ดีมาก หลินเอ๋อร์ ข้าจะยอมให้เจ้าปลดผนึกกายของตนในเวลาที่เหมาะสมขณะทำการทดสอบและปลดปล่อยพลังการต่อสู้จนถึงขีดสุดของเจ้าออกมา ทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้จะได้รู้กันว่าศิษย์เอกของเมี่ยเลี่ยจื่อผู้นี้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเพียงใด!” แววตาแปลกประหลาดสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาที่คาดหวังของเมี่ยเลี่ยจื่อ

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้า…” ตู้กูหลินม้วนริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น เขาเชิดศีรษะขึ้นจ้องมองอาจารย์ก่อนจะพูดจบประโยค

“ก็จะทำตามที่ท่านปรารถนาขอรับ ท่านอาจารย์”

รัศมีเยือกเย็นที่ซุกซ่อนอยู่ในกายกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา รัศมีนั้นผนวกกับรอยยิ้มชั่วร้าย ส่งผลให้กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อยังต้องยอมรับความน่าเกรงขามของตู้กูหลิน ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้ดีว่าศิษย์คนนี้ยอดเยี่ยมเพียงใด เขาไม่เพียงมีพรสวรรค์อันหาตัวจับได้ยากในโลกการฝึกปราณเท่านั้น แต่ยังมีกายาละอองจักรวาลที่ออกแบบมาเพื่อการต่อสู้ ทั้งยังมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถพัฒนาขั้นปราณได้มากภายในเวลาหนึ่งวัน และมีคุณสมบัติพอจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้เนิ่นนานแล้วด้วย

ทว่าชายหนุ่มก็มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการสร้างรากฐานที่เข้มแข็ง ตู้กูหลินใช้ความได้เปรียบของกายาละอองจักรวาลและกระบวนเวทของสำนักวังเต๋าไพศาลผนึกตนเองเอาไว้ เขาตั้งใจจะก้าวผ่านขั้นจุติวิญญาณในวินาทีที่บรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ แล้วจะผนึกตนเองไว้อีกครั้ง เป้าหมายของเขาคือการไปให้ถึงระดับดาวพระเคราะห์หลังจากที่บรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ!

ตั้งแต่โบราณกาล ทุกคนที่บรรลุเป้าหมายนี้ได้ล้วนกลายมาเป็นบุคคลที่ทรงพลังทั้งสิ้น เมี่ยเลี่ยจื่อยังยอมรับว่าเมื่อเขายังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ตัวเขาเองหรือต่อให้มีเขาสักสิบคนก็ไม่อาจเทียบเคียงศิษย์อย่างตู้กูหลินได้เลย เขายังรู้อีกด้วยว่าด้วยพรสวรรค์และปราณระดับนี้ ศิษย์เช่นตู้กูหลินจะต้องถูกพลังระดับสูงขึ้นไปของระดับดารานิรันดร์จับตามอง หากว่าสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงไม่ถูกทำลายไปเสียก่อน

เฟิ่งชิวหรันอาจคิดว่าเมี่ยเลี่ยจื่อมั่นใจในการฝึกตนของตนเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนความมั่นใจนี้ นั่นคือศิษย์เอกผู้นี้นั่นเอง!

ตู้กูหลินเป็นความพยายามและผลงานชิ้นเยี่ยมที่เมี่ยเลี่ยจื่อสร้างไว้ให้สำนัก สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ต้องสังเวยทั้งสหพันธรัฐหรือต้องใช้ทะเลโลหิตและวิญญาณเพื่อปูทางให้กับความสำเร็จของศิษย์ผู้นี้ก็ยังนับว่าคุ้มค่า

สำหรับเขาแล้ว ตู้กูหลินผู้นี้คือพรสวรรค์ที่แท้จริง ในขณะที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเป็นเพียงขยะเท่านั้น

ดังนั้นเมี่ยเลี่ยจื่อจึงวางแผนให้ตู้กูหลินเป็นอาวุธลับในครั้งนี้ เขาจะทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อล้มเฟิ่งชิวหรันให้ได้หลังจากการทดสอบนี้ จากนั้นก็จะฉวยโอกาสขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง เมี่ยเลี่ยจื่อมั่นใจว่าเขาจะมีอำนาจมากพอที่จะเริ่มต้นการทำลายล้างและสังเวยสหพันธรัฐ!

ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังรู้สึกมั่นใจและทะเยอะทะยานอยู่นั่นเอง หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าก็ได้รับคำสั่งจากเฟิ่งชิวหรัน พวกเขาต่างก็ออกจากเกาะที่ตนอยู่ มุ่งหน้าไปที่เกาะหลักแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทันที

ไม่นานนักทั้งสามก็มาถึง พวกเขาจ้องมองกันและแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ ทั้งสามเดินตามเด็กรับใช้มาจนถึงถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่ทำความเคารพนางและเดินเข้าไปในถ้ำที่พัก พวกเขาก็มองเห็นเฟิ่งชิวหรันที่ดูเหนื่อยอ่อนนั่งอยู่บนยกพื้น

“ข้าน้อยคารวะผู้อาวุโสเฟิ่ง!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นประกบกันทันที เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ารีบทำตาม

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้ตอบคำ เพียงแต่กวาดสายตามองคนทั้งสาม นางจ้องมองพวกเขาทุกคนอย่างพินิจพิจารณา โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อ หากเป็นเวลาอื่น นางคงจ้องมองพวกเขาอย่างชื่นชม แต่ขณะนี้นางได้แต่เพียงส่ายศีรษะ สำหรับนางแล้วหวังเป่าเล่อและเพื่อนนั้นยอดเยี่ยมหากเทียบกับศิษย์ทั่วๆ ไป แต่ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับศิษย์เอกของนางทั้งสองคน

หลังจากที่นางทอดถอนใจจนพอแล้ว เฟิ่งชิวหรันก็รู้สึกสิ้นหวัง นางเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจกับการตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐ จากนั้นครู่ใหญ่ หญิงสาวชายจึงยกมือขึ้นถูหน้าผากและล้มเลิกการพูดปลุกใจพวกเขาทั้งสาม แล้วจึงกล่าวว่า

“ข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อแจ้งว่าพวกเจ้าจะได้เป็นตัวแทนของสหพันธรัฐ ไม่ว่าเจ้าจะผ่านการทดสอบที่จะมีขึ้นในอีกเจ็ดวันหลังจากนี้หรือไม่ ข้าจะพยายามหาทางให้ใบเฟิงซิ่นกับเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคน…จะทำเต็มที่ ไปได้แล้ว ข้าเหนื่อย” เมื่อพูดจบ เฟิ่งชิวหรันก็หลับตาลงทันที

หวังเป่าเล่อและเพื่อนต่างพากันตกใจ รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จับความหมายบางอย่างจากคำพูดของนางได้ ดูเหมือนผู้อาวุโสจะคิดว่าพวกเขาไม่อาจชิงใบไม้มาได้ด้วยกำลังของตนเอง

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร หลังจากหันหน้าไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า พวกเขาก็หันหลังและกำลังจะเดินออกไป แต่ขณะนั้นเอง เฟิ่งชิวหรันก็ลืมตาขึ้น นางมองแผ่นหลังของพวกเขาก่อนจะพูดออกมา

“ผลการทดสอบจะเป็นตัวตัดสินว่าพันธุ์กล้ารุ่นต่อไปจะได้ขึ้นมาที่นี่หรือไม่…หวังเป่าเล่อ เมื่อเจ้าได้กลับไปที่สหพันธรัฐ บอกหลี่ซิงเหวินด้วยว่า…ข้าทำสุดความสามารถแล้ว” เมื่อพูดจบ เฟิ่งชิวหรันก็หลับตาไปอีกครั้ง ภาพของร่างที่ผอมเกร็งแต่แข็งแกร่งเมื่อหลายปีก่อนปรากฏขึ้นในใจนาง

หลายปีมานี้ เฟิ่งชิวหรันไม่แน่ใจว่าความชื่นชมที่นางมีให้สหพันธรัฐนั้นมาจากการมองเห็นสมรรถภาพของสหพันธรัฐ หรือเพราะร่างอันชัดเจนซึ่งจ้องมองมาที่นางอยู่ขณะนี้กันแน่…

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset