หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 472 อัตชีวประวัติของท่านผู้นำ

บทที่ 472 อัตชีวประวัติของท่านผู้นำ

“เขา…บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว…”

ถ้อยคำดังกล่าวเป็นดังลมเบาบางพัดผ่านหูของกลุ่มคนที่กำลังถกกันเรื่องคนที่เหมาะที่สุดซึ่งจะเข้ามาดูแลเขตนครพิเศษบนดาวอังคาร เสียงนั้นก้องไปมาปนกับเสียงสนทนาเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่…

ในที่สุด เสียงถกกันก็ค่อยๆ ซาลง เหล่าบุคคลสำคัญตัวแข็งทื่อ รีบหันไปมองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉยทันที บัดนี้…ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ

ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กระแอมกระไอขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ เสียงกระแอมกระไอของเขาดังก้องไปทั่วห้อง จากนั้นเสียงของประมุขสำนักศึกษาที่ใครหลายคนฟังแล้วรู้สึกระคายหูก็ดังขึ้น

“ข้าก็เพิ่งจะได้รับข่าว ตอนนี้หวังเป่าเล่อที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะจะเป็นเจ้าเมืองประจำเขตนครแห่งใหม่ได้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว ข้าขอขอบคุณสหายเต๋าทุกท่านที่เสนอชื่อเขาให้เข้ารับตำแหน่ง จริงๆ ข้าก็ไม่ควรจะผลักดันคนในสังกัดของตนเอง แต่เพื่อประโยชน์สุขของสหพันธรัฐ อีกอย่างทุกท่านยังเชื่อมั่นในความสามารถของศิษย์สำนักข้า ในฐานะประมุขสำนัก ข้าคงไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของทุกท่านได้!”

“ท่านผู้นำ ในฐานะสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ข้าข้อเสนอชื่อหวังเป่าเล่อให้เข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ ด้วยความดีความชอบมากมายที่เขาสร้างให้แก่สหพันธรัฐและดาวอังคาร ข้าคิดว่าเขาควรจะได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง!” ทันทีที่ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์พูด พลังขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง ขณะที่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ราวกับว่ามีพายุหมุนก่อตัวขึ้นภายในที่ประชุม ถ้อยคำของเขา…เปี่ยมไปด้วยพลังแกร่งกล้าที่ไม่ได้เผยให้เห็นก่อนหน้า!

นี่เป็นเพราะเขาไม่ได้กล่าวในฐานะสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นในฐานะสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าด้วย วาจาของเขาแสดงให้เห็นว่าอีกสามสำนักศึกษาเต๋าไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ถ้ายังอยากรักษาพันธมิตรสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าไว้ แม้ว่าจะมีปัญหาและข้อขัดแย้งภายใน แต่พวกเขาก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อหน้าที่ประชุม!

หากทั้งสี่สำนักศึกษาเต๋าเกิดขัดแย้งกันเอง จะเป็นการสร้างผลเสียใหญ่โตให้กับชื่อสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า อาจเกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และอีกสามสำนักศึกษาเต๋า

อีกอย่างสิ่งที่ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์พูดนั้นเป็นความจริง ไม่ว่าจะอย่างไร…หวังเป่าเล่อก็เป็นคนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า เป็นเหตุให้หลังจากประมุขจากอีกสามสำนักศึกษาเต๋าสบตากับประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งอะไร ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่ทุกคนรู้จักอีกต่อไป

ประมุขสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวเงียบไปพักหนึ่ง แม้เขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อ แต่สุดท้ายก็กล่าวขึ้น

“ข้าก็ขอเสนอให้เลื่อนขั้นหวังเป่าเล่อเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองและเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองเขตนครแห่งใหม่!”

หลังจากนั้นประมุขจากอีกสองสำนักศึกษาเต๋าก็เอ่ยสนับสนุนขึ้นเช่นกัน หลินโยวผุดยิ้มบางก่อนจะออกโรงสนับสนุนเป็นคนแรกในคณะเสนาบดี!

เมื่อเห็นว่าหลินโยวเอ่ยสนับสนุน เสนาบดีคนอื่นๆ ก็มองหน้ากันก่อนจะหันไปมองผู้นำคณะเสนาบดี

ผู้นำคณะเสนาบดีมีสีหน้าเรียบเฉย เขาเหลือบมองหลินโยวก่อนจะผุดยิ้มเล็กๆ ขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวออกมา “เป็นทางออกที่ดีเสียจริง!”

สีหน้าของเหล่าผู้แทนตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณาเปลี่ยนไปทันควัน คำพูดของผู้นำเสนาบดีมีน้ำหนักในที่ประชุมมากจนทำให้พวกเขาเริ่มขมวดคิ้ว ผู้นำตระกูลในสังกัดตระกูลนภาห้าสมัยบางคนรู้สึกเจ็บใจเกินกว่าจะบรรยาย พวกเขาขุ่นเคืองใจเกินกว่าจะวัดประเมินได้ หวังเป่าเล่อช่างเลือกบรรลุขั้นการฝึกตนได้ถูกเวลาเสียจริง!

พวกเขายังต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง ทำให้ไม่สามารถกลืนวาจาที่ลั่นออกไปก่อนหน้านี้ได้ พวกเขากำลังคิดว่าจะเอ่ยออกไปอย่างไรดี อาจจะต้องพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อชะลอวาระนี้ไว้แล้วค่อยกลับมาพิจารณาใหม่ทีหลัง ทันใดนั้นเอง ผู้แทนกลุ่มไตรจันทราก็หัวเราะขึ้นมา เขาเป็นผู้อาวุโสที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาในประเด็นเมื่อครู่ ชายผู้นี้คือน้องชายของนายใหญ่จิน ผู้นำตระกูลไตรจันทรา

“กลุ่มไตรจันทราจะเพิ่มการสนับสนุนเขตนครพิเศษด้วย!”

ตระกูลนภาห้าสมัยและพวกพ้องรู้สึกกดดันหนักขึ้นหลังจากได้ยินประโยคนี้ แม้กลุ่มไตรจันทราจะไม่ได้ประกาศจุดยืนอย่างเด่นชัด แต่การเอ่ยปากเพิ่มการสนับสนุนก็บ่งบอกได้ว่าพวกเขาอยู่ฝั่งไหน ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก

เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่จำเป็นต้องพูด พวกเขาก็รู้ได้ว่านางเลือกอยู่ฝั่งไหนตั้งแต่นางประกาศว่าหวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว

ทางกองทัพเองก็ไม่ต่างกัน แม้จะไม่ได้ประกาศจุดยืนแน่ชัด แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็เหมือนจะซุกซ่อนความหมายลึกซึ้งบางอย่างไว้!

เหตุการณ์กลับตาลปัตรครั้งนี้ทำให้ตระกูลนภาห้าสมัยตื่นตกใจ ในที่สุดระเบิดลูกสุดท้าย…จากผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีก็มาถึง!

ต้วนมู่ฉียกมือขึ้นโบก ไม่เปิดโอกาสให้ตระกูลนภาห้าสมัยได้พูดอะไร

“ทำดีต้องได้รับรางวัล คนมีความสามารถต้องใช้งานให้ถูกตำแหน่ง!”

“ข้าเคยบอกว่าสหพันธรัฐต้องการหวังเป่าเล่อสักร้อยคน วันนี้ข้าขอถอนคำพูด สหพันธรัฐต้องการหวังเป่าเล่อสักหมื่นคนต่างหาก!”

“ประกาศให้ประชาชนทราบว่าหวังเป่าเล่อจะได้รับยศขุนนางระดับสองชั้นรองและได้เป็น…เจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษของดาวอังคาร นอกจากนี้เขาจะได้เข้าร่วมเป็นเสนาบดีคนที่สิบแปดของคณะเสนาบดี!” ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีประกาศชัดเจนก่อนจะลุกยืนเป็นการปิดการประชุม

เหล่าผู้นำตระกูลจากตระกูลนภาห้าสมัยได้แต่มองตาค้าง สัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้วนมู่ฉีตัดสินใจเรื่องนี้เร็วเกินไป พวกเขามองหน้ากัน ครุ่นคิดอย่างหนัก กลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ ก็มีสีหน้าพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะกลับออกไปด้วยความคิดบางอย่างในมุมของตน

ภาพมายาของพวกเขาหายไปจากห้องประชุม สุดท้ายต้วนมู่ฉีก็เดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปทางประตู

แผ่นหลังของเขาเป็นดังกระบี่แหลมคม พลังวิญญาณของเขาซึมออกมาในทุกๆ ย่างก้าว ราวกับว่าเขากำลังพยายามเก็บกักพลังปราณไว้

อีกเดี๋ยว…ก็จะบรรลุขั้นแล้ว…น่าเสียดายที่ข้ายังตามหลังตาเฒ่าคนนั้นอยู่หนึ่งก้าว ต้วนมู่ฉีส่ายหน้าก่อนจะแย้มยิ้มขึ้น เขาสังเกตเห็นสีหน้าพินิจพิเคราะห์ของคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าอีกไม่นานพวกเขาคงจะรู้

มีเหตุผลสามประการที่ทำให้ต้วนมู่ฉีตัดสินใจไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น เหตุผลแรกคือเขาคาดหวังในตัวหวังเป่าเล่อมาก แต่ก็ไม่ได้มากเสียจนจะยื่นมือเข้าไปสนับสนุน เหตุผลที่สองคือ…สหพันธรัฐในตอนนี้ต้องการวีรบุรุษ!

หลังจากโศกนาฏกรรมบนดาวพุธ ประชาชนในสหพันธรัฐก็ยังไม่คลายความกังวลและยังจมอยู่กับความโศกเศร้า สหพันธรัฐต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนในสายตาประชาชน จึงจำเป็นต้องชูวีรบุรุษที่ทุกคนรู้จักขึ้นมา!

วีรบุรุษคนนี้จะดึงความสนใจจากประชาชนและกระตุ้นให้พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภาพลักษณ์ของหวังเป่าเล่อไม่ได้ตรงกับที่เขาคิดไว้ ชายหนุ่มอาจจะมีภูมิหลังครอบครัวที่ไม่น่ามีใครกังขา และค่อยๆ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ ภายใต้การเฝ้ามองของทุกคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่ต้วนมู่ฉีจะเลือกเขาอยู่ดี

หากมีแค่สองเหตุผลนี้ ต้วนมู่ฉีคงจะชะลอเรื่องนี้ไปเพื่อใช้เป็นหมากต่อรอง รอดูสถานการณ์จากทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็จะสานสัมพันธ์กลุ่มอำนาจการเมืองขึ้นใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากการเฟ้นหาเจ้าเมืองเขตนครพิเศษประจำดาวอังคารให้มากที่สุด

แต่ด้วยเหตุผลข้อที่สาม สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป เหตุผลข้อนี้เป็นรากฐานของทุกอย่าง และเขาต้องประเมินความสำคัญของเหตุผลอีกสองข้อดูใหม่ ถ้าไม่มีเหตุผลข้อที่สามนี้…ทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น!

เหตุผลข้อที่สามคือ…ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำสหพันธรัฐคนก่อนที่นำสหพันธรัฐเข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณ ผู้ที่เคยเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ หลี่ซิงเหวิน กำลังจะบรรลุขั้นการฝึกตนจากขั้นกำเนิดแก่นในไปขั้นจุติวิญญาณ!

แม้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ก็ไม่อาจปิดต้วนมู่ฉีที่กำลังจะบรรลุขั้นการฝึกตนได้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าราวกับจะพุ่งขึ้นทะลุสวรรค์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่คนอื่นๆ ไม่ทันสังเกต!

เขาสัมผัสได้ถึงความมั่นใจที่มากกว่าครั้งไหนๆ ของประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัมผัสที่บ่งบอกถึงอำนาจที่มีเหนือกว่าผู้อื่น!

“สามารถเร่งการก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้…” ต้วนมู่ฉีพึมพำออกมาขณะเดินไปตามทาง

การประชุมสุดยอดจบลง และประกาศแต่งตั้งตำแหน่งของหวังเป่าเล่อก็ถูกปล่อยออกมา หวังเป่าเล่อที่กลับมายังนครใหม่แห่งดาวอังคารและพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดก็ได้รับข่าวที่รอมานาน!

หวังเป่าเล่อแสนสุขใจจนหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ทราบข่าว เขาตื่นเต้นหนัก รู้สึกว่าตนได้ก้าวเข้าไปใกล้ตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้สิ่งนี้เป็นเพียงเป้าหมายที่ไกลเกินคว้า แต่บัดนี้นั้นมันใกล้จนเกือบจะเอื้อมถึงได้ถึง!

จากนี้ไป ข้าจะเริ่มเขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง พอเขียนเสร็จก็จะใช้มันบอกเล่าเรื่องราวของหวังเป่าเล่อ ผู้นำสหพันธรัฐในตำนาน ที่คอยทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่นพัฒนาตนอย่างขยันขันแข็งไปทีละขั้น ไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ใช้เพียงหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาของตนเองจนกลายเป็นบุตรแห่งโชคลาภให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้!

ข้าคิดชื่อไว้แล้ว มันจะมีชื่อว่าอัตชีวประวัติของท่านผู้นำ! หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าตนได้มาถึงจุดสุดยอดของชีวิตแล้ว

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสุขใจเกินบรรยาย สื่อทั่วสหพันธรัฐก็เริ่มเสนอข่าวเรื่องหวังเป่าเล่อโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกเมืองบนดวงดาวของสหพันธรัฐทั่วระบบสุริยะขึ้นรูปหวังเป่าเล่อบนจอภาพทุกจอในทันที

น้ำเสียงตื่นเต้นตามด้วยเพลงประกอบยิ่งใหญ่อลังการประกาศก้องถึงการแต่งตั้งตำแหน่งของหวังเป่าเล่อ!

ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหพันธรัฐ!

เจ้าเมืองและขุนนางระดับสองชั้นรองที่มีอายุน้อยที่สุด!

สมาชิกคณะเสนาบดีที่มีอายุน้อยที่สุด!

ชื่อของหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่วสหพันธรัฐในทันใด กลายเป็นชื่อในใจประชาชน ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา ชายหนุ่มกลายเป็น…ดาวรุ่งดวงใหม่ของสหพันธรัฐ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset