ตามความเข้าใจของหวังเป่าเล่อ ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างคือการปล่อยให้จิตวิญญาณเดินทางออกจากร่าง และพเนจรไประหว่างสรวงสรรค์และพื้นพิภพ ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณนั้นกลายเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตของเทพเจ้า และนี่เป็นทางเดียวที่จะตามหาดวงจิตของเทพเจ้าให้เจอ
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่แท้จริงนั้น ไม่ต้องบรรลุขั้นแรกของการนั่งฌานผ่านการใช้อาวุธเวท แต่สามารถหลับตาลงและปล่อยจิตออกไปทุกทิศทาง ผ่านการใช้พลังปราณในกายและการฝึกฝนได้เลย
ทว่าหวังเป่าเล่อยังด้อยทั้งด้านขั้นปราณและทักษะการถอดจิต แม้ความสามารถของเขาจะแซงเพื่อนร่วมรุ่นไปมาก แต่ก็ยังไม่ดีพอ เขาจึงต้องใช้พลังของอาวุธเวทเป็นกุญแจในการตรวจจับดวงจิตของเทพเจ้า
กระนั้นวิธีการของหวังเป่าเล่อก็ยังถือว่าใช้ทรัพยากรมากและมีเล่ห์ลวงอยู่พอสมควรทีเดียว นี่เป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเทพในสหพันธรัฐใช้เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีน้อยคนนักที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตของเทพเจ้าด้วยตนเอง เพราะมีเพียงผู้ที่สามารถสร้างอาวุธเวทระดับเก้าเท่านั้นที่เก่งกล้าพอจะทำเช่นนั้นได้
บัดนี้จิตของหวังเป่าเล่อได้กระจัดกระจายออกไปยังโลกภายนอกด้วยพลังอำนาจแห่งอาวุธเวททั้งสองที่อยู่ข้างกาย ชายหนุ่มเข้าสู่สภาวะฌานเป็นที่เรียบร้อย เขารู้สึกว่าสภาวะจิตนี้แปลกเสมอไม่ว่าจะเข้ามากี่ครั้งก็ตาม และครั้งนี้ก็เช่นกัน สภาวะฌานนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนจิตของตนไร้ขีดจำกัด และมีขนาดใหญ่มหึมาจนกลืนกินดาวอังคารเข้าไปได้ถึงครึ่งดวง
ในตอนนี้ดูเหมือนว่ากายหยาบของหวังเป่าเล่อจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป การถอดจิตออกจากร่างและนำพาจิตนั้นให้ท่องไปยังสวรรค์และพื้นพิภพ คือสภาวะที่มีความสุขที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ ความรู้สึกนี้รุนแรงมากเสียจนหวังเป่าเล่อมีความคิดที่จะทิ้งร่างกายของตนเองเอาไว้เบื้องหลังตลอดกาล
อย่างไรเสีย ในสภาวะนี้ร่างกายก็เปรียบเสมือนเรือนจำ การถอดจิตเข้าฌานก็คือการปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เป็นอิสระจากเครื่องจองจำทั้งปวงนั่นเอง
ข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ร่างของข้าคือร่างที่หล่อเหล่าที่สุดในสหพันธรัฐ ข้าจะทิ้งร่างรูปงามล้ำค่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาด! ความคิดนี้พุ่งเข้ามาในหัวของหวังเป่าเล่อ และมันรุนแรงกว่าความคิดที่จะละทิ้งกายหยาบไปในคราวแรก ทำให้เขาได้สติในที่สุด
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกระจกแตกเบาๆ พร้อมเสียงคำรามอย่างดุร้ายโกรธเกรี้ยว ชายหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยนไป!
การเข้าฌานทำให้ชายหนุ่มเหมือนท่องไปในสวรรค์และพื้นพิภพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีบางสิ่งกำลังรายล้อมร่างกายของเขาอยู่ ประสบการณ์นี้แตกต่างไปจากคราวที่แล้ว กำแพงที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้น และห่อหุ้มร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ทั้งตัวราวกับเป็นขวดแก้ว
ชายหนุ่มค่อยๆ รู้สึกตัว และเริ่มละทิ้งความคิดที่จะทิ้งกายหยาบเอาไว้เบื้องหลัง บรรยากาศรอบตัวเขาเริ่มแตกร้าว รอยแตกเหล่านั้นกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ขวดที่ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ก่อนหน้านี้ทลายลงในวินาทีนั้น
ทันทีที่บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มแตกออก จิตวิญญาณที่โกรธเกรี้ยวก็พุ่งเข้าใส่เขาและสลายหายไป…
หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบออกจากสภาวะถอดจิตในทันที ร่างกายของเขาที่นั่งสมาธิอยู่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความเคลือบแคลง ความสงสัยนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจและความกลัวอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหายใจหอบด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้าใส่
ไม่ปกติ… เมื่อครู่… ไม่ใช่เรื่องปกติ! ชายหนุ่มใจสั่น เขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้นขณะเข้าฌานเริ่มแจ่มชัด
คำตอบที่คิดได้ทำให้ชายหนุ่มตกใจมาก ดวงตาหวาดกลัวขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ข้าเข้าฌานไปเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าข้าจะเจอเข้ากับดวงจิตชั่วร้ายของเทพเจ้า มันคงสัมผัสได้ถึงจิตของข้า และใช้เล่ห์กลบางอย่างขังจิตของข้าเอาไว้ในขวดแก้ว หลังจากนั้นมันคงขัดจังหวะการถอดจิตของข้า ยัดเยียดความคิดในการทิ้งร่างกายใส่หัวข้า และหากข้าทำเช่นนั้นจริงๆ ละก็… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มรู้อยู่ลึกๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็จะไม่ใช่หวังเป่าเล่อคนเดิมอีกต่อไป
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนี่อันตรายจริงๆ … ก่อนหน้านี้ข้าประมาทไป… หวังเป่าเล่อได้แต่เงียบ ก่อนหน้านี้เขาทำสำเร็จทุกครั้งที่ลอง แต่ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจถึงความอันตรายของทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่แท้จริง เรื่องน่ากลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง แต่เมื่อดวงจิตที่ชั่วร้ายนั้นทำสำเร็จ ความตายชนิดที่ไร้โลหิตก็จะมาเยือน!
ยังดีที่ข้าทนแยกจากร่างกายแสนงดงามของข้าไม่ได้ หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความโล่งอก เขาคิดถึงเสียงคำรามที่ได้ยินเมื่อครู่ ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้ามาอีกครั้ง อีกฝั่งคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะหลุดออกจากหลุมพรางนี้ได้
กระนั้นตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เมื่อครู่จึงเกิดขึ้น แต่ก็คิดว่าการที่เขาขัดขืนเศษดวงจิตของเทพเจ้าได้นั้น แปลว่าเขาต้องมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนเองเป็นชายที่หล่อที่สุดในสหพันธรัฐ
ดูเหมือนข้าจะคิดเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ แต่ก็เป็นเรื่องจริงนั่นละ… ข้า หวังเป่าเล่อ คือชายที่หล่อขั้นเทพที่สุดในสหพันธรัฐ! ความคิดนี้ทำให้เขาตะลึงไปแม้จะเพิ่งพ้นจากอันตรายก็ตาม เพราะแม้เขาจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าตนเองหล่อเหลาเพียงใด แต่ก็ยังมีหลายคนในสหพันธรัฐที่หน้าตาดีสูสีกับเขา
ทว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าไม่มีใครเทียบเขาได้อีกต่อไปในเรื่องรูปโฉม
“ต่อให้มีใครสู้ข้าได้ในเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางชนะเสียหรอก ไม่มีใครหล่อกว่าข้าไปได้ เพราะว่าข้ารูปงามที่สุดในสหพันธรัฐ!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ความคิดนี้ติดตรึงอยู่ในจิตใจของเขา หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาของการพยายามไม่ตกหลุมพรางการหลอกล่อของดวงจิตเทพเจ้าในทักษะการหลอมสวรรค์สร้างต่างหาก
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการหลอมอาวุธเวท!
เขาศรัทธาในความคิดนี้มากกว่าเดิม และก็ถูกต้องจริงๆ เสียด้วย ขั้นตอนนี้คือส่วนที่ยากที่สุดในทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง การเข้าฌานก็เปรียบเสมือนการปล่อยร่างของตนให้ไหลไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ โดยมีความศรัทธาเป็นเรือ หากไม่มีเรือ หรือถ้าเรือนั้นไม่มั่นคงแข็งแรงพอ คงเป็นการยากที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่ทำให้เรือเสียหายหรือเสียชีวิตลง
ทว่าความเชื่อของคนอื่นนั้นแตกต่างจากหวังเป่าเล่อ เนื่องจากไม่มีใครหน้าหนาเท่าหวังเป่าเล่อนั่นเอง
ชายหนุ่มคิดอยู่สักพัก และตัดสินใจว่าตนเองไม่ควรเข้าฌานอีกในตอนนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะมั่นใจมากว่าตนเองจะไม่หลงกลอีก เนื่องจากทิ้งร่างงามเช่นนี้ไปไม่ได้ แต่เขาก็ได้รับประสบการณ์อันตรายจากการถอดจิตมาแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นซ้ำสอง
เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน หวังเป่าเล่อถือสันโดษมาครบหนึ่งเดือนแล้ว เขาอ่านความรู้เรื่องที่กำลังศึกษาอยู่อย่างทะลุปรุโปร่ง จนมั่นใจมากขึ้นว่าตนเองจะทำกระบวนการหลอมสวรรค์สร้างครั้งต่อไปได้สำเร็จ วันนี้เขาใช้อาวุธเวทพาตัวเองเข้าฌานอีกครั้งเพื่อที่จะตามหาดวงจิตของเทพเจ้า แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกได้ในทันที ว่าระหว่างสวรรค์และผืนพิภพบนดาวอังคารนั้น หมอกโลหิตได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด!
ในตอนแรกหมอกนั้นยังอยู่ไกล แต่ภายในพริบตาเดียวก็พัดเข้ามาเต็มบริเวณ มันไม่ได้พุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่อ แต่ล้อมดาวอังคารไว้ทั้งดวงด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
หวังเป่าเล่อเห็นภาพนี้ขณะกำลังถอดจิต ชายหนุ่มอดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ เขาออกจากสภาวะถอดจิตอีกครั้ง ลืมตาที่เต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงขึ้น
หมอกนี้… ดูคุ้นประหลาด…
ตอนที่หวังเป่าเล่อเริ่มกลับมาได้สติ เสียงแหบก็ดังก้องอยู่ในจิตของเฉินมู่ ผู้ที่ถือสันโดษอยู่เช่นกัน
“เมล็ดสมบูรณ์แล้ว หุ่นเชิดกำลังจะพร้อมใช้งานเร็วๆ นี้… ข้าจะทำตามข้อตกลงของเราที่ว่าจะกันเจ้านครดาวอังคารและสมุนเอาไว้ให้… จำให้ดี เป้าหมายของเราคือ สังหารหวังเป่าเล่อ!”
เฉินมู่ลืมตาขึ้นพร้อมเสียงที่ก้องกังวานอยู่ในหัว ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความต้องการสังหารที่รุนแรงชัดเจน
ตอนที่จิตสังหารของเฉินมู่ทวีความรุนแรงขึ้นจนต้านทานเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปนั้น หมอกโลหิตที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ก็ปกคลุมดาวอังคารไว้ทั้งดวง ความกว้างใหญ่และรุนแรงนั้นมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่โข หมอกกระจายไปทั่วพื้นที่รกร้าง แม้วงแหวนปราณในนครดาวอังคารและนครใหม่จะป้องกันหมอกโลหิตไว้ได้ แต่พื้นที่ที่เหลือก็ถูกหมอกปกคลุมเสียจนมิด!
หมอกครั้งใหม่นี้น่ากลัวเป็นอันมาก หมอกนี้ไม่เพียงกันพลังปราณไว้ได้เท่านั้น แต่ยังตัดการสื่อสารทั้งหมดได้อีกด้วย ตอนนี้แม้แต่วงแหวนปราณของดาวอังคารยังได้รับผลกระทบ เป้าหมายหลักของหมอกนี้คือนครหลัก ดังนั้นหมอกที่ปรากฏบนนครหลักดาวอังคารจึงหนาเป็นพิเศษ และหากเพ่งดูดีๆ จะเห็นหมู่บ้านร้างอยู่ภายใน!
เจ้านครดาวอังคารและเจ้าพนักงานคนอื่นๆ เป็นกังวลมาก ทุกคนรีบลงพื้นที่ไปดูในทันที แต่หมอกนั้นเกิดขึ้นโดยฉับพลัน และกินรัศมีกว้างเสียจนการติดต่อสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาดสิ้น จึงไม่สามารถสอบถามไปทางนครใหม่ได้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นใด ทั้งยังรับข้อความจากนครใหม่ไม่ได้อีกด้วย ราวกับว่าทั้งสองนครถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง!
ตอนนี้นครอาวุธเทพใหม่ของหวังเป่าเล่อกลายเป็นนครโดดเดี่ยวเป็นที่เรียบร้อย!
หมอกโลหิตที่ล้อมนครและเสียงร้องไห้ปริศนา ทำให้ผู้ฝึกตนภายในนครใหม่ตกใจกลัว ทว่าในณะที่แต่ละเขตต่างกระวนกระวายและระวังตัวเป็นอย่างมาก เขตของเฉินมู่ก็เปลี่ยนหน้าตาไปอย่างเห็นได้ชัด!
“เมล็ดที่อาศัยอยู่ในกายพาหะได้ตื่นขึ้นแล้ว!” เฉินมู่ลุกขึ้นยืนในห้องลับและวาดแขนออกด้านข้าง ดวงตาของชายหนุ่มเอ่อล้นด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่ง เสียงของเขาดังก้องอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตนมากมายที่กลายมาเป็นพาหะของปรสิต