หลังจากที่ส่งหลี่หว่านเอ๋อร์กลับ หวังเป่าเล่อก็ปวดศีรษะหนึบ ตัวต้นคิดของเรื่องทั้งหมดยังคงหลบซ่อนอยู่ทำให้เขารู้สึกว่าการควานหาตัวคนผู้นั้นให้พบเป็นเรื่องเร่งด่วน โชคยังดีที่หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตัวเขามีความได้เปรียบ เพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นเพียงข้ารับใช้แห่งความมืด จากชื่อนั้นอาจกล่าวได้ว่าในมุมมองของแม่นางน้อย อีกฝ่ายเป็นเพียงข้ารับใช้ ในขณะที่ตัวเขาเป็นเจ้านาย
เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย ข้ายังมีแม่นางน้อยอยู่ หากเรื่องไม่เป็นไปตามแผน ข้าก็จะไปขอความช่วยเหลือจากนาง และกำราบเจ้าข้ารับใช้คนนั้นเสียให้อยู่หมัด!
แต่หากข้าจะขอความช่วยเหลือจากแม่นางน้อย ข้าคงต้องพยายามเกลี้ยกล่อมนางสักหน่อย หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก แล้วจึงรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน ชายหนุ่มต้องทำทุกอย่างด้วยตนเองและก้าวข้ามอุปสรรคทุกสิ่งอันด้วยความอุตสาหะ
เมื่อรู้สึกเช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงเริ่มคิดหาทางเกลี้ยกล่อมแม่นางน้อย ในเวลานั้นเอง หลินเทียนหาวก็ส่งข้อความเสียงมาขอเข้าพบเพื่อรายงานความคืบหน้าในการสืบสวน พร้อมทั้งผลการสืบสวนจากเขตต่างๆ
เพราะช่วงนี้หวังเป่าเล่อถือสันโดษบ่อยมาก ที่พักของเขาจึงกลายเป็นห้องทำงานไปโดยปริยาย หลินเทียนหาวมาถึงในเวลาไม่นานนัก หลังจากติดอยู่กับหวังเป่าเล่อมาระยะหนึ่ง หลินเทียนหาวจึงมีนิสัยเปลี่ยนไปจากครั้งที่อยู่ในสำนักศึกษาเต๋ามากนัก ขณะนี้เขาไม่ใช่คนเย่อหยิ่งเงียบขรึมอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นผู้มากประสบการณ์ที่พึ่งพาได้
ทว่าภาพลักษณ์นี้เป็นสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อเท่านั้น ในความเป็นจริง เมื่อเขาอยู่กับคนอื่นๆ หลินเทียนหาวไม่ได้พูดมากนัก ความเป็นคนเงียบขรึมไม่ได้จางหายไป ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา สำหรับคนอื่นแล้วหลินเทียนหาวเป็นดั่งอสรพิษ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังเป่าเล่อนั้นมีความหมายว่า หากเขาปกป้องผลประโยชน์ของหวังเป่าเล่อ ก็เท่ากับว่าปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน ดังนั้นเหล่าคนที่ไม่พอใจหวังเป่าเล่อจึงมักเรียกขานหลินเทียนหาวด้วยฉายา เช่น ‘เจ้าตูบเชื่อง’ ‘หมาบ้า’ หรือ ‘เจ้างูพิษ’ เป็นต้น
ทันทีที่มาถึง หลินเทียนหาวก็รินชาให้หวังเป่าเล่อก่อนจะนำไปวางตรงหน้าอีกฝ่าย จากนั้นจึงไปยืนตรงหน้าหวังเป่าเล่อตามปกติ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งตนหรือกำลังพยายามประจบเอาใจหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่า ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาควรตอบแทนสิ่งที่เจ้านายที่เคารพเคยทำให้ และการรินชาให้นั้นแสดงถึงความเคารพที่เขามีต่อผู้บังคับบัญชา
หวังเป่าเล่อเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงนั่งลงจิบชาก่อนจะเริ่มฟังรายงาน
“ท่านเจ้าเมือง จากการตรวจสอบเมื่อคืน ไม่พบความผิดปกติในบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด…”
“นอกจากนั้นแล้ว การตรวจเขตต่างๆ ก็สำเร็จเรียบร้อย ข้อมูลที่เก็บมาได้ รวมถึงการบทวิเคราะห์ทั้งหมดอยู่ในนี้ขอรับ…” ขณะที่รายงาน หลินเทียนหาวก็ยื่นส่งแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อ
“ในเขตทั้งหกของนครใหม่ คนที่ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะกระจัดกระจายกันอยู่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ ตามมาด้วยเขตของฟางจิ้ง เขตของข้า เขตของนายกเทศมนตรีกงเต๋า และตบท้ายด้วยเขตของนายกเทศมนตรีจิน…ส่วนเขตของนายกเทศมนตรีเวินไหวนั้นไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะเลยสักคนเดียว ซึ่งดูแปลกอยู่เหมือนกัน…” หลินเทียนหาวมีสีหน้าประหลาดใจ ราวกับว่าผลของการสำรวจนั้นช่างแปลกประหลาดไม่น่าเชื่อเสียเต็มประดา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อเองก็สับสนเช่นกัน หลังจากที่จ้องมองข้อมูลบนแผ่นหยก ชายหนุ่มจึงเห็นตามที่หลินเทียนหาวรายงาน มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะหลักหมื่นถึงหลักแสนในทุกๆ เขต เว้นเพียงเขตของเวินไหวเท่านั้น
อาจจะเป็นการพูดเกินจริงหากกล่าวว่าไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอยู่ในเขตนั้นสักคน แต่เพราะไม่มีรายงาน จึงหมายความว่าในความเป็นจริงแล้วจำนวนผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะในเขตดังกล่าวนั้นต่ำมาก หากแม้ข้อมูลนี้เป็นเท็จ ก็ไม่น่าทำให้ดูออกง่ายถึงเพียงนี้
“เกิดอะไรขึ้นกัน เวินไหวเป็นคนมีความสามารถเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อสงสัย พลางคิดว่าเขาอาจจะดูถูกเวินไหวมากเกินไป จากนั้นจึงกวาดสายตาไปมองหลินเทียนหาว
หลินเทียนหาวเองก็มีสีหน้าแปลกแปร่ง เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าได้ลองสืบหารายละเอียดเพิ่มเติมแล้วแต่ว่า…รองนายกเทศมนตรีหลิวต้าวปินอยากเชิญท่านไปดูสถานการณ์ด้วยตนเอง…” หลินเทียนหาวรู้สาเหตุเบื้องหลังเรื่องนี้ดี เพราะอย่างไรเสียชายหนุ่มก็เป็นผู้ควบคุมดูแลเหล่าสายลับทั้งหมด หากว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นตามนี้ เขาคงไม่นำข้อความของหลิวตาวปินมาแจ้งแก่หวังเป่าเล่อแน่นอน
ทว่าในตอนนี้ หลินเทียนหาวรู้สึกว่าน่าจะเป็นการดีกว่าหากเขาระมัดระวังตัวกับคนเช่นหลิวต้าวปิน ไม่มีประโยชน์ที่จะขัดใจหรือใช้อุบายกับอีกฝ่าย เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้หลินเทียนหาวรู้สึกว่าหลิวต้าวปินไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
“งั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้หลิวต้าวปินเป็นผู้ช่วยของเวินไหว หลิวต้าวปินไม่ได้ส่งข้อความเสียงมาถึงเขาโดยตรง แต่กลับใช้ผลของเหตุการณ์นี้เชิญเขาไปดูสถานการณ์ตามกระบวนการที่ถูกต้อง หวังเป่าเล่อไม่ได้ทัดทานเรื่องนี้ เพราะเขาเองก็ต้องการจะดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นในเขตของเวินไหวกันแน่
ดังนั้นเมื่อเป็นการไปเยือนอย่างเป็นทางการ จึงต้องมีการจัดแจงกันเล็กน้อย คนจำนวนมากถูกส่งไปดูลาดเลา มีเอกสารส่งไปหาเวินไหวล่วงหน้า เพื่อเตือนให้เขาเตรียมการต้อนรับหวังเป่าเล่อ
หนึ่งชั่วโมงถัดมา หวังเป่าเล่อและคณะรวมถึงหลินเทียนหาว ก็เดินทางถึงเขตปกครองตนเองของเวินไหวอย่างเอิกเกริก เมื่อพวกเขามาถึง เวินไหวและหลิวต้าวปินได้มายืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจากไกลๆ ก่อนที่เวินไหวจะได้เอ่ยปากพูด หลิวต้าวปินก็วิ่งนำไปก่อนและแสดงความเคารพหวังเป่าเล่อตั้งแต่ในระยะไกล ชายหนุ่มตื่นเต้นสุดขีดและพูดด้วยเสียงอันดัง
“ข้าน้อยต้าวปินคารวะท่านเจ้าเมือง! ท่านเจ้าเมือง ได้โปรดอนุญาตให้ต้าวปินผู้นี้ได้พูดตามใจด้วยเถิด นับเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ข้ามีความในใจมากมายอยากจะพูด จึงพึงขออนุญาตจากท่านให้ข้าได้พูดความในใจด้วยเถิดขอรับ!” เสียงของหลิวต้าวปินฟังชัดไปทั่วทุกสารทิศ เวินไหวก่นด่าหลิวต้าวปินที่ทำอะไรตัดหน้าอยู่เบาๆ เขาวางแผนจะทักทายหวังเป่าเล่อเช่นกัน แต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หลิวต้าวปินพูดเขาก็ถึงกับผงะ ก่อนจะเริ่มคิดว่าหลิวต้าวปินล่วงรู้ความลับสกปรกเกี่ยวกับเขาแล้วกำลังหาโอกาสรายงานผู้บังคับบัญชาอยู่หรือไม่
หวังเป่าเล่อที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า พลันมีประกายวูบขึ้นมาในดวงตาเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าวปิน แม้แต่หลินเทียนหาวกับคนอื่นๆ ที่เดินตามมาข้างหลังก็ยังตกตะลึงไป
“ต้าวปิน โปรดพูดตามใจเถิด จะเป็นเรื่องใดก็ตามแต่!” หวังเป่าเล่อก้าวอาดๆ เข้าไปหาพลางพยุงหลิวต้าวปินขึ้นยืน
หลิวต้าวปินนั้นตื่นเต้นจนตัวสั่นเล็กน้อย ชายหนุ่มจ้องมองหวังเป่าเล่อ เสียงที่เจือความตื่นเต้นก็สั่นเครือ
“ท่านเจ้าเมือง ต้าวปินผู้นี้อยากขออภัยท่าน ตอนที่ข้าเห็นท่านไกลๆ ข้ามัวแต่ตกตะลึงจนเข้ามาทักทายท่านช้าเกินไป ข้าไม่ได้พบท่านมานานเสียจนเมื่อเห็นท่านอีกครั้งก็ทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าข้าได้เห็นเทพยดาที่หล่อเหลาเกินกว่ามนุษย์คนใดในสหพันธรัฐแห่งนี้ ความคิดที่ว่าบุรุษที่หล่อเหลาเช่นนี้เป็นเจ้าเมืองของข้า ทำให้ข้าตื่นเต้นจนเสียอาการ ข้าจึงจะขอรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างตามแต่ท่านเจ้าเมืองจะเห็นสมควร!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าวปิน เวินไหวก็ถึงกับตาเบิกโพลงพลางอ้าปากค้าง ราวกับได้เห็นอีกด้านหนึ่งของหลิวต้าวปิน ไม่ใช่เพียงเวินไหวเท่านั้น กระทั่งผู้ติดตามของเขาเองหรือหลินเทียนหาวและพวก เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าวปินก็ต่างพากันตกตะลึง ทุกคนต่างพากันจ้องมองหลิวต้าวปินอย่างมหัศจรรย์ใจ หลายคนก่นด่าความประจบประแจงของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ
กระทั่งหวังเป่าเล่อเองยังตะลึง แม้เขาจะเป็นคนหน้าหนาแต่ก็ยังรู้สึกเขินอายเมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวต้าวปินพูด แม้กระนั้นความพึงพอใจก็เอ่อท้นขึ้นในใจ ชายหนุ่มมีความสุขอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องเก็บอาการและทำเป็นดุด่าหลิวต้าวปินออกไป
หลิวต้าวปินรับการดุด่าจากหวังเป่าเล่อโดยดุษฎี ทั้งยังมีสีหน้าโล่งใจอีกด้วย ชายหนุ่มรู้สึกว่าการที่หวังเป่าเล่อสละเวลามาด่าทอตนเองนั้นถือเป็นเกียรติยิ่ง ทั้งยังไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณหลังจากที่หวังเป่าเล่อดุด่าเขาเสร็จอีกด้วย
“ท่านเจ้าเมืองพูดถูกต้องแล้วขอรับ ท่านเจ้าเมือง ท่านแบกรับภาระหนักหนาเอาไว้บนบ่า ท่านเป็นตัวอย่างให้กับพวกเราทุกคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน อนาคตของท่านนั้นทั้งยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหวัง! หลิวต้าวปินคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมา ข้าไม่อาจเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจได้ เป็นเหตุให้ข้าต้องพูดทุกสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาในวันนี้”
หลินเทียนหาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับผงะ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการคุกคามของหลิวต้าวปินต่อหน้าที่การงานของตนยิ่งรุนแรงขึ้น ส่วนเวินไหวนั้นหันไปมองค้อนหลิวต้าวปินอยู่หลายหน ขณะที่กำลังก่นด่าหลิวต้าวปินอยู่ในใจ ชายหนุ่มก็พลันนึกอิจฉา พลางคิดว่าตนนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการโดยตรงของหลิวต้าวปิน แต่กลับถูกเมินทันทีที่อีกฝ่ายพบหวังเป่าเล่อ ทั้งยังไม่เคยได้ยินหลิวต้าวปินพูดคำสรรเสริญเช่นนี้เกี่ยวกับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ…
ยิ่งไปกว่านั้น เวินไหวยิ่งรู้สึกสิ้นหวังเมื่อคิดถึงสถานการณ์ในเขตปกครองตนเองของตน เขารู้สึกอับอายที่ไม่ได้รับหน้าที่พาหวังเป่าเล่อตรวจชมเขตด้วยตนเอง ฝ่ายหลิวต้าวปินนั้นดูเหมือนไม่ได้อยากเชิญเวินไหวมาด้วยกันสักเท่าใดนัก อีกฝ่ายกุลีกุจอขอรับหน้าที่นำทางหวังเป่าเล่อด้วยตนเอง
เช่นนั้นเอง พวกเขาจึงเริ่มเดินเข้าสู่เขตปกครองตนเองกันเสียทีหลังจากการสรรเสริญเยินยออันยาวนานของหลิวต้าวปินจบลง เมื่อเหล่าผู้มาเยือนย่างเท้าเข้าสู่เขตปกครองตนเอง ก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจถึงเพียงนั้นคือรูปปั้นขนาดยักษ์สองอันที่ตั้งตระหง่านอยู่สองฝั่งของทางเดินหลักมี รูปปั้นทั้งคู่เป็นรูปเหมือนของหวังเป่าเล่อ!
หวังเป่าเล่อถึงกับผงะไปอีกครั้ง ชายหนุ่มหันไปมองหลิวต้าวปิน ผู้ซึ่งแสดงความเคารพต่อเขาอย่างเต็มเปี่ยม แล้วจึงหันไปมองสิ่งก่อสร้างรอบข้าง ชายหนุ่มดูสับสนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเริ่มก้าวเท้าต่อไปตามทาง และในตอนนั้นเองจิตใจของหวังเป่าเล่อและผู้ติดตามก็ล้วนสับสนงุนงงไปหมด
ในเขตปกครองตนเองแห่งนี้ มีรูปปั้นของหวังเป่าเล่ออยู่มากมายจนแทบนับไม่ถ้วน ทุกอันต่างขนาดกันไป…มีรูปปั้นหวังเป่าเล่ออยู่แทบทุกหนึ่งร้อยเมตร แต่ละอันต่างอากัปกิริยา ทุกอันล้วนพยายามแสดงถึงความเป็นวีรบุรุษของหวังเป่าเล่อ!