หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 412 แหวกหญ้าให้งูตื่น!

บทที่ 412 แหวกหญ้าให้งูตื่น!

ทุกอย่างน่าจะจบด้วยดีหากจินตั้วหมิงไม่ได้พูดเช่นนั้นออกไป คำพูดของเขาทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยทันที เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็รีบโบกมือขวาและหยิบอาวุธเวทออกมา

อาวุธชิ้นนั้นคือกระบี่เหาะเหิน!

มันมีสีแดงฉาน แถมยังแผ่รัศมีความร้อนออกมาทันทีที่หยิบออกมา พลังของมันอวลอยู่ในอากาศ ภายในคลื่นความร้อนนั้นมีภาพรางๆ ของวิหคเพลิงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังจินตั้วหมิง วิหคนั้นยืนอยู่บนทะเลเพลิงอันแรงกล้าที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง

กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด!

ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายทันทีที่เห็นอาวุธเวทชิ้นนี้ เขารู้ดีว่าอาวุธเวทชิ้นหนึ่งมีค่ามากเพียงใด กระบี่เหาะเหินเล่มนี้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดเช่นเดียวกับกระบี่ของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าหลอมมาอย่างประณีตกว่า ความแตกต่างนี้เห็นได้จากรัศมีของอาวุธเวทที่แผ่ออกมา

เมื่อเห็นอาวุธเวทอยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจใคร่ครวญความนัยของจินตั้วหมิงอีกต่อไป ต่อให้ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นกับดักก็แล้วอย่างไรกัน หากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขา หวังเปาเล่อก็สามารถกลับมาขออาวุธเวทอีกชิ้นได้อยู่ดี นี่เป็นหนึ่งในข้อดีของการมีเพื่อนเป็นคนร่ำรวย

หวังเป่าเล่อพยักหน้าอย่างยินดี ชายหนุ่มเหมือนจะเออออกับสิ่งที่จินตั้วหมิงได้เสนอมาเป็นที่เรียบร้อย จินตั้วหมิงรู้ดีว่าการตกลงเพียงลมปากนั้นยังไม่เพียงพอ แต่มีการตกลงไว้บ้างก็ยังดีกว่าไม่มีเลย แม้จะรู้สึกเสียเปรียบเพียงใด จินตั้วหมิงก็ทำได้เพียงทอดถอนใจและเหวี่ยงกระบี่เหาะเหินไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงเคยทำกรรมกับหวังเป่าเล่อไว้แต่ชาติปางก่อนเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีเหตุผลอื่นใดมาอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงต้องเสียอาวุธเวทให้หวังเป่าเล่อครั้งแล้วครั้งเล่า

ข้าต้องมองความสูญเสียนี้เป็นการลงทุน! เมื่อคิดได้เช่นนั้นจินตั้วหมิงก็สบายใจขึ้นเป็นอันมาก

ทั้งสองนั่งอยู่บนเรือบินที่มุ่งหน้าไปยังนครใหม่ ระหว่างทางกลับนั้น หวังเป่าเล่อก็นำกระบี่เหาะเหินออกมาทดสอบอยู่ไปมา ชายหนุ่มทำกระทั่งวิเคราะห์และลองเชื่อมสัมผัสเข้ากับกระบี่ เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของอาวุธเวทชิ้นนี้ในทันที ประกอบกับความรู้ใหม่ที่ได้รับเมื่ตอนที่อยู่ในศูนย์วิจัย ทำให้หวังเป่าเล่อแทบรอไม่ไหวที่จะถือสันโดษและเริ่มศึกษากระบี่เหาะเหินเล่มนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาจะต้องบรรลุขั้นการหลอมอาวุธเวทได้หลังการถือสันโดษครั้งนี้อย่างแน่นอน!

เรือบินนำทั้งตัวเขาและความทะเยอทะยานนั้นเหาะมุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเข้าใกล้นครใหม่ขึ้นไปทุกที ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังศึกษาอาวุธเวทอยู่นั้น จินตั้วหมิงก็เริ่มทบทวนแผนการของตน เหตุหนึ่งที่เขามายังดาวอังคารแห่งนี้ก็เพราะประมุขของตระกูลไหว้วานให้เขาจับตาดูสุสานอาวุธเทพใต้ดินเอาไว้ และอีกเหตุหนึ่งคือชายหนุ่มต้องการต่อสู้เพื่อโอกาสในการได้เป็นประมุขตระกูลคนต่อไป

อย่างไรเสีย จินตั้วหมิงก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นผู้สืบทอด ชายหนุ่มต้องตระเตรียมการเอาไว้เพื่อตัวเองเสียก่อน จินตั้วหมิงตั้งใจจะมารวบกิจการของตระกูลบนดาวอังคาร แต่บิดาของเขาก็เตือนให้ติดสอยห้อยตามหวังเป่าเล่อไปไหนมาไหน เป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องเดินทางไปพบหวังเป่าเล่อตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงดาวอังคาร

จากที่จินตั้วหมิงเห็น การลงทุนเพียงเท่านี้ถือว่าคุ้มค่ายิ่ง เพราะหวังเป่าเล่อถือเป็นกุญแจสำคัญที่เขาจะได้ทะลวงอุปสรรคของตระกูลบนดาวอังคาร

แต่บิดาทราบได้อย่างไรกันว่าหวังเป่าเล่อจะรุดหน้าไปไกลบนดาวอังคารแห่งนี้ จินตั้วหมิงเริ่มรู้สึกเอะใจ แต่ไม่อาจคิดหาคำตอบได้ เขารู้ดีว่าแม้บิดาจะยอมรับในความสามารถของเขาเพียงใด แต่หากเลือกที่จะเก็บความลับแล้ว ก็จะไม่มีวันยอมปริปากเป็นอันขาด ไม่ว่าชายหนุ่มจะเพียรถามสักเพียงใดก็ตาม

เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้เป็นคนน่าสนใจอยู่ไม่น้อย…จินตั้วหมิงคิดก่อนจะเหลือบไปมองหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการศึกษาอาวุธเวท ก่อนจะคิดไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวอังคาร ชายหนุ่มเกิดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็เคารพหวังเป่าเล่ออยู่มากเช่นกัน

เวลาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หวังเป่าเล่อเฝ้าศึกษาอาวุธเวท ส่วนจินตั้วหมิงก็ศึกษาหวังเป่าเล่ออีกต่อหนึ่ง ในไม่ช้านครอาวุธเทพใหม่ก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ

เรือบินเข้าใกล้เขตนครอย่างมั่นคงและค่อยๆ ลงจอดที่ลานท่าอากาศยานในเขตของจินตั้วหมิงอย่าง  แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินทางไปอย่างไม่เอิกเกริก แต่กลับมีคนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจำนวนหนึ่ง รวมถึงหลินเทียนหาว มาคอยต้อนรับ

ทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวพ้นประตูเรือบิน เขาก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหลินเทียนหาวและใบหน้าที่คุ้นเคยของอีกหลายๆ คน ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับและอุ่นใจเต็มตื้นขึ้นในใจ ชายหนุ่มแหงนหน้ามองไปยังสิ่งก่อสร้างที่รายล้อมอยู่ ที่แห่งนี้คือนครของเขา จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์อย่างเปี่ยมสุข

“ยินดีต้อนรับท่านเจ้าเมือง!” หลินเทียนหาวกล่าวด้วยเสียงอันดัง ผู้ติดตามด้านหลังพากันประสานมือคารวะและกล่าวทักทายตามๆ กันมา

หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้ฝูงชน ชายหนุ่มกำลังจะประกาศผลของการพบปะครั้งนี้ และแจ้งแก่ทุกคนว่ากำลังจะมีการสร้างศูนย์วิจัยขึ้นในนครแห่งนี้ แต่ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดนั่นเอง ชายหนุ่มก็พลันขมวดคิ้ว สายตาของหวังเป่าเล่อจับจ้องไปที่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนหนึ่งจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่อยู่ในหมู่คนซึ่งมารอรับเขา!

เขาเป็นชายวัยกลางคน สีหน้าท่าทางดูเปี่ยมไปด้วยความเคารพ นัยน์ตาก็ส่องประกายเปี่ยมล้นไปด้วยความกระตือรือร้น เขาไม่มีท่าทีแปลกไปจากในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ ผิดไปเพียงอย่างเดียว…คือมีรัศมีเบาบางแผ่ออกมาจากร่าง แต่หวังลู่เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ… ปราณมืด!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงในทันที ชายหนุ่มกำลังจะเข้าไปดูให้แน่ใจ แต่ก็รู้สึกถึงปราณมืดจากแหล่งอื่นอีก พวกนั้นมีถึงห้าคนด้วยกัน!

หวังเป่าเล่อถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ หากมีเพียงคนเดียวเขายังพอคิดว่าเป็นอุบัติเหตุได้ แต่นี่ในกลุ่มที่มารอต้อนรับเขามีด้วยกันถึงห้าคน ช่างน่าพรั่นพรึงนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่คิดทำเรื่องวู่วาม ชายหนุ่มละสายตาออกมาอย่างรวดเร็วและเริ่มยิ้มต่อ แต่ไม่มีอารมณ์จะประกาศสิ่งใดอีกแล้ว หวังเป่าเล่อรีบเดินทางออกจากท่าอากาศยานไปกับหลินเทียนหาว

ระหว่างการเดินทางกลับ หลินเทียนหาวอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่อไม่ห่าง พลางรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เขาไม่อยู่

หวังเป่าเล่ออาจดูปกติขณะที่รับฟังการรายงาน แต่เขาจับตามองหลินเทียนหาวอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยของปราณมืดบนตัวหลินเทียนหาว ชายหนุ่มจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะก้าวขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปยังสำนักงานเจ้าเมือง ในขณะที่กลุ่มผู้ติดตามนั้นเดินห่างออกไป หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงริมเรือบิน สีหน้าท่าทางปกติ แต่เขาแอบเชื่อมต่อตนเองเข้ากับวงแหวณปราณของเมืองและเริ่มจ้องมองสอดแนมไปทั่วทั้งเมือง

ทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่นั้นเต็มล้นไปด้วยปราณมืด ปราณมืดที่ไม่ได้มาจากสุสานใต้ดินแต่มาจากภายในนคร มาจากผู้ฝึกตนจำนวนมหาศาล…

ปราณมืดเหล่านี้มาจากเหล่าผู้ฝึกตนและถูกวงแหวนปราณดูดซับเข้าไป หวังเป่าเล่อแทบจะหน้ามืด ชายหนุ่มหันไปตรวจสอบอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารในทันที เพราะความไวต่อปราณมืดของเขา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังแบบเดียวกันในอภิมาวงแหวนปราณเช่นกัน

มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล! หวังเป่าเล่อหายใจรัวเร็ว ก่อนจะหันไปมองที่หลินเทียนหาวผู้ซึ่งกำลังจะรายงานเรื่องเคล็ดอายุวัฒนะ

ยังมีเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะอีก เป็นวิชาที่จู่ๆ ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จากการสืบสวนแล้วพวกเราไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ข้ากับรองเจ้าเมืองก็ตัดสินใจควบคุมการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้แล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีที่หลินเทียนหาวเอ่ยประเด็นนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มไม่ได้ขัดจังหวะ เขาปล่อยให้หลินเทียนหาวรายงานต่อไป พวกเขาไปถึงสำนักงานเจ้าเมืองในเวลาไม่ช้า หวังเป่าเล่อออกคำสั่งทันที พวกเขาจะไม่เข้าไปยังห้องทำงาน แต่จะกลับที่พักแทน

เมื่อเรือบินเดินทางมาถึงที่พัก หวังเป่าเล่อก็ก้าวออกมาตามปกติ เขารอให้หลินเทียนหาวและคนอื่นๆ กลับไปก่อนจะเข้าไปยังที่พัก สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างมากเมื่ออยู่คนเดียว ชายหนุ่มเปิดวงแหวนปราณก่อนจะเข้าไปยังห้องถือสันโดษ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิก่อนจะเชื่อมตนเองเข้ากับวงแหวนปราณอีกครั้งหนึ่ง

และเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกถึงกระแสของปราณมืดจากผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนภายในวงแหวนปราณของนครใหม่นี้ เขาดึงรายงานของหลินเทียนหาวเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะออกมาอ่านจนจบและพบสิ่งแปลกประหลาดเข้าสิ่งหนึ่ง

เคล็ดเวทนี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ…ไม่เป็นไรเลยหากจะฝึกฝนที่อื่น แต่เมื่อฝึกในนครใหม่เหนือสุสานใต้ดินที่อากาศปกคลุมไปด้วยปราณมืดนั้น อาจก่อให้เกิดความผิดพลาดอันใหญ่หลวงและน่าสะพรึงกลัวได้!

 เคล็ดนี้ใช้ประโยชน์จากการที่อภิมหาวงแหวนปราณแห่งดาวอังคารใช้พลังปราณของประชากรในการหล่อเลี้ยงตัว และส่งปราณมืดไปปะปนอยู่ในวงแหวนปราณนั้น…สิ่งนี้ไม่ใช่ฝีมือคนของในสหพันธรัฐแน่นอน เป็นไปได้สูงว่าเป็นผลงานของสุสานอาวุธเทพใต้ดิน…แต่อสูรทั้งหลายในนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา พวกมันจะวางแผนแยบยลเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน ปัญหานี้คาใจหวังเป่าเล่อเป็นที่สุด ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะตัดสินใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกำจัดปราณมืดออกจากผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะในนครใหม่เสียก่อน!

ถ้าเทียบกับการหาต้นตอของปัญหาแล้ว ประเด็นนี้ถือว่าเร่งด่วนกว่า เพราะตราบใดที่วงแหวนปราณยังคงอยู่ นครก็จะยังปลอดภัย ข้อนั้นเป็นหลักการที่อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

จริงๆ ข้าอาจจะสามารถยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว และล่อให้ตัวการเรื่องนี้เปิดเผยตัวตนออกมาเองก็ได้! หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะตัดสินใจ เขาจะทำการอย่างฉับพลันเพื่อล่อให้ศัตรูปรากฏตัว!

แต่ก่อนหน้านั้น หวังเป่าเล่อต้องเตรียมตัวและหลอมวัตถุเวทพิเศษอีกสองสามชิ้น โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่นครแห่งนี้ทั้งหมดคือปราการนิรันดร์ของเขา ภายในใจกลางนครที่หวังเป่าเล่อมีสิทธิ์เข้าไปได้เพียงคนเดียว มีหุ่นเชิดก่อสร้างอยู่มากมาย ทำให้เขาสะดวกในการหลอมวัตถุเวทเป็นอย่างยิ่ง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset