หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 396 จองจำ!

บทที่ 396 จองจำ!

ที่นอกนครใหม่ ผู้คนที่อยู่ในคณะของหวังเป่าเล่อล้วนเงียบกริบ มีเพียงเสียงเรือบินเท่านั้นที่ดังอยู่ในอากาศ เรือบินนั้นพุ่งผ่านอาณาเขตวงแหวนปราณของนครใหม่ และมุ่งหน้าไปยังเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ทันที

ตลอดทาง หวังเป่าเล่อไม่ได้มีสีหน้าเครียดขึงหรือโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด เขาดูสงบและสงวนท่าที พร้อมประกายประหลาดที่ฉายอยู่ในแววตา หวังเป่าเล่อดูแตกต่างไปจากปกติ จินตั้วหมิงและคนอื่นๆ หรี่ตามองชายหนุ่มด้วยสายตาพินิจพิจารณา

ทุกคนทำงานร่วมกับหวังเป่าเล่อบนดาวอังคารแห่งนี้ จึงเข้าใจอุปนิสัยของชายหนุ่มดีกว่าใคร พวกเขารู้ดีว่าชายร่างอ้วนที่ดูอารมณ์ดีผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตมาก หวังเป่าเล่อไม่ปรานีคนอื่น และไม่ปรานีตนเองเสียยิ่งกว่า เขาคือคนที่พรั่งพร้อมทั้งความเจ้าเล่ห์และความเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่อี้เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดี

หลังจากที่เกิดเรื่องกับหลี่อี้ จินตั้วหมิงและกงเต๋าต่างพอเดาได้ว่าความจริงแล้ว… หวังเป่าเล่อสร้างกับดักเตรียมรอหลี่อี้ไว้ตั้งแต่แรก เขาเฝ้ารอให้หลี่อี้เดินเข้ามาในเงื้อมมือของตนเอง

จินตั้วหมิงชื่มชมและยอมรับในความเหี้ยมเกรียมของกลยุทธ์นี้มาก แต่กงเต๋าคิดว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง กระนั้นชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าหลี่อี้เดินเข้าไปติดกับและก่อเรื่องเอง นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แม้กงเต๋าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยลืม

ความคิดของหวังเป่าเล่อยอดเยี่ยมและชาญฉลาด เขาคิดสิ่งที่จะทำให้ทุกคนได้ประโยชน์กันอย่างถ้วนหน้าและมหาศาล แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความคิด หากแต่เป็นการที่เขาทำมันได้สำเร็จ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จินตั้วหมิงและกงเต๋าเคารพหวังเป่าเล่อในฐานะเจ้าเมือง

ตอนนี้ทั้งสองไม่มีอารมณ์ที่จะยืนดูอยู่ข้างสนาม แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเฉินมู่และคณะอย่างไร

หวังเป่าเล่อจะทำอย่างไรกันนะ จินตั้วหมิงหรี่ตามอง ชายหนุ่มลองคิดดูว่าหากตนเองเป็นหวังเป่าเล่อจะทำอย่างไร และได้ข้อสรุปว่าตนเองจะใช้อำนาจและอิทธิพลของครอบครัวแก้ปัญหานี้

กงเต๋าและหลินเทียนหาวก็คิดเช่นกันว่าตนเองจะทำอย่างไรหากเจอปัญหานี้ แม้แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ยังครุ่นคิดว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเช่นไร ตอนนั้นเองที่หญิงสาวคิดได้ว่าตนเองไม่ได้รู้จักตัวตนของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย นางเพียงรู้สึกว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อกำลังหาเหาใส่หัวเท่านั้น แต่นางก็เข้าใจดีว่าหวังเป่าเล่อไต่เต้าขึ้นมาได้เรื่อยๆ จากคนที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายมาเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงได้ ชายหนุ่มย่อมไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน

ความคิดเช่นนั้นอยู่ในใจทุกคนที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า หากพวกเขาเดินทางกันไกลกว่านี้ อาจมีคนคิดขึ้นมาได้ว่าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร แต่ระยะทางระหว่างสุสานแห่งใหม่กับเขตของเฉินมู่ไม่ได้ไกลมาก ทุกคนจึงยังคิดไม่ออก แม้จะเดินทางมาถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว

เขตปกครองตนเองภายใต้อาณัติของเฉินมู่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครใหม่ ขนาดของมันใกล้เคียงกับเขตนครที่หวังเป่าเล่อสร้างสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีอยู่ ขนาดของพื้นที่นั้นใหญ่มาก และเฉินมู่ก็วางแผนการก่อสร้างมาอย่างดี อีกทั้งตระกูลนภาห้าสมัยยังให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้แม้เฉินมู่จะเพิ่งมาถึงไม่นาน แต่โครงสร้างของเมืองก็ถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว

เมื่อมองจากระยะไกล พื้นที่ที่ก่อนหน้าเคยรกร้าง บัดนี้มีถนนเรียบและพื้นโล่งเข้ามาแทนที่ มีตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย สิ่งปลูกสร้างล้วนเป็นรูปแบบของตระกูลนภาห้าสมัยทั้งสิ้น มันช่างงดงาม แปลกตา และเต็มไปด้วยหอคอยนับไม่ถ้วน เขตของเฉินมู่ดูราวกับไม่ใช่เขตเมือง แต่เหมือนบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่ของตระกูลอันแสนมั่งคั่งมากกว่า

ทั้งเขตแบ่งออกเป็นสิบวงแหวนอาณาเขต แต่ละวงแหวนเชื่อมต่อกันแต่ก็แยกออกจากกันได้ในทันที และสามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาเขตอื่น ทุกพื้นที่มีเวรยามของสมาชิกตระกูลนภาห้าสมัยคอยตรวจตรา โดยเฉพาะจุดที่บรรจบกับเขตนครใหม่นั้นเวรยามดูจะหนาแน่นเป็นพิเศษ

ทุกองค์ประกอบบอกอย่างชัดเจนว่าเขตนี้เป็นเขตปกครองตนเอง พวกเขาแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศอย่างชัดเจนเพื่อประกาศเจตนารมณ์ หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยมาเยือนเขตนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็ได้ข่าวมานานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ชายหนุ่มก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้เมื่อเห็นภาพตรงหน้า

แม้เขตนี้จะดูเหมือนบ้านพักตากอากาศของตระกูลนภาห้าสมัย แต่การสร้างวงแหวนปราณหลักก็ยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย ตระกูลนภาห้าสมัยไม่ปล่อยให้มีการผิดพลาดแต่อย่างใด

เฉินมู่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าหวังเป่าเล่อจะมาเยือน ชายหนุ่มไม่คิดเปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อวิพากษ์วิจารณ์มารยาททางสังคมของเขา ดังนั้นก่อนที่หวังเป่าเล่อจะมาถึง เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งพร้อมด้วยกองทัพผู้อารักขาของตนก็ได้มายืนรออยู่หน้าเขต พวกเขาทำมือคารวะหวังเป่าเล่อจากระยะไกล เมื่อเงยหน้าขึ้น ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มเป็นมิตรอยู่บนใบหน้า เสียงอ่อนโยนของพวกเขาลอยมาตามอากาศ

“คารวะท่านเจ้าเมือง ท่านรองเจ้าเมือง และสหายทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่เขตนครใหม่”

ขณะที่พูดออกมานั้น เฉินมู่ก็สบสายตาหวังเป่าเล่อ เขามองร่างท้วมนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน แต่ภายในใจกลับกำลังหัวเราะเยาะเย้ย ชายหนุ่มเชื่อว่าผู้ที่ไม่สามารถรักษาแม้แต่รูปร่างของตนเองให้ดูสมส่วนได้นั้น คงเต็มไปด้วยข้อเสียมากมายในด้านอื่นๆ อย่างแน่นอน

แม้เฉินมู่จะเยาะเย้ยหวังเป่าเล่ออยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่เคยบอกเวินไหวและฟางจิ้งว่าคิดอย่างไรกับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มทำแม้กระทั่งศึกษาเรื่องราวของหวังเป่าเล่อเพื่อที่จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร แม้กระนั้นเฉินมู่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ได้รับรู้มามากนัก ซึ่งนั่นแปลว่าชายหนุ่มมองว่าคู่แข่งของเขาคนนี้ไม่ได้จัดการยากเย็นอะไร

นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่หวังเป่าเล่อได้พบเฉินมู่ ชายหนุ่มมองรอยยิ้มเป็นมิตรซึ่งอาบอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้น เฉินมู่มีร่างสูง หุ่นดี และมีบรรยากาศของความเป็นชนชั้นสูงอยู่รอบกาย ที่ดูก็รู้ว่ามาจากการเติบโตในครอบครัวขุนนางเก่าแก่ ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อไม่ชอบใจอีกฝ่ายขึ้นไปอีก

สมาชิกสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพทุกคนดูดีกว่าหมอนี่เยอะ! หวังเป่าเล่อพ่นลมเยาะอยู่ในใจ เขาก้าวเท้ายาวออกไปข้างหน้า สายตามองผ่านเฉินมู่ไปหาเวินไหวและฟางจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้พบฟางจิ้ง ส่วนเวินไหวนั้นเขาได้เคยลอกคราบเสียจนหมดตัวเมื่อครั้งอยู่บนดวงจันทร์ ชายหนุ่มรู้กระทั่งว่าเวินไหวดูเป็นอย่างไรตอนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า

ฟางจิ้งดูพอใจกับสายตาที่หวังเป่าเล่อมองนาง ในสายตาของนางเองมีแววความยั่วยุอยู่ ทว่าเวินไหวกลับตัวสั่นเทา ภาพฉากการเผชิญหน้าของพวกเขาบนดวงจันทร์ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ ชายหนุ่มหลบสายตาหวังเป่าเล่อโดยสัญชาตญาณ หากเฉินมู่ไม่ย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องมาเจอ และสำนักของเขาไม่ได้จัดการให้เขามาประจำที่นี่ เวินไหวก็ไม่ต้องการพบหน้าหวังเป่าเล่ออีกในชาตินี้

ดวงตาของเฉินมู่เป็นประกายวาบเมื่อเห็นเวินไหวก้มหน้าลงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เขาก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเรียกความสนใจของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนเอื้อนเอ่ย “ท่านเจ้าเมือง มีเหตุอันใดให้ท่านต้องมาเยี่ยมเยือนเขตปกครองตนเองของข้าพร้อมคณะใหญ่โตเช่นนี้” เฉินมู่เน้นคำว่า “เขตปกครองตนเอง” ขณะพูด เขาตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ในเมื่อหวังเป่าเล่อต้องการมาหาเรื่อง เฉินมู่ก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้สูญเปล่า แต่จะใช้มันเพื่อทำให้อำนาจของหวังเป่าเล่ออ่อนแอลง!

เมื่อโดนบังสายตา หวังเป่าเล่อก็หันกลับไปมองเฉินมู่อีกครั้ง ทั้งคู่ประสานสายตากัน ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างทั้งสอง สายตาทุกคู่ในที่แห่งนั้นล้วนจับจ้องไปที่การเผชิญหน้าของพวกเขา

“เฉิน…” หวังเป่าเล่อเริ่มเปิดปาก แต่เฉินมู่ก็พูดขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้พูดสิ่งที่นึก

“หากท่านมาเพราะเรื่องที่มีสุสานใต้ดินเกิดใหม่ละก็ ข้าได้จัดการส่งคนออกไปช่วยเหลือแล้วมิใช่หรือ คนที่ข้าส่งไปได้บิดพลิ้วหรือทำผิดต่อหน้าที่หรือไม่” เฉินมู่ยิ้มขณะมองหวังเป่าเล่อ ภายในใจคุกรุ่นด้วยความจงเกลียดจงชัง

แววเย็นชาในดวงตาของหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกขัดจังหวะ ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง แต่เฉินมู่ก็ยิ้มและพูดขึ้นมาอีก

“ข้าไม่เชื่อว่าท่านเจ้าเมืองจะมาเพราะเหตุนี้ หรือเป็นเพราะข้าไม่ได้ทำตามคำสั่งครั้งที่สองของท่าน ข้าร้องขอความเข้าใจจากท่านเจ้าเมืองด้วย ข้าเสียใจมากจริงๆ แต่ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขตใหม่นี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเขตของข้าหรือคนอื่นๆ ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับการก่อสร้างจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปจัดการเรื่องอื่น…”

“นั่นเพราะเราเป็นเขตปกครองตนเอง ดังนั้นการสร้างเมืองให้เสร็จสมบูรณ์จึงเป็นภารกิจที่สำคัญสุด พวกข้าขอร้องให้ท่านเจ้าเมืองเข้าใจในความจำเป็นนี้ด้วย” เฉินมู่ทำมือคารวะ และก้มตัวลมคำนับหวังเป่าเล่อหลังจากพูดจบ เฉินมู่มีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดทั้งตอนพูดและแสดงท่าทาง คำพูดของเขาไม่ได้หยาบกร้าว น้ำเสียงของเขาถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่เขาจงใจพูดขัดหวังเป่าเล่อถึงสองครั้ง และนั่นก็ทำให้ทัศนคติของเขาที่มีต่อหวังเป่าเล่อแจ่มชัดต่อหน้าทุกคน

ผู้คนรอบกายล้วนมีปฏิกิริยาตอบรับแตกต่างกัน จินตั้วหมิงและกงเต๋าขมวดคิ้ว ขณะที่ความโมโหเข้าปกคลุมดวงตาของหลินเทียนหาว ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์ได้แต่ถอนใจอยู่ในอก ทุกอย่างเป็นตามที่นางคิดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน

แต่ท่ามกลางปฏิกิริยาที่แตกต่างกันของผู้คนที่อยู่รายรอบ หวังเป่าเล่อกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา รอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้าของชายหนุ่มราวกับเป็นดอกไม้ที่กำลังคลี่แย้ม ในดวงตาของเขามีแววชื่นชมยอมรับ

“ข้าเข้าใจดี ท่านเจ้าเมืองของเจ้าเข้าใจดี แน่นอนอยู่แล้วว่าเขตปกครองตนเองไม่ได้ขึ้นตรงต่ออำนาจของนครใหม่ เพราะเป็นคนละภาคส่วนกัน ข้ารู้ดี… ความจริงแล้ว หากข้าเดินไปไกลกว่านี้อีกไม่กี่ก้าว ก็คงจะเป็นการล่วงล้ำเขตของเจ้าแล้ว” หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดัง เฉินมู่นิ่งอึ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของชายหนุ่มตรงหน้า

แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็หุบยิ้มและพูดอย่างไร้อารมณ์ “หลินเทียนหาว!”

“ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านพร้อมรับใช้ขอรับ!” หลินเทียนหาวก้าวมาข้างหน้าอย่างฉับพลัน พร้อมค้อมหัวลงคำนับ

“จงไปจัดการเรื่องต่อไปนี้ ข้าต้องการสร้างกำแพงล้อมรอบเขตปกครองตนเองที่อยู่ใต้อาณัติของนายกเทศมนตรีเฉิน นายกเทศมนตรีเวิน และนายกเทศมนตรีฟาง จดเอาไว้ให้ดี กำแพงนี้จะต้องสร้างในอาณาเขตของนครใหม่ ไม่ใช่อาณาเขตของเขตปกครองตนเอง” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา หลินเทียนหาวก็เข้าใจโดยพลัน ชายหนุ่มตอบรับคำสั่งด้วยเสียงดังฟังชัด สีหน้าของเฉินมู่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนรอบกายพวกเขาล้วนนิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกกว้าง

แต่นี่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อที่มีสีหน้าไร้อารมณ์เอ่ยอีกครั้ง

“กงเต๋า!”

“ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านพร้อมรับใช้ขอรับ!” กงเต๋าเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อในทันที

“รวบรวมคนของเจ้า ข้าต้องการให้กำแพงเมืองที่สร้างใหม่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ล้อมกำแพงเอาไว้ ห้ามใครเข้าหรือออกเขตปกครองตนเองอย่างเด็ดขาด!”

ทันทีที่คำสั่งของหวังเป่าเล่อสะท้อนก้องไปในอากาศ ทุกคนก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ในที่สุดเฉินมู่ก็มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของหวังเป่าเล่อ อารมณ์มากมายผ่านเข้ามาบนใบหน้าของชายหนุ่มขณะที่เขาพยายามจะเอ่ยปากพูด แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็ขัดขึ้นมาโดยไม่แม้แต่จะพยายามฉีกยิ้มเสแสร้ง ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายกเทศมนตรีเฉิน เจ้าปกครองเขตปกครองตนเองเช่นนั้นสินะ ได้เลย ไม่เป็นปัญหา ข้า หวังเป่าเล่อ จะไม่ยุ่มย่ามกับเหตุบ้านการเมืองใดๆ ที่เกิดในเขตของเจ้า แต่นอกเขตของเจ้าคือที่ของข้า นครใหม่ของข้า และในนครของข้านี้ ข้าจะตั้งใจอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยให้เจ้าได้ปกครองตนเอง ข้าช่วยเจ้าสร้างกำแพงเมือง และยังช่วยเจ้าจองจำตนเองเอาไว้ภายใต้กำแพงนั้น ข้าขอบอกเอาไว้ตรงนี้ให้ทราบโดยทั่วกันเลยก็แล้วกัน อย่าคิดเป็นอันขาดว่าจะได้ก้าวออกจากเขตของเจ้าแม้แต่ก้าวเดียว ข้ามีวงแหวนปราณที่แผ่พลังอยู่ในอากาศ หากข้าไม่ออกคำสั่ง จะไม่มีแม้แต่วิญญาณสักตนได้เข้าไปในเขตของเจ้า ข้ายอมทิ้งแซ่ของตัวเองเสียดีกว่า หากยอมให้พวกเจ้าคนใดออกมาได้!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset