สาวใบ้เหลียงหวางหรู
สุริยันสดับยามเที่ยงวัน เหนือน่านนภา เปี่ยมไปด้วยพลังธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
บนทุ่งรกร้างมีวัชพืชตลอดทาง ปรากฏเป็นกลุ่มคาราวาลรถม้าพร้อมผู้คนนับหลายสิบที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ
“คุณหนูรอง อีกประมาณครึ่งเดือนพวกเราก็จะไปถึงป่าอสูรลึกลับแล้ว! หลังจากที่เดินทางผ่านป่าอสูรลึกลับได้ เราก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองกุยฉางแล้ว”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมเครื่องแบบทหารยามกล่าวขึ้นเบื้องหน้าหญิงงาม
หากพินิจมองให้ดี นางผู้นี้ควรจะเป็นผู้นำกองคาราวานนี้อย่างแม่นยำ
“อืม บอกให้ทุกคนเพิ่มความระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว มีข่าวไม่ดีนักเกี่ยวกับป่าอสูรลึกลับเมื่อไม่นานมานี้ หากพ้นผ่านจากป่าอสูรลึกลับไปได้ สตรีผู้นี้จะจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มให้พวกเจ้าเป็นสองเท่า”
สาวงามนางนั้นกล่าวขึ้นพร้อมพยักหน้า
ชายวัยกลางคนดูท่าจะดีใจยิ่งยวดและเร่งกล่าวตอบทันที
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งคุณหนูรอง!”
เขาเหลียวหลังกลับไปและตะโกนสั่งการเหล่าทหารยามคนอื่นๆโดยไวว่า
“พวกเจ้าทุกคนได้ยินหรือไม่? คุณหนูรองต้องการจะจ่ายค่าตอบแทนให้สองเท่า หวังว่าพวกเจ้าจะฉลาดพอ สิ่งใดควรหรือไม่ควร!”
กลุ่มทหารยามกล่าวตอบโดยพร้อมเพรียงว่า
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งคุณหนูรอง!”
สาวงามนางนั้นคลี่ยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าเชิงสัญญาณเป็นมารยาทให้
นางพลันกวาดสายตาไปหาสาวงามอีกคนที่อยู่ด้านหลังอย่างอดมิได้ พลางเผยให้เห็นถึงแววหยามเหยียดสะท้อนออกจากยัน์ตาอย่างชัดเจน
สาวงามอีกคนที่อยู่ด้านหลังดูคล้ายกับว่าร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ สีหน้าผิวพรรณของนางดูซีดเซียวเล็กน้อย รูปลักษณ์ของนางช่างงดงามและมีหลายต่อหลายจุดที่ละไม้คล้ายคลึงกับอีกคนที่อยู่ด้านหน้า
ทว่าต่อหน้าสายตาสุดเหยียดยามที่มีให้นี้ สาวงามนางนี้กลับมิได้แยแสเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่านางมิได้รู้สึกอะไรเลย
แต่ทันใดนั้นเอง คู่คิ้วสวยของนางพลันถักหนาขึ้นในทันที สองมือที่กุมจับสายคุมบังเหียนม้าถูกดึงจนตึงพร้อมกับทั้งกองคาราวานที่หยุดชะงักทั้งขบวน
เมื่อคุณหนูรองเห็นดังนั้น นางก็ขมวดคิ้วเข้มกล่าวขึ้นว่า
“เหลียงหวางหรู เจ้าทำอะไรของเจ้า?”
ทว่าสาวงามนางนั้นกลับเพิกเฉยต่อคำถามและลงจากม้าที่ขี่ตรงเข้าสู่กอหญ้าข้างทางทันที
ภายในกอหญ้าหนาทึบปรากฏเป็นชายหนุ่มคนนี้ที่ทั่วทั้งร่างกายอาบชโลมไปด้วยเลือดสดและบาดแผลมากมาย ดูผิวเผินคล้ายศพเละสุดน่าสยดสยอง
สาวงามนางนั้นขมวดคิ้วแน่น สีหน้าการแสดงออกของนางเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศก
นางเหลียวหลังกลับมายังกองคาราวานและกวักมือเรียกทหารยามวัยกลางคนผู้นั้น ทว่ายังทันที่ทหารยามผู้นั้นจะได้ขยับตัว กลับเป็นเสียงของคุณหนูรองที่โพล่งดังขึ้น นางกล่าวเสียงเย็นกระด้างไปว่า
“จางชุน เจ้าไม่ต้องไป! กับอีแค่คนตายยังจะไปเสียแรงสนใจอันใด? หากนางต้องการช่วยนัก ก็ให้นางแบกกลับมาคนเดียว”
จางชุนดูลังเลเล็กน้อย และท้ายที่สุดจำต้องยืนดูอยู่นิ่งๆด้วยความจนใจ
เหลียงหวางหรูถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ปรากฏว่านางกัดฟันประคองร่าง‘คนตาย’นั้นกลับมาด้วยจริงๆเพียงลำพัง
‘คนตาย’ศพนี้มิได้หนักเท่าไร่นัก คราบเลือดสดโดยส่วนใหญ่เริ่มแห้งจนกรอบแล้วโดยดวงสุริยันอันร้อนระอุที่แผดเผาอยู่นาน โดยมิอาจทราบได้เลยว่า ศพร่างนี้ถูกทิ้งร้างอยู่ตรงนี้เป็นเวลากี่วันแล้ว ถึงได้มีกลิ่นเหม็นสาบหึ่งออกมาจากร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ‘คนตาย’ที่ว่ากลับมิใช่ใครอื่น นอกจากเย่หยวนที่หนีตายออกจากหลุมดำอวกาศ!
แน่นอนว่าเขายังไม่ตายจริงๆ แต่พินิจจากรูปการณ์น่าจะใกล้ตายเต็มทนแล้วเช่นกัน
สภาพเย่หยวนในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรจากศพ ผิวหนังทั่วร่างถูกถลกออกจากเห็นเป็นกล้ามเนื้อแดงเปียกชื้น ภายใต้แสงสุริยันที่สาดส่องลงมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ร่างกายของเขาเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็น
ถึงแม้จะเป็นวรยุทธมังกรทรราชจุติ แต่นี่ก็ไม่สามารถฟื้นฟูอากาศบาดเจ็บระดับนี้ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นเอง เย่หยวนในปัจจุบันไม่เหลือรองรอยพลังปราณใดๆเลนตั้งแต่หัวจรดเท้า ยามนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนพิการที่กำลังประคองลมหายใจเพื่อต่อชีวิต
เหลียงหวางหรูกลั้นใจทนกลิ่นเน่าเหม็นจากร่างกายของเย่หยวน และประคองร่างขึ้นรถม้าทันที
ภายในกองคาราวานนี้อัดแน่นไปด้วยสินค้ามากมาย นั้นส่งผลให้บริเวณทั่วทั้งกองคาราวานส่งกลิ่นสมุนไพรและโอสถออกมาจางๆ
คุณหนูรองยืนกอดอกเฝ้ามองเหลียงหวางหรูแบกหามร่างเย่หยวนตรงเข้ามาอย่างทุลักทุเล ก่อนขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ
แค่ลำพังเหลียงหวางหรูก็น่ารำคาญเกินพอแล้วสำหรับนาง นี่ยังมีคนเจียนตายอีกคนเป็นภาระหนัก ขณะนี้ทั้งสองล้วนเป็นตัวปัญหายิ่งอย่างไม่มีใครเทียบ
แต่เหลียงหวางหรูก็ดูท่าจะมิได้สนใจนัก
“เหอะ พี่ใหญ่คนประเสริฐของข้า แม้ขยะนี่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากศพ! ในตอนนี้กองคาราวานก็ยุ่งเหยิงเต็มทนแล้ว แต่นี่ยังจะมาเพิ่มปัญหาให้อีก? หากพานพบภัยอันตรายใดๆในป่าอสูรลึกลับ คงไม่มีใครว่างพอจะสนใจความเป็นตายของมัน!”
คุณหนูรองตะคอกขู่พร้อมเสียงเย็น
แต่แทนที่เหลียงหวางหรูจะส่งเสียงเอ่ยตอบ นางกลับใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง
ปรากฏว่า แท้ที่จริงแล้วเหลียงหวางหรูนางนี้เป็นหญิงใบ้!
คุณหนูรองนางนี้เข้าใจภาษามือของเหลียงหวางหรู นางยิ่งเผยสีหนสุดแสนจะรังเกียจและกล่าวตอบอย่างเยือกเย็นว่า
“ช่วยเหลือชีวิตมากกุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น? พี่สาวผู้ประเสริฐของข้า จิตใจของท่านเปรียบดั่งทองคำกระมัง? หรือท่านคือพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดที่ช่วยเหลือทุกชีวิต ส่วนพวกเราทุกคนคือคนบาป! หุหุ ก่อนจะช่วยเหลือคนอื่น ช่วยทำให้ตัวเองเลิกเป็นใบ้เสียก่อน! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์และร่างกายของมันได้รับความเสียหายจนพิการถาวร ต่อให้เป็นผู้อาวุโสฟางอยู่ที่นี่ เขาก็จนปัญญาที่จะช่วยเช่นกัน!”
เหลียงหวางหรูหาได้สนใจวาจาคำกล่าวของคุณหนูรองไม่ นางจับจ้องเย่หยวนด้วยความเห็นอกเห็นใจ และทันใดนั้นเองนางก็หยิบโอสถเม็ดสีแดงใสออกมาและป้อนเข้าปากเย่หยวนโดยตรง
คุณหนูรองที่เห็นแบบนั้นถึงกับเบิกตาโตเหลียวมองเหลียงหวางหรูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาย ขณะที่นางกล่าวขึ้นว่า
“เป็นบ้าไปแล้วรึไง? โอสถปราณลึกล้ำเป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นสูง ท่านพ่ออุตส่าห์มอบให้เจ้าก่อนเดินทางออกมา แต่เจ้ากลับนำของมีค่าขนาดนี้มอบให้แก่คนที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ? ทันทีที่กลับไป ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ!”
ไม่เพียงคุณหนูรองเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้กระทั่งทหารยามที่แอบฟังอยู่ด้านนอกยังเผยสีหน้าตกตะลึงไม่ต่าง
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นสูงแต่ละเม็ดมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่
เหล่าทหารยามเหล่านี้ไม่สามารจ่ายค่าโอสถระดับนี้ได้ไหว ต่อให้ใช้เงินทั้งชีวิตก็ยังหาซื้อไม่ได้!
เหลียงหวางหรูหันมองมาหานางพร้อมคลี่ยิ้มบางให้เล็กน้อย หลังจากที่กรอกโอสถปราณลึกล้ำลงไปในปากของเย่หยวน นางก็ค่อยๆรินน้ำไปตามเพื่อให้โอสถไหลเข้าร่างกายเย่หยวน
เนื่องจากจนถึงขณะนี้ เย่หยวนก็ยังไม่ได้สติแม้แต่น้อย
คุณหนูรองที่เห็นแบบนั้นก็ตะคอกใส่เหลียงหวางหรู น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“เหลียงหวางหรู เจ้านี่มันโง่เง่ายิ่งกว่าอันใด! ทั้งๆที่ทำตัวไร้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่ก็ยังอุตสาห์หาตัวไร้ประโยชน์มาเพิ่ม! นี่พวกเรามิได้เดินทางมาดูนกชมไม้ หากหนทางเบื้องหน้าเผชิญพบกับภัยอันตราย พวกเจ้าทั้งคู่เตรียมถูกปล่อยตายได้เลย!”
แต่เหลียงหวางหรูยังคงส่งยิ้มให้นางดังเดิม
รอยยิ้มนี้เปรียบเสมือนสายลมโชยอ่อนกลางฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านหัวใจผู้คนชวนปีติสุข
เว้ยเสียว่า มันไม่สามารถทำให้หัวใจอันหยาบกระด้างของคุณหนูรองมีความสุขขึ้นได้แม้สักนิด
กองคาราวานยังคงเดินทางต่อไป และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครให้ความสนใจต่อเหลียงหวางหรูและเย่หยวนอีกเลย
เห็นได้ชัดว่า เหลียงหวางหรูเป็นคนสั่งไม่ให้ทุกคนไปคุยกับทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม เหลียงหวางหรูก็มิได้สนใจอะไร และอยู่เฝ้าดูแลเย่หยวนอย่างสุดกำลังตลอดทางมานี้
นางทนกลิ่นเน่าเหม็นและช่วยทำความสะอาดเนื้อตัวและแผลเน่าของเย่หยวนทั่วร่างด้วยความใส่ใจ
นอกเหนือจากโอสถปราณลึกล้ำแล้ว เหลียงหวางหรูก็ยังนำโอสถชนิดอื่นๆมาป้อนให้เย่หยวนอีกหลายวันต่อจากนั้น
เฝ้ามองอยู่หลายวัน คุณหนูรองได้แต่เหลือบมองทั้งคู่พร้อมสายตาที่เปี่ยมล้นความรังเกียจสุดหัวใจ
นางกับเหลียงหวางหรูเป็นพี่น้องกันทางสายเลือด เพียงว่าเหลียงหวางหรูถือกำเนิดจากภรรยาหลวง ในขณะที่นางเป็นแค่ลูกของภรรยารอง
ท่านพ่อของพวกนางมีนามว่า เหลียงหมิงอี้ เขารักแม่ของเหลียงหวางหรูและดูแลหวางหรูเป็นอย่างดี แต่วันหนึ่งประดุจเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม่ของนางได้ตายจากไป ในขณะที่นางก็กลายมาเป็นใบ้พูดไม่ได้
ในเวลาต่อมา เหลียงหมิงอี้ได้แต่งงานใหม่และให้กำเนิดลูกสาวขึ้นอีกคนก็คือ เหลียงหวางหรงหรือก็คือคุณหนูรองนางนี้
แม่ของเหลียงหวางหรงเป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ในเมืองกุยฉาง ซึ่งการที่เหลียงหมิงอี้แต่งงานใหม่กับคนที่มีสถานะต่ำกว่า จึงทำให้นางได้ย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลเหลียงด้วยเช่นกัน
ทั้งตัวแม่และลูกสาวอย่างเหลียงหวางหรงต่างไม่ชอบขี้หน้าของเหลียงหวางหรูเท่าไหร่นัก ลูกของภรรยาหลวงที่เป็นดั่งเสี้ยนตำใจเช่นนี้ มีหรือจะไม่รังเกียจ? ดังนั้นสองแม่ลูกจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกลั่นแกล้งเหลียงหวางหรูให้ตกอยู่ในความลำบาก
ส่วนเหลียงหวางหรูเป็นแค่สาวใบ้ธรรมดาคนหนึ่ง นางไร้ซึ่งพลังอำนาจและทำได้เพียงเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้
โชคยังดีที่ตัวผู้เป็นพ่ออย่างเหลียงหมิงอี้ยังมีมโนธรรม และยังรู้สึกผิดกับการจากไปของภรรยาหลวง นั้นจึงทำให้เหลียงหวางหรูยังพอมีช่วงเวลาที่ดีอยู่บ้าง
ตระกูลเหลียงทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร ณ ตอนนี้ เขาก็ได้ส่งลูกสาวทั้งสองออกไปเพื่อนำสมุนไพรชุดใหม่กลับมายังตระกูล ซึ่งนี่ก็ได้เวลาที่กองคาราวานของพวกนางใกล้จะมาถึงแล้ว
เหลียงหวางหรงที่เห็นว่าพี่สาวของนางพยายามอย่างหนักเพื่อเฝ้าดูแลเย่หยวน ยามนี้ความคิดขดชั่วโฉบแล่นเร้นแฝงอยู่ในจิตใจ นางจับจ้องทั้งคู่พร้อมแสยะยิ้มเย็นออกมาเล็กน้อย
ณ ปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่าสิบวันแล้วที่เหลียวหวางหรูเฝ้าดูแลเย่หยวน
ภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันของนาง ในที่สุดเย่หยวนก็ค่อยๆฟื้นขึ้นจากอาการสาหัส