จงจิ่งห้าวขมวดคิ้วเป็นปม เขารู้ว่ากวนจิ้งมีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาตรวจสอบเรื่องนี้ ตอนนี้หลินซินเหยียนตั้งท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว หมอแนะนำว่า ให้เธอคลอดลูกในช่วงระยะเวลาตั้งครรภ์เจ็ดเดือนครึ่ง และก่อนระยะเวลานี้ เขาต้องหาหมอที่ดีกว่านี้มาตรวจอาการของเธอ
เขาหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมา และกดโทรหาใครบางคน
โรงพยาบาลที่หลินซินเหยียนไปตรวจอาการ เป็นโรงพยาบาลที่มีการรักษาพยาบาลชั้นนำในประเทศ ทว่าเขายังคงไม่วางใจ เพราะเธอเป็นภรรยาและลูกของเขา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเขา จะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด
เขานัดหมายกับผู้อำนวยการหวาง
ผู้อำนวยการหวางตอบรับในทันที
เขาวางสาย จากนั้นหยิบโทรศัพท์และเดินออกจากห้องทำงาน เขาดึงคอเสื้อด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างก็กดเลื่อนหน้าจอ เพื่อหาเบอร์โทรศัพท์เขาสั่งให้ผู้รับผิดชอบสาขาย่อยที่ต่างประเทศปรึกษาหมอต่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจหมอในประเทศ แต่เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกด้าน
ทันทีที่รับสายแล้ว เขาก็พูดถึงสถานการณ์ของหลินซินเหยียน
“ผมจะส่งเอกสารไปให้นะครับ”
สิ้นเสียงขานรับจากปลายสาย จงจิ่งห้าวก็วางสายไป
ในระหว่างที่เขากดลิฟต์และรอลิฟต์อยู่ กวนจิ้งก็เดินมาพอดี
“ประธานจง”
จงจิ่งห้าวมองเขาก่อนจะเอ่ยปากถาม “จะรีบร้อนไปไหน?”
“เปล่าครับ……”
“ถ้าคิดดีแล้ว ค่อยมาหาผม” ในตอนนี้เองลิฟต์ก็เปิดออก จงจิ่งห้าวจึงก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์
กวนจิ้งยืนโค้งคำนับอยู่ที่เดิม เขาเองก็อยากจะสารภาพกับจงจิ่งห้าว แต่เขาเป็นลูกผู้ชาย
ก็ต้องรักษาหน้าไว้ก่อน
หรือจะให้เขาบอกว่า ผมนอนกับกู้หุ้ยหยวน?ผมโดนหล่อนถ่ายรูปที่ผมเปลือยกายไว้ อีกทั้งยังถูกหล่อนคุกคาม?
เขาเป็นลูกผู้ชาย เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้ควรจะเกิดขึ้นกับฝ่ายหญิงมากกว่า
ทว่า กู้หุ้ยหยวนกลับจงใจใช้เขาเป็นเครื่องมือ
เขาได้แต่เอามือขยี้หัว เพราะพูดออกมาไม่ได้
มันน่าอายเกินไป!
จงจิ่งห้าวเดินออกมาจากบริษัทและขึ้นรถ เขาติดเครื่องยนต์และขับออกจากลานจอดรถ เขาขับออกไปสู่ถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว ย่านที่เจริญรุ่งเรือง มีตึกสูงระฟ้าตั้งตระหง่าน แสงไฟนีออนที่สว่างไสวและสง่างามยิ่งกว่าตอนกลางวัน
เขาขับรถตรงไปที่คฤหาสน์
เมื่อรถจอดสนิท เขาก็เปิดประตูรถเพื่อลงมาจากรถ ในตอนที่เขากำลังเดินเข้าไปคฤหาสน์นั้น เขาก็เห็นม้านั่งในสนามหญ้านั้นมีคนนั่งอยู่ เมื่อเขามองอย่างตั้งใจก็พบว่าคนคนนั้นคือ หลินซินเหยียน
เขาเดินตรงไปหาเธอ
หลินซินเหยียนไม่ได้หันตัวมา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา เธอจึงเอ่ยปากถาม “กลับมาแล้วเหรอ?”
จงจิ่งห้าวตอบรับเบาๆ จากนั้นก็เดินมานั่งข้างเธอ
หลินซินเหยียนเอนตัวไปซบไหล่เขา พลางแหงนหน้ามองดาวที่อยู่บนท้องฟ้า
ผ่านไปสักพักใหญ่ เธอก็พูดพึมพำเบาๆ “ฉันจำวันที่ฉันคลอดเหยียนเฉินกับเหยียนซีได้แม่นเลย วันนั้นฉันเจ็บปวดทรมานอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน อาการแทบทรุด เลือดสดๆ ไหลออกมาจากร่างกายของฉัน เปลี่ยนผ้าขนหนูซับเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่ฉันเห็นหมออุ้มเด็กน้อยสองคนที่ผอมบาง และดูซีดเซียวแล้ว นั่นนับเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นพวกเขา ในใจฉันรู้สึกทุกข์ระทมและหวาดกลัว และที่น่าทึ่งก็คือ เด็กทารกผอมบางทั้งสองคนนี้เหมือนฉันมาก ข้างกายฉันไม่มีญาติพี่น้องมาดูแล ฉันอยู่ในห้องคลอด รอคอยการมาของเด็กทั้งสองโดยลำพัง เพราะว่าพวกเขาเป็นฝาแฝด พวกเขาจึงตัวเล็กกว่าทั่วไปมาก โดยเฉพาะเหยียนซีที่มีร่างกายอ่อนแอ ฉันพยายามอย่างหนัก เพราะพวกเขาไร้พ่อ ฉันจึงอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา พวกเขาเป็นสิ่งที่ฉันรักมากที่สุดในดวงใจ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันหวังว่าคุณจะคิดเหมือนกัน คือลูกๆ ของเราต้องมาก่อนสิ่งใด”
เธอรู้ว่า ตัวเองไม่สามารถปิดบังสภาพร่างกายของเธอได้ เธอจึงใช้วิธีนี้บอกกล่าวจงจิ่งห้าว เพื่อแสดงถึงความสำคัญของเด็กที่มีต่อเธอ
ไม่ว่าจะเป็นจงเหยียนเฉิน จงเหยียนซี หรือว่าเด็กที่อยู่ในท้องของเธอตอนนี้ สำหรับเธอแล้วก็สำคัญเหมือนกัน
เธอสามารถคลอดพวกเขาออกมาอย่างสุดกำลัง และสามารถคลอดลูกที่อยู่ในท้องตอนนี้ได้อย่างไม่เห็นแก่ชีวิตตัวเอง
ใบหน้าและลำคอของจงจิ่งห้าวตั้งตรง เขาโอบไหล่หลินซินเหยียน และจูบไปที่ผมของเธออย่างแผ่วเบา เขาเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจความหมายของเธอทุกอย่าง
แต่ว่า……
หลินซินเหยียนกระซิบกระซาบอยู่ในอ้อมอกเขา “หมอบอกว่า ลูกของเราต้องคลอดก่อนกำหนด แต่เด็กที่คลอดก่อนกำหนด ก็มีความเสี่ยงมากมาย……”
เธอปิดบังเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงพูดกับจงจิ่งห้าวอย่างตรงไปตรงมา
“แต่สุขภาพคุณสำคัญกว่า……”
“ฉันพูดกับคุณมามากมายขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่เข้าใจความหมายที่ฉันต้องการจะสื่อเหรอ?”
จู่ๆ หลินซินเหยียนก็ถอนตัวออกจากอ้อมอกเขา ที่เธอสาธยายมาก็แค่อยากจะบอกเขาว่า เด็กนั้นสำคัญกับเธอ
“ผมเข้าใจ” จงจิ่งห้าวสบตาเธอ “เด็กก็สำคัญกับผมเหมือนกัน”
แต่ถ้าต้องเลือก แน่นอนว่าเขาจะต้องเลือกเธอก่อน ไม่มีหลินซินเหยียน เขาจะมีลูกได้ยังไง?
น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ อ่อนล้า และดูหมดหนทาง “คุณยังไม่เข้าใจสินะ หมอบอกว่าระยะเวลาเจ็ดเดือนครึ่งเป็นช่วงเวลาที่คลอดก่อนกำหนดได้ดีที่สุด เจ็ดเดือนครึ่ง พัฒนาการของเด็กยังไม่เติบโตได้เต็มที่ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้อีกมากมาย แต่ความเสี่ยงนี้ ฉันยินยอมพร้อมใจที่จะแบกรับเอง”
“หลินซินเหยียน!” จงจิ่งห้าวกุมไหล่ที่สั่นเทาและตื่นเต้นของเธอไว้ แววตาที่ลึกซึ้งของเขาซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจ “นี่ไม่ใช่ทั้งหมด มีความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เด็กจะแข็งแรง”
แท้จริงแล้ว หากอ้างอิงจากสิ่งที่หมอพูดนั้น มีความเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่เขาพูดเป็นเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ก็เพื่อหวังให้หลินซินเหยียนได้เบาใจบ้าง
เบ้าตาของเธอมีหยดน้ำหนาๆ ซึ่งซับซ้อนกว่าน้ำ มีรสชาติเค็ม เมื่อไหลอาบแก้มและหยดลงที่มุมปาก
“ทำไมต้องให้ฉันตั้งท้องด้วย” เธอรับไม่ได้กับความเคราะห์ดีแบบนี้ของจงจิ่งห้าว
แค่สิบเปอร์เซ็นต์ เธอก็ยังกังวลใจ
หากเจอเหตุการณ์ในสิบเปอร์เซ็นต์นี้ จะทำยังไง?
จงจิ่งห้าวโผกอดเธอที่กำลังอ่อนแอและตื่นตระหนก “ผมไม่รู้ว่า สุขภาพร่างกายของคุณไม่เหมาะกับการมีลูก ไม่เช่นนั้น ผมไม่มีวันให้คุณตั้งท้องหรอก”
เขาตบหลังเธอเบาๆ และปลอบขวัญเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ผมกำลังหาวิธีอยู่ เชื่อใจผมได้ไหมครับ?”
“ฉันไม่สบายใจเลย” เธอสะอื้นไห้
“ผมรู้” จิงจิ่งห้าวโอบไหล่และดันเธอมาไว้ในอ้อมอกเขา ในใจของเขาก็ว้าวุ่นไม่น้อย หลินซินเหยียนเป็นแม่ของเด็ก เธอเป็นห่วงเด็ก คนเป็นพ่ออย่างเขา ก็เป็นห่วงเหมือนกัน
ทว่า เขาก็ยังเป็นลูกผู้ชาย ถ้าเขาจิตใจว้าวุ่นไปด้วย ใครจะมาจัดการเรื่องนี้ต่อล่ะ?