“ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง”หลินซินเหยียนเดินลงมาแล้วก็เดินไปหยิบผลไม้ในตู้เย็นออกมาล้างแล้วปอกใส่จาน จากนั้นก็ยกมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับนั่งลงข้างๆหล่อน เธอมองดูแผลที่เท้าของหล่อน มันเริ่มตกสะเก็ดแล้ว“ใกล้จะหายแล้วนี่นา”
ฉินยาพูด“ถ้ายังไม่หายอีกล่ะก็ ฉันคงจะเป็นบ้าตายแน่ๆ”
“ฉันก็ไม่เห็นเธอจะอยู่เฉยๆเลย”หลินซินเหยียนจิ้มแคนตาลูปให้หล่อนหนึ่งชิ้น“ช่วงนี้อารองรับออเดอร์เยอะไหม?”ทางนั้นจะปิดร้านนานไม่ได้ เพราะถ้าปิดนานไปเดี๋ยวลูกค้าก็จะหาย เดิมที่ได้รับความนิยมก็อาจจะถูกเมินเฉย และการที่ไม่ได้เปิดร้านเป็นเวลานานก็อาจจะถูกลืมได้ ดังนั้นหล่อนเลยคิดออกวิธีหนึ่งก็คือตอนที่กลับเมืองCไม่ได้ เธอได้เปิดรับลูกค้าแบบออนไลน์ โดยรับออกแบบให้ตามที่พวกเขาต้องการ หลังจากที่วาดแบบออกมาก็ส่งไปให้ช่าวหยุน แล้วให้เขาไปสั่งช่างตัดเย็บและเครื่องจักรผลิตเป็นเสื้อออกมา
“มีสองสามออเดอร์นี่แหละ”ฉินยาเคี้ยวผลไม้ไปด้วยพูดไปด้วย“แค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว ก่อนหน้านี้ที่อยู่เฉยๆก็วาดออกมาได้สองรูป ซึ่งฉันส่งให้ลูกค้าดูแล้ว พวกเขาต่างก็บอกว่าชอบพอดี เพราะงั้นตอนนี้เลยมีอีกสองออเดอร์อยู่ในมือ เอาจริง ความคิดนี้ดีมากเลย มันสามารถแก้ไขปัญหาที่กลับไปที่ร้านไม่ได้ชั่วคราว แบบนี้ทำให้รักษาฐานลูกค้าไว้ได้ อีกอย่างการอุดอู้อยู่เฉยๆในห้องทั้งวัน ใครก็ต้องอารมณ์เหี่ยวเฉาบ้างแหละ แต่แบบนี้มันเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย ได้ทั้งฆ่าเวลาและได้ทำงานไปด้วย”
พูดไปหล่อนก็หันไปมองหลินซินเหยียน“สามีของเธอไม่ได้กลับมาตั้งแต่กลางวันแล้วหรอ?เขาไปไหนซะล่ะ?ทำไมไม่อยู่กับเธอ อันที่จริงเธอต้องไม่มีเวลามาอยู่กับฉันนี่นาถึงจะถูก”
หลินซินเหยียนสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย เธออาศัยท่าทางก้มหน้าก้มตากินผลไม้เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของฉินยา จากนั้นก็พูดเสียงเรียบ“เห็นรับสายโทรศัพท์สายหนึ่งแล้วออกไปเลย ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร”
ที่เธอไม่บอกไปตรงๆก็เพราะกลัวว่าฉินยาจะเตรียมใจไว้ก่อน ถ้าเธอยังคงมีความรู้สึกดีๆกับซูจ้าน พอเห็นสภาพซูจ้านแล้วก็คงจะรู้สึกอะไรในใจบ้าง แต่ถ้าไม่ ก็แสดงว่าเธอไม่รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ
ฉินยาเบ้ปาก“ป้าหยูอุตส่าห์ตั้งใจพาเด็กๆออกไปเล่นข้างนอกเพื่อที่พวกเธอจะได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่ไม่คิดเลยว่าสามีเธอจะยุ่งมากขนาดนี้ ที่แท้เงินของคนรวยก็ไม่ได้ได้มาเหมือนถูกลมพัดนี่เอง”
หลินซินเหยียนจิ้มผลไม้ยัดใส่ปากหล่อน“กินเข้าไปซะ”
ฉินยาหัวเราะ
คุยกันได้ซักพัก ฉินยาก็ให้คุณน้าหวางหยิบรูปที่เธอวาดออกมาจากในห้องเพื่อให้หลินซินเหยียนดู เนื่องจากลูกค้าสั่งไว้ว่าต้องใช้ผ้าสีเขียว แล้วปักดอกไม้สีแดงไว้ด้านบน การเลือกคู่สีแบบนี้ ถ้าออกแบบไม่ดีมันจะดูแก่ ดังนั้นเลยต้องปรึกษาหลินซินเหยียน
“นี่เป็นชุดที่คุณนายอายุห้าสิบกว่าในเมืองCสั่งตัด เธอว่ามันควรเป็นชุดสูทหรือเป็นชุดกระโปรงดี?”
หลินซินเหยียนดูชุดที่ฉินยาออกแบบทั้งสองชุด ทั้งสองอันมีเอกลักษณ์และมีข้อด้อยอยู่ เธอจึงถามออกไป“ฐานะของลูกค้าคือ?”
“ภรรยาของเจ้าของธุรกิจ ตอนที่เห็นผ่านหน้าจอหล่อนดูบารมีมาก”ฉินยาตอบ
“เอาเป็นชุดสูทดีกว่า”หลินซินเหยียนชี้ไปยังรูปที่เธอออกแบบ“เป็นชุดสามชิ้น เสื้อคลุมตัวนอกเอาเป็นสีขาวล้วน เพราะสีเขียวกับสีแดงมันเป็นสีที่เด่น บวกกับมีการปักดอกไม้เข้าไปอีก ถ้าจับคู่กับเสื้อคลุมสีฉูดฉาด มันจะดูวุ่นวายผสมปนเปกันไปหมด”
ฉินยาพยักหน้ารับ“ฉันก็คิดว่างั้น อีกอย่างคุณผู้หญิงคนนั้นก็ดูมีรสนิยมดี แต่ทำไมถึงชอบอะไรแปลกแบบนี้นะ สีเขียวคู่กับสีแดงงั้นหรอ ตามสุภาษิตเขาบอกว่าสีแดงสีกับสีเขียวหมายังเมินเลย แล้วหล่อนคิดได้ยังไงเนี่ย?”
หลินซินเหยียนรู้สึกว่าไม่มีอะไร“คงเป็นความชอบส่วนบุคคล เธอหยุดบ่นได้แล้ว เมื่อก่อนฉันยังเคยได้ยินว่ามีคนชอบดมกลิ่นยาทาเล็บเลย กลิ่นของมันอย่างกับน้ำมันแหนะ ทำไมถึงมีคนรู้สึกว่ามันหอมนะ?อาจจะด้วยเหตุนี้ทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน หน้าไม่เหมือนกัน ความชอบก็เลยไม่เหมือนกัน”
พอฉินยามาคิดๆดูมันก็จริง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นที่ประตูบ้าน หลินซินเหยียนลุกไปเปิดประตู ฉินยานึกว่าป้าหยูพาเด็กๆกลับมาก็เลยหันไปดู
ทว่าพอหลินซินเหยียนเปิดประตูออก คนที่เข้ามากลับไม่ใช่ป้าหยูกับเด็กๆทั้งสอง แต่เป็นคนขับรถของจงจิ่งห้าวที่ซึ่งกำลังหามซูจ้านที่ดูเหมือนจะหมดสติเข้ามา
ปฏิกิริยาแรกที่เห็นก็คือหล่อนคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
ทำไมถึงต้องให้คนหามเข้ามา?
หลินซินเหยียนหันกลับมาเจอใบหน้าที่เธอไม่ได้ควบคุมไว้พอดี นัยน์ตาของเธอฉายแววความกังวลออกมา
“ดูเหมือนจะเมา”หลินซินเหยียนพูดกับหล่อนออกไป
ฉินยาหันกลับมาที่เดิม“เขาจะเมามันก็เรื่องของเขา ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
หล่อนนั่งกินผลไม้อยู่ที่โซฟาต่อ
ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจแล้วจริงๆ
หลินซินเหยียนถอนหายใจออกมา“พาเขาไปที่ห้องรับแขก”
“ฉันจะดื่มอีก”ซูจ้านเมาหนักมาก เมาจนลืมตาไม่ขึ้นแต่ปากก็ยังบอกว่าจะดื่มต่อ
หลินซินเหยียนเอาน้ำผึ้งละลายใส่แก้วยกเข้ามา“ให้เขาดื่ม เขาคงเมามาก ไม่ได้การคนขับรถไปซื้อยาแก้เมาที่ร้านขายยามาหน่อย”
“แค่นอนพักเดี๋ยวเดียวก็ดีขึ้นแล้ว”จงจิ่งห้าวประคองเขาส่งให้คนขับรถ“พาเขาเข้าไปในห้อง”
คุณน้าหวางเข้ามาช่วยพร้อกับเอ่ยขึ้น“เดี๋ยวตอนเย็นป้าจะทำซุปแก้เมาไว้ให้แล้วกัน”
หลินซินเหยียนพยักหน้า“ช่วยดูแลเขาหน่อยนะคะ”
คุณน้าหวางบอกว่าแน่นอนอยู่แล้ว จากนั้นก็รับน้ำผึ้งมา แล้วช่วยคนขับรถพยุงเขาเข้าไปในห้อง
“คุณลองดมดูหน่อยว่าบนตัวผมมีกลิ่นเหล้าติดรึเปล่า?”จงจิ่งห้าวยื่นมือไปตรงปลายจมูกหลินซินเหยียน
หลินซินเหยียนตอบอืมออกมา มันมีจริงๆ แต่ว่ากลิ่นไม่แรงมาก
อาจเป็นเพราะเธอกำลังท้อง ดังนั้นก็เลยอ่อนไหวต่อกลิ่น
“งั้นเดี๋ยวผมไปอาบน้ำ”เดิมจงจิ่งห้าวก็ไม่ชอบให้ตัวเองสกปรกอยู่แล้ว แถมยังกลัวว่าภรรยาจะได้กลิ่นเหล้าด้วย
หลินซินเหยียนรู้ว่านี่คือนิสัยของเขา และถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนรักความสะอาดเป็นพิเศษ แต่เธอก็ไม่อาจทนกลิ่นที่ติดตามตัวได้จึงตอบอืมออกไป
เนื่องจากชั้นล่างมีคนอื่นอยู่จงจิ่งห้าวจึงไม่ทำตัวอ้อนเธอ เขาหันหลังเดินขึ้นไปชั้นบนทันทีเพื่ออาบน้ำ หลินซินเหยียนไม่ได้ขึ้นไปเพราะฉินยายังอยู่ข้างล่างอยู่ พออาบเสร็จเขาจึงออกไปหาป้าหยูเพื่อเล่นกับเด็กๆทั้งสองแทน
ป้าหยูพาเด็กทั้งสองไปเล่นที่ป่าไผ่หลังเขา มีเสื่อปิคนิคปูอยู่ที่พื้น ด้านบนมีอาหารวางอยู่เล็กน้อย เจ้าขาวนอนหมอบอยู่ข้างๆ จงเหยียนเฉินกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับหมากรุกนานาชาติ ส่วนอีกคนกำลังวาดรูป
เมื่อป้าหยูเห็นเขาเดินมาก็เลยจะเอ่ยทักทาย ทว่าจงจิ่งห้ามกลับยกมือเป็นเชิงห้ามไว้และบอกเป็นนัยว่าให้หล่อนกลับไปที่คฤหาสน์ เดี๋ยวเขาจะอยู่ดูตรงนี้เอง
ป้าหยูลุกเดินออกไปเงียบๆ กว่าเขาจะมีเวลามาเล่นกับเด็กทั้งสองนั้นไม่ง่ายเลย เพราะงั้นถ้ามีคุณพ่อมาอยู่ด้วยเด็กๆคงจะดีใจมากๆแน่นอน
หลังจากที่ป้าหยูออกไป จงจิ่งห้าวก็เดินเข้ามาใกล้ๆลูกสาว จงเหยียนซีไม่ได้ไปเรียนวาดภาพอย่างจริงจัง ทั้งนี้หลินซินเหยียนกับฉินยาล้วนเป็นคนสอน เพราะพวกเธอเรียนแฟชั่นดีไซเนอร์มา โดยพื้นฐานก็คือการวาดรูป ทั้งสองเรียนมาโดยตรงฉะนั้นจึงรู้เทคนิคดี เพราะงั้นก็เลยถือโอกาสตอนที่ว่างสอนเธอ
จงเหยียนซีก็ชอบ ดังนั้นก็เลยเรียนได้ดี
วันนี้อยู่ในป่าไผ่ แน่นอนว่าก็ต้องวาดต้นไผ่ ขนาดกระโปรงสีขาวเลอะสีแล้วเธอก็ยังไม่สังเกตเห็น เธอวาดอย่างใจจดใจจ่อ เพราะแม้แต่คุณพ่อของเธอเดินมาเธอก็ยังไม่เห็น
ถึงแม่นี่จะเป็นฤดูร้อน แต่ในป่านี้อากาศไม่ร้อยเลย แถมลมยังพัดเย็นสบายด้วย
จงจิ่งห้าวยืนอยู่ด้านหลังลูกสาว เขาก้มลงไปดูผลงานของลูกสาวที่ยังไม่เสร็จดี แต่มันก็เห็นเป็นโครงร่างคร่าวๆแล้ว ดูแล้วถือว่าไม่เลวเลย เขาไม่ส่งเสียงใดๆออกมาเพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวน เพราะงั้นจึงได้แต่ยืนจ้องลูกสาวอยู่เงียบๆเพื่อรอผลงานที่เสร็จสมบูรณ์
เนื่องจากจงเหยียนซีจดจ่อกับผลงานมากจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง จู่ๆก็ได้เอ่ยถามขึ้น“พี่คะพี่ว่าถ้าคุณพ่อหักหลังหม่ามี๊ พี่จะทำยังไง?”
จงจิ่งห้าว“……”
เด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ในหัวเนี่ย?
จงเหยียนเฉินนั้นเห็นเขาพร้อมกับป้าหยูไปแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้ส่งเสียงออกมาเท่านั้นเอง เขาเหลือบมองจงจิ่งห้าวพร้อมกับยิ้มแล้วถามน้องสาวกลับ“แล้วถ้าเป็นเธอล่ะจะทำยังไง?”
จงเหยียนซีเอียงหัวทำท่าครุ่นคิด เหมือนว่าจะเคยเห็นฉากแบบนี้ในละคร ดังนั้นนั้งจึงนึกบทคำพูดละครในตอนนั้นออกมาแล้วพูดให้พี่ชายฟัง“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะถอนขนของคนที่เป็นมือที่สามออกมาให้หมด เหมือนกับตอนที่ถอนขนไก่จนเกลี้ยงเลย แบบนี้หล่อนจะได้ไม่มีทางไปอ่อยใครได้อีก”