เสิ่นเผยชวนบอกว่าไม่มี
“เอาล่ะ ทุกคนกินข้าวกัน เรื่องนี้มันจบไปแล้ว”ผู้บัญชาการซ่งรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าลูกสาวคงถูกภรรยาพูดจี้ใจดำก็เลยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำไป แต่เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำผิดก็คือทำผิด
ดังคำที่กล่าวไว้ว่าโชคชะตานั้นมีเวลาของมัน เราไม่อาจบังคับโชคชะตาได้
เรื่องของโชคชะตาพรหมลิขิตนั้นมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ ถึงก่อนหน้านี้เขาจะอยากให้เสิ่นเผยชวนแต่งงานกับลูกสาวของตัวเองมาก
แต่วันนี้เขากลับขัดความคิดนี้ของภรรยา ส่วนลูกสาวนั้นก็แค่ต้องหาคนใหม่
เขาชอบเสิ่นเผยชวน และเมื่อก่อนก็อยากได้เขามาเป็นลูกเขยมาก แต่มันเป็นไปไม่ได้ วันนี้ลูกสาวของตัวเองอยู่ในสถานะหญิงม่าย ฉะนั้นเขาเลยไม่อยากจะคิด
ขอแค่ลูกสาวได้เจอคนที่ซื่อสัตย์ก็พอแล้ว
“ทานข้าวกัน ไม่ต้องเกรงใจนะ ถือซะว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกัน”ผู้บัญชาการซ่งทักทายซางหยู“ทำไมวันนี้ดูเขินๆอย่างนั้นล่ะ ครั้งก่อนยังดูช่างพูดช่างเจรจาอยู่เลย วันนี้เป็นอะไรไป?”
ผู้บัญชาการซ่งรู้สึกดีต่อซางหยู เพราะรู้สึกว่าหล่อนดูเป็นคนสนุก แถมยังค่อนข้างหัวแข็ง
ซางหยูยิ้มออกมา“ตอนนั้นคงเป็นเพราะร้อนใจ กลัวว่าท่านจะลงโทษเขาน่ะค่ะ”
ผู้บัญชาการซ่งยิ้มตามออกมา“หนูเป็นคนจีบเผยชวนก่อนใช่ไหม?”
เขารู้จักเสิ่นเผยชวนดี ครั้งก่อนที่มีข่าวแบบนี้เกิดขึ้น เขาก็เชื่อมาโดยตลอดว่าเสิ่นเผยชวนต้องไม่ใช่คนที่เข้าหาก่อนแน่ๆ
“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นคนเข้าหาเธอก่อน”เสิ่นเผยชวนรีบพูดต่อ เขาเป็นถึงผู้ชายอกสามศอก เพราะงั้นจะพูดว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนได้ยังไง?
อีกอย่างเธอกำลังช่วยเขาอยู่ด้วย
เพราะงั้นจะทำให้เธอดูไม่ดีไม่ได้
ผู้บัญชาการซ่งยิ้มร่า“ตาทึ่มอย่างนายเนี่ยนะ?”
เสิ่นเผยชวนที่เขารู้จักเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา
เขาจีบผู้หญิงเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่? แถมยังดูเหมือนจะชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ
เขามองไปทางซางหยู ใบหน้าของเด็กสาวดูมีชีวิตชีวาเป็นเอกลักษณ์ หน้าตาก็สะสวย ดูอิสระเป็นตัวของตัวเอง และเหมือนจะเป็นคนที่ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองด้วย
“เผยชวนไม่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่ หนูต้องดูแล้วเขาให้ดีๆนะ”ผู้บัญชาการซ่งพูดกับซางหยู
ซางหยูหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดขึ้น“ได้ค่ะ”
ขณะที่พูดก็หันไปมองเสิ่นเผยชวนด้วย
ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากเป็นคนที่สามารถดูแลเสิ่นเผยชวนได้จริงๆ
“ดูสิเผยชวน พ่อฉันดีกับนายแค่ไหน แถมทำอย่างกับนายเป็นลูกในไส้เลย ส่วนฉันเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง”ซ่งหย่าซินพูดเชิงล้อเล่น“พ่อฉันไม่มีลูกชาย นายเป็นลูกชายให้เขาซะสิ เขาช่วยเรื่องงานนายได้นะ”
ซึ่งคำพูดของซ่งหย่าซินที่พูดออกมาไม่ค่อยน่าฟังนัก
ผู้บัญชาการซ่งทำหน้าขรึม“ถ้าอยู่ทานได้ก็อยู่ แต่ถ้าไม่ว่างทานก็ไปเถอะ อย่ามาทำให้ที่นี่เสียบรรยากาศ แกหย่าแล้ว เขาจำเป็นต้องตามใจแกทุกอย่างเลยรึไง?”
“พอแล้ว คุณนี่ ซินซินไม่เห็นจะว่าอะไรนี่นา คุณโกรธอะไรเนี่ย?”คุณนายซ่งเดินมาเพราะเห็นสามีของตัวเองกำลังโมโห“เธอพึ่งหย่ามาก็เลยยังเศร้าและไม่สบายใจอยู่ ฉะนั้นตอนพูดเลยไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ คุณอย่าโกรธลูกเลย”
ผู้บัญชาการซ่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
เสิ่นเผยชวนรู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศไม่ค่อยเหมาะจะทานข้าวด้วยซักเท่าไหร่ เขาดึงซางหยูลุกขึ้น“ผมพึ่งนึกได้ว่าวันนี้ผมมีธุระ ผมต้องขอตัวไปก่อนนะครับ”
ผู้บัญชาการซ่งกระแอมเสียงขึ้น“วันนี้ดูแลได้ไม่ดี แต่เห็นแก่หน้าฉัน อย่าถือสาเอาไปคิดมากเลยนะ”
“ครับ อีกอย่างผมต้องขอบคุณมากนะครับที่ช่วยให้ผมได้เลื่อนตำแหน่ง”เสิ่นเผยชวนโค้งคำนับให้ผู้บัญชาการซ่งหนึ่งที ไม่ว่าซ่งหย่าซินจะพูดอะไร การที่ผู้บัญชาการซ่งทำดีด้วยและดูแลเขา เขาจะจำไว้ในใจไปตลอด
และคงไม่เปลี่ยนใจเพราะเรื่องในวันนี้ด้วย
“นั่นเป็นเพราะนายมีความสามารถ ถ้านายไม่มีความสามารถ ฉันก็คงไม่เห็นหัวนายและไม่สนับสนุนให้นายได้เลื่อนขั้นหรอก ทุกอย่างมาจากการทุ่มเทพยายามของนายต่างหาก วันหน้าอย่างลืมเลี้ยงข้าวฉันด้วยนะ”
ผู้บัญชาการซ่งกับโจวหวยโฮ่เหมือนกันตรงที่เป็นคนตรงไปตรงมา และไม่เคยทำเรื่องทุจริตเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว
ถ้าเสิ่นเผยชวนไม่มีความสามารถ เขาก็ไม่มีวันเลื่อนตำแหน่งให้เขาหรอก
แต่ที่ทำเพราะเขาชื่นชมในตัวเสิ่นเผยชวน
เสิ่นเผยชวนตอบตกลง“ถ้าครั้งหน้าไปที่บ้านผม ผมจะลงมือทำกับข้าวต้อนรับท่านเองครับ”
ผู้บัญชาการซ่งยิ้ม“นายทำอาหารเป็นด้วยหรอ?”
“ผมอยู่คนเดียวมาตั้งนาน ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะครับ ขอเพียงแต่ท่านไม่เลือกกิน ผมก็จะทำให้ท่านทานจนอิ่มหนำสำราญได้เลยครับ”เสิ่นเผยชวนพูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย
“งั้นฉันไม่เดินไปส่งแล้วนะ”ผู้บัญชาการซ่งโบกมือให้
เสิ่นเผยชวนบอกว่าจะให้ท่านไปส่งได้ยังไง จากนั้นก็กล่าวลาคุณนายซ่งแล้วพาซางหยูเดินออกไป
รอจนเสิ่นเผยชวนเดินออกไปแล้ว ผู้บัญชาการซ่งก็ทำหน้าเย็นชาแล้วต่อว่าลูกสาวด้วยความโกรธ“บอกมานะว่าลูกคิดจะทำอะไร?”
ซ่งหย่าซินยกมือขึ้นมาจับผมตัวเอง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร แต่รู้แค่ว่ามันอึดอัด
ในใจ
“ตอนแรกแกไม่ต้องการเอง และตามที่พ่อเข้าใจเสิ่นเผยชวนเขาก็ทำดีกับแก แถมยังดูแลพวกเราดีมากๆด้วย แต่แกกลับไม่สนใจใยดีอะไรกับเขาเลย แล้วพอมาตอนนี้ตัวเองเสียเปรียบก็เลยรู้สึกเสียใจทีหลังงั้นหรอ?”ผู้บัญชาการซ่งโมโห“นี่แกจะทำให้ฉันอับอายขายขี้หน้าไปถึงไหน?ไม่อยากมีศักดิ์ศรีแล้วหรอ แม้แต่หน้าพ่อแกก็จะทำให้ขายหน้าขายตาจนไม่เหลืออะไรเลยใช่ไหม?ทีนี้เสิ่นเผยชวนจะคิดยังไงกับเรา?”
เขาพูดย้ำอีกครั้ง“เผยชวนมีวันนี้ได้ล้วนมาจากความพยายามของเขา ไม่ใช่เพราะพ่อตั้งใจยกยอปอปั้นเขา”
ตอนที่เลือกรองผู้บัญชาการเขาเป็นคนแนะนำก็จริง แต่ใครๆก็เห็นว่าเสิ่นเผยชวนมีความสามารถอยู่ทนโท่ แต่วันนี้ลูกสาวตัวเองมาพูดอย่างนี้มันเลยเหมือนกับว่าเขาต้องการอะไรบางอย่างจากเสิ่นเผยชวน
มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก เพราะเดิมเขาชื่นชมความสามารถในการทำงานของเสิ่นเผยชวนล้วนๆ
“พอเถอะ ลูกพึ่งหย่า……”
“เรื่องหย่ามันเป็นข้ออ้างได้ด้วยหรอ?”ผู้บัญชาการซ่งขัดที่ภรรยาพูดขึ้น เพราะรู้ว่าหล่อนจะพูดว่าเป็นเพราะเรื่องหย่าเลยทำให้ลูกอารณ์ไม่ดี แต่ถึงเธอจะอารณ์ไม่ดีเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่น“ไร้เหตุผลสิ้นดี”
คุณนายซ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก สามีของเธอตาแหลมมาก ตอนที่เห็นเสิ่นเผยชวนครั้งแรก เป็นเพราะความซื่อสัตย์ของเขานั่นแหละที่ทำให้เลือกเขาเข้ามา
แต่ลูกสาวของตัวเองนั้นไม่ได้คว้าโอกาสนี้ไว้ เพราะงั้นจึงโทษใครไม่ได้
“เผยชวนมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินคุณพูดเลย?”คุณนายซ่งถาม
ผู้บัญชาการซ่งอารมณ์ไม่ดีมาก เขาตบฉาดลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้น“ผมต้องรายงานคุณด้วยหรอ?”
พูดจบก็ลุกออกจากโต๊ะอาหารไป
คุณนายซ่งไม่เข้าใจลูกสาวของตัวเองเลยจริงๆ“ลูกไม่ชอบเสิ่นเผยชวนหรือไง ทำไมถึงพูดจาทำร้ายจิตใจคนแบบนั้นออกมา ดูสิว่าทุกอย่างมันแย่ไปหมด แถมดูพ่อสิโกรธขนาดไหน?”
ซ่งหย่าซินพูดขึ้น“ขอโทษค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร”
มีโอกาสอยู่เสมอ ทว่าพอเห็นว่าเขาพาแฟนสาวมาด้วย เธอก็รู้สึกเหมือนถูกก้อนหินทับอยู่ในอก มันอึดอัดมาก
“รู้สึกอึดอัดที่เขาพาแฟนมาหรอ?”คุณนายซ่งลองถามออกไป หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าลึกๆลูกสาวของตัวเองคิดยังไงกับเสิ่นเผยชวน
ถ้าคิด ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าไม่คิด วันนี้จะพูดแทงใจดำเขาอีกทำไม
ไม่รู้จริงๆว่าลึกๆแล้วเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
“ไม่ค่ะ”ซ่งหย่าซินปฏิเสธ
คุณนายซ่งก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะกลัวว่าเดี๋ยวมันจะแทงใจดำเธอ ยังไงเธอก็พึ่งหย่าได้ไม่นาน เพราะงั้นจึงไม่พูดดีกว่า แต่ยังไงวันนี้เธอก็พูดเกินไปจริงๆ
“เข้าไปขอโทษคุณพ่อซะสิ อย่าปล่อยให้เขาโกรธอยู่อย่างนั้นเลย”คุณนายซ่งพยายามเจรจากับลูกสาว
“ที่หนูพูดทันก็จริงนะ ทำไมคุณพ่อถึงชอบเสิ่นเผยชวนขนาดนั้น?เขาคงไม่ใช่ลูกนอกสมรสของพ่อหรอกใช่ไหม?”ซ่งหย่าซินพูดหยอกเล่น
“พูดบ้าบออะไรเนี่ย?”คุณนายซ่งพูดดุลูกสาว“เดี๋ยวถ้าพ่อมาได้ยินเข้าจะเป็นยังไง”
คุณนายซ่งรู้จักสามีของตัวเองดีที่สุด
เขาไม่ใช่คนเสเพลแบบนั้น
“หนูล้อเล่นค่ะ แต่เขาดีต่อเสิ่นเผยชวนมากกว่าหนูที่เป็นลูกสาวแท้ๆของเขาจริงๆนะ”วันนี้เขาไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
“เขารักลูกอยู่แล้ว ตอนที่ลูกหย่า เขานอนไม่หลับทั้งคืนเลย ส่วนเสิ่นเผยชวนน่ะ เขาก็แค่ชื่นชมเฉยๆ เอาล่ะ ไปเรียกพ่อมาทานข้าว”คุณนายซ่งขยิบตาให้ลูกสาวเป็นการสื่อว่าให้เธอไปเกลี้ยกล่อมสามีของตัวเอง
ซ่งหย่าซินลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง
หลังจากที่เสิ่นเผยชวนพาซางหยูออกมา ทั้งสองก็ขึ้นรถออกไปทันที
เขาขับรถออกไปด้วยใบหน้าที่เงียบขรึม
ซางหยูสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับซ่งหย่าซินจึงถามขึ้น“พวกคุณสนิทกันหรอ?”
เพราะพวกเขาดูค่อนข้างสนิทกันมาก
เสิ่นเผยชวนตอบ“จะว่างั้นก็ได้”
“ถ้างั้นหล่อนชอบคุณรึเปล่า?ถึงได้……”
ซางหยูยังไม่ทันพูดจบ เขาก็หันมามองแล้วพูดออกไป“หล่อนไม่ชอบผม พวกเราเคยนัดบอดกัน แต่ว่าหล่อนไม่ชอบผม”
เขาก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ซ่งหย่าซินทำในวันนี้มันหมายความว่าอะไร
“จริงหรอ?”ซางหยูไม่อยากจะเชื่อ เพราะเธอรู้สึกว่าซ่งหย่าซินชอบเขา
เสิ่นเผยชวนยิ้ม“ทำไมผมรู้สึกเหมือนว่าคุณจะไม่เชื่อผมยังไงยังงั้นเลย”
ซางหยูยิ้มแล้วพูดปฏิเสธ“คุณกำลังจะไปไหน?”
“ส่งคุณไปที่มหาวิทยาลัย”เสิ่นเผยชวนเหล่ตามอง
ซางหยูเอียงหัว“นี่คุณจะไม่เลี้ยงข้าวฉันหน่อยหรอ?ฉันอุตส่าห์แกล้งเป็นแฟนเพื่อช่วยคุณนะ แถมยังอยู่ด้วยอีกเกือบครึ่งวัน ข้าวกลางวันฉันยังไม่ได้กินเลย”
เสิ่นเผยชวนลืมไปเลย เขารู้สึกผิดจึงพูดออกไป“คุณอยากกินอะไร?ผมเลี้ยงเอง”
“คุณเลือกสิ ฉันไม่ได้เป็นคนเลี้ยงสักหน่อย” ซางหยูยิ้มพลางพูดขึ้น
“ได้ งั้นผมเลือกเอง”เสิ่นเผยชวนไม่ค่อยได้ออกไปกินอาหารหรูๆจำพวกนั้นหรอก นอกเสียจากว่าจะไปกับซูจ้านและจงจิ่งห้าวถึงจะได้เข้าไปในที่แบบนั้น เขาก็เป็นพนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่ง เพราะงั้นคงเทียบไม่ได้กับสองคนนั้นแน่นอน
แต่เห็นแก่ที่ซางหยูช่วยเขาไว้ เขาก็เลยเลือกร้านอาหารที่ดีที่สุดร้านหนึ่งเพื่อให้เธอได้กินอาหารดีๆ
พอจอดรถเสร็จเสิ่นเผยชวนก็พาเธอเข้าไปในร้านอาหาร“อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย ผมเลี้ยงเอง”
“ถ้างั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”ซางหยูยิ้มพลางพูดขึ้น
“ผมก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย”น้อยมากที่เขาเองจะมาใช้บริการร้านอาหารแบบนี้
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ซางหยูมากินอาหารแบบนี้ สถานที่หรูหราแบบนี้เธอเคยเข้าออกก็แค่ตอนที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นลูกค้า
พวกเขานั่งลงตามโต๊ะที่พนักงานแนะนำ พนักงานเสิร์ฟยื่นเมนูให้
เสิ่นเผยชวนบอกให้พนักงานเอาเมนูยื่นให้ซางหยู“ให้เธอสั่งครับ”