จงจิ่งห้าวไม่สนใจความน่าเบื่อของเขา พูดอย่างเย็นชาว่า “เราจะไปกันตอนนี้”
เมื่อพูดจบก็เข้าไปอุ้มลูกสาวที่อยู่ด้านใน ซูจ้านค่อนข้างงุนงง ไม่ใช่ว่าจะค้างที่นี่คืนหนึ่งแล้วค่อยไปหรอกเหรอ
“ตอนนี้?” ซูจ้านคิดว่าตัวเองได้ยินผิด
จงจิ่งห้าวหันไปมองเขา และส่งเสียงตอบอย่างสุดแสนเคร่งขรึมว่า “ใช่ ตอนนี้”
ซูจ้านดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น จึงปิดโทรศัพท์มือถือแล้วลุกขึ้น “ฉันจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้”
“หนูอยากพาเจ้าขาวกลับบ้านค่ะ” จงเหยียนซีกำโซ่ของสุนัขไว้ในมือ
จงจิ่งห้าวพูดว่า “ได้ พากลับไป”
เฉิงยู่เวินก็ขึ้นมาถามด้วยว่า “ทำไมถึงรีบร้อนกลับนักล่ะ พักผ่อนคืนหนึ่งแล้วค่อยไปพรุ่งนี้สิ”
“มีเรื่องครับ” จงจิ่งห้าวอธิบายสั้นๆ ถึงสาเหตุว่าทำไมเขาต้องไป
เฉิงยู่เวินไม่ได้รั้งต่อ และช่วยเก็บของ
ก่อนหน้านี้จะค้างคืน ตอนนี้บอกว่าจะไปก็ไปเลยแสดงว่าคงจะมีเรื่องด่วน
จงจิ่งห้าวอุ้มลูกสาวไปหาจงเหยียนเฉิน เขาไม่ได้พักผ่อนอยู่ในห้องนอนตัวเอง ในห้องอื่นก็ไม่มี สุดท้ายก็เห็นเขาอยู่ในห้องของจงฉีเฟิง
จงฉีเฟิงกำลังพูดกับเขา ไม่รู้ว่าพูดอะไร เพียงแต่พฤติกรรมแง่ลบก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
จงจิ่งห้าวบอกว่าต้องไปแล้ว
“กลับไปเมืองBเหรอ” จงฉีเฟิงถาม
เขาตอบว่าใช่ครับ
จงฉีเฟิงไม่ได้รั้งเขา และไม่ได้มีการกำชับสิ่งอื่น
จงเหยียนเฉินดึงมือของจงฉีเฟิง “คุณปู่ครับ ถ้าผมคิดถึงคุณจะทำยังไง”
จงฉีเฟิงลูบศีรษะหลานชาย “ปู่จะกลับไปเยี่ยมพวกหลาน”
“ครับ” จงเหยียนเฉินปล่อยมือจงฉีเฟิงอย่างไม่เต็มใจ
จงจิ่งห้าวจับมือของลูกชาย มองพ่อตัวเองและพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ มีเรื่องอะไรก็โทรหาผม”
จงฉีเฟิงโบกมือให้และกำชับว่า “ระหว่างทางให้ซูจ้านขับรถช้าหน่อยนะ”
จงจิ่งห้าวตอบรับว่าครับ แล้วพาเด็กสองคนออกไป ซูจ้านเก็บของเรียบร้อยแล้ว เขาอุ้มเด็กทั้งสองคนขึ้นรถ เฉิงยู่เวินก็ช่วยพาเจ้าขาวขึ้นรถด้วย โชคดีที่พื้นที่ในรถกว้างขวางพอ
หลินซินเหยียนไปบอกลาจงฉีเฟิง บอกเขาว่าจะดูแลเด็กๆ กับจงจิ่งห้าวให้ดี เพื่อให้เขาสบายใจ
เธอสามารถรับรู้ได้ว่าจงฉีเฟิงนั้นหายห่วงแล้ว และบอกให้เธอเดินทางปลอดภัย
หลินซินเหยียนเดินออกมาเห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้ว จึงบอกลาเฉิงยู่เวิน “พวกเราต้องไปแล้วนะคะ”
เฉิงยู่เวินพยักหน้า “เดินทางระวังด้วย”
“พวกเราจะระวังค่ะ พวกคุณต้องดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองให้ดีนะคะ” เฉิงยู่เวินอายุก็ไม่น้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ดูร่างกายแข็งแรง แต่หลังจากเหตุการณ์คราวนี้ พลังกายพลังใจของเขาดูไม่เหมือนแต่ก่อน
รอผ่านช่วงนี้ไป หลินซินเหยียนอยากดูแลพวกเขาทุกคนให้ดี ความจริงแล้วยิ่งเงียบยิ่งพาให้คนคิดฟุ้งซ่านได้ง่าย การมีจงเหยียนเฉินกับจงเหยียนซีอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา ก็จะไม่ทำให้ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวมากมายนัก
เฉิงยู่เวินดวงตาพร่า หันหน้าหนี ไม่กล้าให้หลินซินเหยียนเห็นดวงตาของเขา โบกมือกลับหลังให้เธอ “ไปเถอะ พวกเธอรีบไปซะ ขับรถตอนกลางคืนทัศนวิสัยมันไม่ดี ไปเสียแต่วันๆ ยังสว่างอยู่”
จงจิ่งห้าวเปิดประตูรถให้หลินซินเหยียน เธอเหลือบมองเฉิงยู่เวินก่อนจะขึ้นรถไป
กระทั่งเสียงเครื่องยนต์ทำงาน เฉิงยู่เวินถึงหันกลับไปมองพวกเขา แม้ว่าจะไม่เต็มใจให้พวกเขาจากไปเช่นนี้ก็ตาม
แต่เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
หลินซินเหยียนเปิดหน้าต่างรถ เด็กสองคนมุดหน้าต่างออกมาแล้วโบกมือให้เขา “คุณปู่เล็กพวกเราไปแล้วนะคะ/ครับ”
เฉิงยู่เวินโบกมือตอบ “ถ้ามีเวลาว่างอย่าลืมมาเยี่ยมปู่เล็กนะ ฉันจะคิดถึงพวกเธอ”
“พวกเราจะมาเยี่ยมคุณค่ะ พวกเราก็จะคิดถึงคุณด้วยค่ะ” จงเหยียนซีนอนหมอบบนขอบหน้างต่าง แม้จะไม่อยากจากคุณปู่กับคุณปู่เล็ก แต่เขาอยากอยู่กับหม่ามี๊แด๊ดดี้มากกว่า
เฉิงยู่เวินยิ้ม “เธอมีคำพูดนี้ก็เพียงพอแล้ว ปู่เล็กพอใจแล้ว อย่าเสียเวลาอีกเลย ไปเถอะ”
ในที่สุดก็เอ่ยบอกลากัน และซูจ้านก็ขับรถออกไป
ขนมที่ก่อนหน้านี้ซูจ้านซื้อให้เด็กสองคนก็นำเอาไปด้วย เมื่อเด็กทั้งสองเบื่อก็ทานมัน หลินซินเหยียนจิตใจไม่เป็นสุข ใจนึกเป็นห่วงฉินยา ครั้งที่แล้วเธอได้รับบาดเจ็บหนักมาก มาครั้งนี้ เธอไม่กล้าคิด ถึงกรณีที่เกิดเหตุผิดพลาด…
“หม่ามี๊กำลังคิดอะไรอยู่ครับ” จงเหยียนเฉินรู้สึกได้ว่าหลินซินเหยียนกำลังอารมณ์หดหู่ จึงถามด้วยความเป็นห่วง
หลินซินเหยียนยื่นมือไปลูบสัมผัสใบหน้าของลูกชาย ฝืนยิ้มให้บางๆ หันไปเผชิญหน้ากับลูกๆ เธอไม่อยากให้อารมณ์ของตัวเองไปสู่พวกเขา จึงตั้งสติก่อนจะพูดว่า “หม่ามี๊กำลังคิดว่า เมื่อไรพวกหนูจะโต”
“รอจนหม่ามี๊แก่แล้ว พวกเราก็โตค่ะ” จงเหยียนซีแทรกขึ้นมา
“งั้นถ้าหม่ามี๊แก่แล้ว และกลายเป็นน่าเกลียด พวกหนูจะรังเกียจหม่ามี๊ที่เป็นแบบนั้นไหม” หลินซินเหยียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ค่ะ” จงเหยียนซีไม่ต้องการเจ้าขาวแล้ว โน้มตัวเข้าหาอ้อมแขนของเธอ “หม่ามี๊เป็นหม่ามี๊ที่สวยที่สุดในโลก”
จงเหยียนเฉินขยับไปอีกฝั่ง สละที่ให้แก่น้องสาว
หลินซินเหยียนยื่นมือไปลูบเจ้าขาว “หนูจะพากลับไปด้วยเหรอ”
จงเหยียนซีพยักหน้าอย่างแข็งขัน เงยหน้าขึ้นมองเธอและถามว่า “หม่ามี๊ไม่คิดว่ามันน่ารักเหรอคะ”
“จ้ะน่ารัก น่ารักกว่าหนูอีก” เธอบีบแก้มลูกสาว
“ไม่ หนูน่ารักที่สุด” จงเหยียนซีสัมผัสท้องของเธอ “เมื่อไรเด็กน้อยถึงจะเกิดมาได้คะ หนูตั้งตารออยู่นะ”
หลินซินเหยียนลูบศีรษะของเธอ และบอกว่าอีกไม่นานแล้ว
ด้านนอกเริ่มมืดลงเรื่อยๆ บ้านคนระหว่างทางที่ผ่านไปเริ่มเปิดไฟกันแล้ว ทั้งสองคนเล่นจนเหนื่อย ทานขนมกันไปแล้ว และหลับไปโดยไม่ร้องหิว
กระทั่งเด็กทั้งคู่เงียบไป ซูจ้านถึงได้ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงรีบกลับไปขนาดนี้”
จงจิ่งห้าวที่นั่งอยู่ช้างคนขับหันมองกลับมา หลินซินเหยียนเองก็มองเขาด้วย สายตาสบกัน แม้จะไม่ได้พูดจา แต่ละคนก็รู้ความคิดกันและกันในตอนนี้
“ฉันไม่น่าสงสารเหรอ” ซูจ้านสายตามองตรงไม่มีการเหล่มอง
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคู่รักคู่นี้กำลังมองหน้ากัน เขายังอยู่บนรถ ดังนั้นจึงเลี่ยงการพลอดรักไม่ได้ แบบนี้ไม่ใช่ว่าตั้งใจยั่วเขาหรือไง
“ฉินยาไม่ยอมยกโทษให้ฉันเลย พวกนายก็เอาแต่หวานใส่กัน หัวใจพวกนายทำด้วยก้อนหินหรือไง ไม่รู้สึกว่าฉันน่าสงสารเลยเหรอ ปรานีฉันบ้างได้ไหม” ซูจ้านบ่นไม่หยุด
เขาอกหักแล้ว ฉินยาปฏิเสธที่จะให้อภัยเขา หลังจากนี้เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขาส่งเสียงเฮ้แล้วกลับมาหัวข้อเดิม ถามว่า “พวกคุณบอกมาหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ไปอย่างรีบร้อนขนาดนี้ พวกเราจะกลับไปเมืองB หรือว่าไปเมืองC”