หลี่จิ้งคิดไม่ถึงเลยว่าหลินซินเหยียนจะมาหาถึงบ้าน แต่ก็เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเธอกับจงจิ่งห้าว เธอจึงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเหมือนเดิม
“มาคนเดียวหรอ?”หลี่จิ้งถาม
หลินซินเหยียนตอบอืมออกไป
“ใครมันมาหาเวลานี้กัน……”เหวินชิงเดินออกมาจากห้องหนังสือ ทว่าพอเห็นหลินซินเหยียนจึงชะงักคำพูดลงทันที
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปราวกับว่าแปลกใจเหมือนกันที่เธอมาหาถึงบ้าน เขาเหลือบมองไปที่ข้างหลังเธออย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อไม่เห็นจงจิ่งห้าว เขาจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“มาทำไม?”เขาถามด้วยท่าทีเฉยชา
หลินซินเหยียนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนพร้อมกับมองจ้องไปที่เขาโดยไม่พูดไม่จา
ผู้ชายคนนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเธอมากมายหลายอย่าง แทนที่เธอจะรู้สึกดีใจหรือตื่นเต้นที่ได้เจอญาติ
ทว่ามันกลับมีแต่ความรู้สึกห่อเหี่ยวที่หลงเหลืออยู่ในใจเพียงเท่านั้น
เหวินชิงถูกจ้องเขม็งจนรู้สึกอึดอัด เขาจึงละสายตาออกจากเธอ“มองฉันขนาดนี้มีอะไรรึเปล่า?”
เธอยังคงไม่ละสายตาออก แต่กลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มอารมณ์เอาไว้“ฉันขอคุยกับคุณซักครู่หน่อยได้ไหม?”
เหวินชิงทำหน้าบึ้ง“เขาสั่งให้เธอมาหรอ?”
เขานึกในใจว่าจงจิ่งห้าวคงสั่งให้เธอมาคืนดีกับเขา
เมื่อคิดแบบนี้เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ใช่ เขาไม่รู้ว่าฉันมา”
เหวินชิงขมวดคิ้วแล้วทำสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมาเล็กน้อย“ระหว่างฉันกับเธอมีอะไรให้ต้องคุยกันอีก”
“คุณกับฉันเป็นศัตรูกันหรอ?จะคุยกันสักสองสามประโยคมันจะเป็นไรไป”จู่ๆความรู้สึกสงบในจิตใจก็เหมือนถูกคลื่นลูกยักษ์โหมซัดเข้ามา มันไม่ใช่เพราะความเย็นชาของเหวินชิงที่ทำร้ายจิตใจของเธอ แต่มันเป็นเพราะสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่ซับซ้อนนี้ต่างหากที่มันทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ
เหวินชิงเม้มปากแน่นแล้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา
หลี่จิ้งยิ้มร่าพร้อมกับเดินเข้ามาในวงสนทนา จากนั้นก็ดึงชายเสื้อของเหวินชิงเบาๆ“เธอก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล บางทีอาจจะมีเรื่องที่จำเป็นต้องคุยกับคุณก็ได้ นี่คุณจะเห็นเธอเป็นศัตรูจริงๆหรอ?”
ใบหน้าที่บึ้งตึงของเหวินชิงเริ่มคลายลง หลี่จิ้งลากเขาไปที่ห้องหนังสือ จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับหลินซินเหยียน“เธอก็เข้ามาด้วยสิ”
เธอกดเหวินชิงนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ“นี่คุณจะไม่สนใจจงจิ่งห้าวแล้วจริงๆหรอ?เขาเป็นลูกคนเดียวของน้องสาวคุณนะ อยากจะตัดความสัมพันธ์กับเขาจริงๆหรอ?ฉันรู้หรอกว่าคุณไม่อยาก เพราะงั้นถ้าไม่อยากก็เลิกทำหน้าแบบนี้สักที เดี๋ยวเกิดทะเลาะกันใหญ่โตอีก คนที่เสียใจก็คงเป็นคุณนั่นแหละ”
หลี่จิ้งเข้าใจสามีตัวเองดี ดังนั้นจึงพูดจี้จุดอ่อนเขาได้ทุกประโยค ในที่สุดสีหน้าของเหวินชิงก็โอนอ่อนลง เขาเงยหน้ามองภรรยา“คุณออกไปก่อน”
เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหลินซินเหยียนมีอะไรจะพูดกับเขาถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่
หลี่จิ้งตบไหล่สามีเบาๆ จากนั้นก็หันไปยิ้มให้หลินซินเหยียน“เอาเครื่องดื่มอะไรไหม?”
หลินซินเหยียนส่ายหน้า“ไม่เป็นไร”
“ถ้างั้นเชิญนั่งตรงนี้ได้เลย”หลี่จิ้งลากเก้าอี้มาไว้ที่ข้างหลังเธอ
หลินซินเหยียนเอ่ยขอบคุณแล้วนั่งลง ระหว่างเธอกับเหวินชิงมีโต๊ะชาทรงสี่เหลี่ยมวางขวางอยู่ หลี่จิ้งเดินออกจากห้องหนังสือไปพร้อมกับปิดประตูลง
“ว่ามาสิ มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน”เหวินชิงเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
เธอเม้มปากลงพลางมองไปที่เหวินชิงด้วยท่าทีจริงจัง“ฉันกับคุณเราไม่ใช่ศัตรูกัน แม้แต่ในอนาคตก็ไม่ใช่”
เมื่อสบตาเธอเหวินชิงก็อึ้งไปนิดหน่อย จากนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะมีคำถามอยากจะถามคุณ และก็หวังว่าคุณจะตอบฉันมาตามความจริง”เธอมองสำรวจเขาด้วยแววตาที่ประหม่าและหวาดกลัว
เธอกลัว กลัวว่าการตายของเฉิงยู่ซิ่วจะเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง
แต่ไม่ว่าคำตอบที่ออกมามันจะมันจะดีหรือร้าย เธอก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าได้
เธอไม่มีทางเลือก เธอเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเล็กน้อย“คุณเป็นคนฆ่าเฉิงยู่ซิ่วใช่ไหม?”
เหวินชิงไม่พูดไม่จาเอาแต่มองเธอ จากนั้นก็หรี่ตาลง“นี่คือสิ่งที่เธอจะถามหรอ?”
หลินซินเหยียนพยักหน้า แล้วตอบออกไปอย่างแน่วแน่เพื่อเป็นการยืนยัน“ใช่”
……
หลังจากนั้นไม่นานเหวินชิงถึงได้เอ่ยขึ้น“ใช่”
เมื่อได้ยินคำตอบของเหวินซิง เธอก็พบว่าที่จริงตัวเองนั้นอ่อนแอมาก เธอรีบก้มหน้าลงเพื่อปกปิดความเจ็บปวดจากการที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอย่างฉับพลัน
เธอกัดริมฝีปากไว้แน่นพลางกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดชีวิต
เธอเคยนึกถึงสถานการณ์ในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
แต่ว่าพอได้เจอเข้าจริงๆถึงได้รู้ว่าเธอไม่อาจทำใจยอมรับมันได้เลย
เธอไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปเจอจงจิ่งห้าวได้ยังไง และไม่รู้ว่าจะมีหน้าไปเจอเฉิงยู่ซิ่วที่พึ่งเสียไปได้ยังไง เธอจะต้องรู้สึกยังไงหรือทำหน้าแบบไหนกันหรอ
“เมื่อก่อนฉันคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับจงจิ่งห้าวเป็นพรหมลิขิตที่สวรรค์กำหนดไว้ จนกระทั่งตอนนี้ฉันถึงได้รู้ว่า นี่มันไม่ใช่พรหมลิขิต มันคือเวรกรรม”ซึ่งทั้งหมดนี่ล้วนเป็นฝีมือของคนในครอบครัวเธอทั้งนั้น
ทั้งแม่ของเธอ และคุณลุง……
เธอเงยหน้ามองเหวินชิงช้าๆ แม้จะใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามข่มร่างกายที่สั่นเทิ้มไว้แต่มันก็ไม่อาจควบคุมได้ เธอเริ่มหายใจลำบากจึงใช้มือจับพนักเก้าอี้ไว้แน่น เส้นเลือดผุดขึ้นมาที่หลังฝ่ามือ อย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกได้ว่าเธอพยายามอดทนอดกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ เธอฝืนยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้า“ถ้าเกิดว่าเลือกได้ ฉันก็ขอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเหวินอย่างเด็ดขาด”
เธอผ่อนคลายลง“แม้แต่ในวันข้างหน้าก็ด้วย”
“นี่ นี่เธอหมายความว่ายังไง เธอจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเหวินได้ไง?”น้ำเสียงของเหวินชิงแสดงถึงความกังวลออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลินซินเหยียนหยิบจดหมายในกระเป๋าออกมา แต่ก่อนที่จะยื่นให้เหวินชิง เธอก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง“ฉันยังไม่ได้เปิดอ่าน และไม่รู้ด้วยว่าข้างในเขียนอะไร แต่ไม่ว่าข้างในจะเขียนอะไร ฉันก็หวังว่าคุณกับฉันจะไม่เกี่ยวข้องกัน”
พูดจบเธอก็เอาจดหมายฉบับนั้นวางลงบนโต๊ะ
“ฉันหวังว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก และหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน”
พูดจบเธอก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องหนังสือไป หลี่จิ้งที่กำลังเตรียมข้าวเย็นอยู่อยากให้หลินซินเหยียนอยู่ทานด้วย จากนั้นก็ให้เธอเรียกจงจิ่งห้าวมา แบบนี้พวกเขาจะได้กลับมาคืนดีกันเร็วๆ
“เธอโทรเรียกจงจิ่งห้าวมาทานข้าวเย็นที่นี่ด้วยสิ”หลี่จิ้งพูดขึ้นเพื่อแสดงน้ำใจ
หลินซินเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น เธอเหมือนกับหุ่นกระบอกที่ถูกเชิดให้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอคิดแค่ว่าจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ขณะที่เดินมาถึงหน้าประตู หลี่จ้านก็เข้ามาพอดี เขารีบเดินเข้ามาหา“ทำไมมาคนเดียวล่ะครับ……”
เธอมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ ร่างที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเลือนราง……แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆริบหรี่ ตัวเธอก็เริ่มเดินโซเซไปมา
เมื่อเห็นหลินซินเหยียนเดินโซเซไปมาเหมือนกับจะล้มลง หลี่จ้านก็รีบวิ่งเข้ามาประคองทันทีที่เธอเซล้มลง
เหนื่อย เหนื่อยมาก เธอเงยหน้ามองคนที่กำลังอุ้มเธออยู่ช้าๆ สายตาของเธอยังคงพร่าเลือน เสียงของเธอก็ดูอิดโรยมาก“ทำไมถึงกลับมาล่ะ?”
“ผมเป็นห่วงคุณ พ่อผมทำอะไรคุณรึเปล่า?”หลี่จ้านดูท่าทางโมโหมาก มากจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปทะเลาะกับเหวินชิงให้ได้ยังไงยังงั้นเลย
หลินซินเหยียนดึงชายเสื้อเขาไว้พลางส่ายหน้า“ไม่ได้ทำอะไร”ร่างกายของเธออ่อนล้าเหมือนกับถูกสูบพลังออกไปหมด ขาทั้งสองข้างก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เธอพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายเบังคับให้ตัวเองลุกขึ้น“ช่วยฉันหน่อย”
“ครับ”หลี่จ้านดูออกว่าเธออิดโรยมากจึงถามขึ้นด้วยความกังวล“ไปโรงพยาบาลไหมครับ?”
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“ประคองฉันไปที่รถ”
เธอต้องการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูแรงที่เสียไป เธอจะกลับบ้านไปสภาพนี้ไม่ได้
ไม่อยากนั้นคนอื่นจะดูออกว่าเธอไม่ปกติ
หลี่จ้านทนดูต่อไปไม่ไหวจึงอุ้มเธอเดินไปที่รถ
บอดี้การ์ดเปิดประตูออก หลี่จ้านก็โน้มตัวลงแล้ววางเธอลงที่เบาะรถ
จากนั้นก็ขึ้นมานั่งด้วย เพราะเป็นห่วงเธอ
หลินซินเหยียนหลับตาลงพลางยกมือขึ้นมานวดขมับไปด้วย เธอกำลังพยายามยื้อสติตัวเองไว้ เธอเอ่ยกับบอดี้การ์ดออกไป“เอาน้ำมาให้ฉันหนึ่งขวด”
เนื่องจากในรถมีน้ำอยู่แล้ว บอดี้การ์ดจึงเอื้อมมือไปหยิบแล้วยื่นให้เธออย่างรวดเร็ว เธอเปิดฝาออกแล้วดื่มไปหลายอึก คอที่แห้งผากเริ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมานิดหน่อย เธอลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่หลี่จ้าน“ฉันต้องกลับแล้ว”
“คุณกับพ่อของผมไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆหรอ?”ไม่ใช่ว่าหลี่จ้านไม่เชื่อในสิ่งที่หลินซินเหยียนพูด แต่เนื่องจากสภาพเธอดูไม่ค่อยดีนัก แถมยังมาเป็นแบบนี้หลังจากก้าวออกมาจากบ้านตระกูลเหวินอีก เขาเลยอดไม่ได้ที่จะคิดว่าต้องมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นแน่ๆ
หลินซินเหยียนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง“มันจะค่ำแล้ว ฉันควรกลับได้แล้ว”
เมื่อเธอพูดอย่างนี้ หลี่จ้านจึงทำได้แค่เดินลงรถไป เขาไม่อาจตามหลินซินเหยียนไปที่คฤหาสน์ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าที่ไหนเป็นเจอจงจิ่งห้าว
เขาเดินลงรถไปพร้อมกลับปิดประตูให้เรียบร้อย
“ไปเถอะ”หลินซินเหยียนเอ่ยปากสั่งด้วยท่าทีนิ่งเฉย
บอดี้การ์ดจึงสตาร์ทรถแล้วขับออกไป
ไม่นานรถก็มาหยุดอยู่ที่คฤหาสน์ เธอไม่ได้รีบลงรถ ทว่ากลับตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อให้ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาพอให้รู้สึกว่าสามารถเผชิญหน้ากับทุกคนได้ จากนั้นถึงเปิดประตูลงจากรถ
ตอนที่ลงจากรถแล้ว เธอก็เห็นว่ามีรถอีกสองคันจอดอยู่ที่ลานหน้าบ้าน