ข้างนอกลมเริ่มพัดแรงขึ้น ต้นไม้ต่างก็โอนเอนไปมาเกิดเป็นเสียงเสียดสีกัน ที่กระจกหน้าต่างก็มีเงาสีดำตัดสลับผ่านวูบวาบไปมาไม่หยุด
นาฬิกาบนผนังส่งเสียงบอกเวลาอย่างสม่ำเสมอ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน มันนานมาก ขาของหลินซินเหยียนเริ่มชา ตัวเธอร้อนนิดหน่อย จงจิ่งห้าวจึงอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบนแล้ววางเธอลงบนเตียง เธอกำลังอยู่ในอาการมึน อาจเป็นเพราะเมื่อกลางวันเปียกฝน ตอนนั้นเธอรู้สึกร้อนๆหนาวๆเล็กน้อยแต่เธอไม่ได้สนใจ
ทว่าตอนนี้นอนแม้จะนอนอยู่ในผ้าห่มเธอยังรู้สึกหนาวอยู่เลย
ตอนที่สติกำลังรางเลือนจู่ๆก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้น“นอนเถอะ”
เธอพยายามลืมตามองเขาในขณะที่ภาพตรงหน้ากำลังเลือนราง จากนั้นก็พูดออกไปด้วยความกังวล“แล้วคุณล่ะ?”
หลินซินเหยียนไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เธอรู้สึกง่วงมาก หลายวันมานี้เธอไม่ค่อยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แถมวันนี้ก็เหนื่อยมากจริงๆ
สติของเธอค่อยๆเลือนรางหายไป เธอผล็อยหลับไปอย่างช้าๆ
แต่ก็สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงฟ้าผ่า
ทั้งห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากหัวเตียงเท่านั้น หน้าต่างก็ถูกปิดแน่น แต่พอมองลอดใต้ผ้าม่านไปก็เห็นสายฝนที่ตกกระทบบนหน้าต่าง เนื่องจากฝนมันสาดเข้ามา
ข้างกายเธอไม่มีคนอยู่ แถมผ้าปูที่นอนก็เรียบกริบ มีแต่ด้านของเธอเท่านั้นที่ยับยู่ยี่ แสดงว่าเขายังไม่ได้นอนน่ะสิ พอนึกภาพจงจิ่งห้าวที่อยู่ในห้องหนังสือ เธอก็ลุกพรวดขึ้นแล้วตรงลงไปชั้นล่างจากนั้นก็ผลักประตูห้องหนังสือออก ทว่าด้านในกลับโล่ง ไม่มีใครอยู่สักคน มีเพียงแค่เสียงน้ำไหลจากข้างนอก
เธอเดินหาทั้วทั้งคฤหาสน์แต่ก็ไม่เจอเขา
ด้วยความร้อนใจเธอจึงเดินไปเคาะประตูห้องเสิ่นเผยชวน ซึ่งเสิ่นเผยชวนเผอิญสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าผ่าพอดี
พอได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลุกขึ้นมาเปิด หลินซินเหยียนยืนอยู่หน้าประตูแล้วพูดด้วยท่าทางร้อนรน“เขาหายไปแล้ว”
เสิ่นเผยชวนขมวดคิ้วขึ้น“อะไรนะ?”
จงจิ่งห้าวหายตัวไป
“รอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าซักครู่ครับ”เสิ่นเผยชวนปิดประตูแล้วรีบเข้าไปเปลี่ยนทันที
หลินซินเหยียนยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับมองออกไปข้างนอก เนื่องจากฝนตกหนักท้องฟ้าเลยมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างใดๆเลย เธอเปิดประตูบ้านออกไป ลมหนาวจากข้างนอกพัดโหมกระหน่ำเข้ามาทันที มันเย็นมาก หลินซินเหยียนตัวสั่นเพราะความหนาวอยู่ครู่หนึ่ง เธอสวมรองเท้าแตะเดินไปที่โรงรถ รถหายไปหนึ่งคัน เขาต้องเอาออกไปแน่ๆ
เสิ่นเผยชวนเดินออกมา เมื่อเห็นว่าหลินซินเหยียนยืนอยู่ข้างนอกด้วยชุดบางๆจึงขมวดคิ้วขึ้น“ถึงอากาศจะเริ่มร้อนแล้ว แต่ว่าตอนฝนตกอากาศมันค่อนข้างเย็น คุณไปสวมเสื้อหนาๆหน่อย เดี๋ยวผมจะพาคุณไปหาเขาเอง ”
หลินซินเหยียนหันกลับไปมองเขา“ฉันเหมือนจะรู้แล้วว่าเขาไปไหน”
ถ้างั้นมันก็ง่ายมาก เสิ่นเผยชวนพูดเร่งให้เธอไปสวมเสื้อเพิ่ม เธอยังรู้สึกเวียนหัวอยู่เล็กน้อยอาจเป็นเพราะฤทธิ์ไข้ แต่ตอนนี้การตามหาจงจิ่งห้าวคือเรื่องสำคัญที่สุด
พอเธอสวมเสื้อคลุมและเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ เสิ่นเผยชวนก็เข้ามากางร่มให้
“ไปที่สวนมรกต”
เสิ่นเผยชวนเหลือบมองเธอแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ขับรถไปตามทางที่เธอบอก
ค่ำคืนนี้ทั่วทั้งเมืองBถูกปกคลุมไปด้วยฝนห่าใหญ่ที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ณ สวนมรกต มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ที่บันได ดอกเบญจมาศสีขาวที่เกลื่อนพื้นส่งกลิ่นออกมาปนกับหยาดน้ำฝน มันให้ความรู้สึกเศร้าสลดมาก
ที่หน้าหลุมศพอันอ้างว้างและโดดเดี่ยวมีคนคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับมองดูรูปภาพที่ติดไว้บนป้ายหลุมศพ
ครั้งแรกที่เจอหล่อน จงฉีเฟิงเป็นคนพาหล่อนกลับมาที่บ้าน ตอนนั้นเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนทำให้เขาสูญเสียแม่ของเขาไป เขาปัดถ้วยน้ำชาที่คนใช้ยื่นให้เธอลงบนพื้น มันแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี น้ำชาร้อนๆสาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ ทว่าหล่อนกลับวิ่งเข้ามาหาเขาทันที แถมยังไม่ตำหนิที่เขาทำอะไรไปอย่างไม่มีเหตุผลด้วย หล่อนเอาแต่เป็นห่วงว่าเขาเจ็บตรงไหนรึเปล่า
ตอนนั้นเขาได้แต่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเสแสร้งเหลือเกิน
แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยเขาเหมือนกับแม่แท้ๆที่เป็นห่วงเป็นใยลูกของตัวเอง
กว่าจะรู้สึกตัวว่าหล่อนเป็นแม่ของตัวเอง แถมหล่อนยังอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ทว่าเขากลับไม่กล้าก้าวเข้าไปแล้วเรียกหล่อนว่าแม่
ความโกรธ ความคับแค้นใจและการหลอกตัวเอง มันทำให้เขาโง่งมตกอยู่ในความเกลียดชังมานานหลายปี
แต่พอหลังจากที่ได้ยินเฉิงยู่เวินพูด เขาถึงได้รู้ว่า ความแค้น ความเกลียดชังและการที่เขารับความจริงไม่ได้นั้น มันเทียบไม่ได้กับการเสียสละของหล่อนเลยด้วยซ้ำ
การที่ถูกกักขังมานานนับหกปี มันเป็นช่วงอายุที่ดีที่สุดและช่วงเวลาที่ดีที่สุดของหล่อน ทว่าหล่อนกลับถูกกักขังไว้อย่างโหดร้าย หล่อนยอมทิ้งธุรกิจของบรรพบุรุษตระกูลเฉิงเพียงเพื่อจะมาอยู่เคียงข้างเขา
ทั้งๆที่หล่อนสามารถเลือกเดินออกไปอย่างเห็นแก่ตัว และหาใครสักคนเพื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้
คุณอยากอยู่กับผมมากขนาดจนยอมทิ้งตระกูลเฉิง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ยอมทิ้งผมไปง่ายๆแบบนี้ล่ะ?
เฉิงยู่ซิ่ว คุณยังคงใจร้ายกับผมเหมือนเคยเลยนะ
เขาทิ้งตัวคุกเข่าลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝนอย่างแรง
เขาคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพ มีคำพูดมากมายเป็นล้านๆคำจุกอยู่ในอก เขาโค้งตัวลงจนหน้าผากสัมผัสลงกับพื้นที่เย็นเฉียบ เม็ดฝนต่างก็ตกโปรยปรายลงมากระทบกับร่างเขา
ฝนมันเริ่มตกหนักขึ้นอีก นี่ขนาดเทพเจ้าก็ยังต้องหลั่งน้ำตาให้กับฉากนี้เลยหรอเนี่ย
น้ำฝนไหลผ่านใบหน้าเขาไป ดูไม่ออกเลยว่านี่คือน้ำฝนหรือว่าน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่หลั่งไหลออกมาจากใจเขา
ทว่านอกจากความเจ็บปวดก็ยังมีความเกลียดชังปรากฏขึ้นในสายตาอันเยือกเย็นคู่นี้ด้วย
ทันใดนั้นเองหลินซินเหยียนก็เดินเข้ามากางร่มอยู่ข้างๆเขา เพื่อกันฝนที่ตกลงมา เธอยืนนิ่งไม่พูดไม่จาแล้วมองไปที่รูปของเฉิงยู่ซิ่วเหมือนกัน
เธอจะยืนเคียงข้างเขาตลอดไปเอง
เธอจะต้องหาตัวคนทำให้ได้ว่ามันเป็นใคร จากนั้นก็จะส่งมันไปลงโทษตามกฎหมาย!
แม่คะ หนูสัญญาว่าหนูจะช่วยดูแลเขาให้ดีและปกป้องลูกๆของพวกเราไว้ให้ได้
“จิ่งห้าว พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”หลินซินเหยียนคุกเข่าลงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
ใบหน้าที่เข้มแข็งของเขาเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน เธอใช้มือปาดลงบนใบหน้าที่เย็นเฉียบของเขา“เรามีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ เราต้องไปหาว่าครั้งนี้ใครเป็นคนลงมือ”
เธอรู้ว่าตอนนี้มีเพียงแค่ความแค้นต่อคนที่ทำร้ายเฉิงยู่ซิ่วเท่านั้นที่จะพาเขาออกมาจากความเศร้าโศกนี้ได้
มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
เขายื่นมือออกไปโอบเธอไว้ จากนั้นก็ตอบอืมออกมาเบาๆ
ฝนตกหนักอยู่ทั้งคืนจนกระทั่งตอนเช้าถึงหยุด จงจิ่งห้าวออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ หลินซินเหยียนรู้ว่าเขาคงไปตรวจสอบเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์
เธอดูแลอาหารการกินให้ลูกๆ พวกเขาต่างก็โตแล้ว แถมยังว่านอนสอนง่ายมากๆด้วย เธอเลยไม่ต้องทำอะไรมาก
พวกเขาทั้งกินข้าวเองได้ ล้างมือเองได้และเช็ดปากเองได้
เธอกอดลูกสาวของเธอก่อนแล้วหันไปกอดลูกชาย จากนั้นก็ลูกหัวทั้งคู่เบาๆ“พวกหนูเป็นเด็กดีมาก ดูสิแป๊บเดี๋ยวก็โตแล้ว”
หลินซีเฉินเข้าไปกอดเธอ พอเห็นพี่ชายกอด หลินลุ่ยซีก็เข้าไปกอดด้วย เด็กทั้งสองโอบเอวเธอไว้
เมื่อป้าหยูเก็บจานชามเสร็จก็เดินเข้ามา“เดี๋ยวพวกหนูต้องไปฝึกเขียนและอ่านหนังสือ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าเรียนระดับประถมศึกษา”
“ไปเถอะ”หลินซินเหยียนปล่อยเด็กทั้งสองออก
หลินซินเหยียนมองตามแผ่นหลังเล็กๆที่ตั้งตรงของพวกเขา จำได้ว่าตอนที่คลอดพวกเขาออกมาพวกเขายังตัวเล็กกระจิ๋วเดียวอยู่เลย ทว่าพริบตาเดียวกับโตขนาดนี้แล้ว เธอยกมือขึ้นมากุมท้องไว้ ส่วนข้างในนี้มันยังเล็กมาก เล็กจนถ้าไม่เอามือไปทาบก็ไม่รู้สึกอะไร เธอก้มหน้าลงพูดกับลูกน้อยในท้องขึ้น“หนูต้องเป็นเด็กดีนะ คุณย่าอุตส่าห์เสียสละชีวิตเพื่อช่วยหนูไว้”
เธอเป็นไข้ตัวร้อนนิดหน่อยมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพื่อไม่ให้จงจิ่งห้าวเป็นห่วงเธอเลยอดทนเอาไว้ ทว่าตอนนี้เขาไม่อยู่บ้าน เธอจึงบอกให้คนขับรถเตรียมรถ เธอจะออกไปโรงพยาบาลพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกหนึ่งคน
ด้วยฐานะและตำแหน่งของเธอ พอถึงโรงพยาบาลจึงได้เข้าไปตรวจก่อน ส่วนคุณหมอก็ยังเป็นคนเดิมกับคนที่เคยรักษาเธอมาตั้งแต่แรก เมื่อตรวจร่างกายครบหมดแล้ว ตอนนี้ทารกในครรภ์อยู่ในสภาพที่ดีมาก แต่เนื่องจากหลินซินเหยียนเป็นไข้นิดหน่อยจึงทำให้ทารกในครรภ์หัวใจเต้นเร็วเกินไป
ตอนนี้ร่างกายของเธอไม่เหมาะที่จะกินยา คุณหมอบอกว่าให้เธอกลับไปพักผ่อนให้อุณหภูมิมันลดลง เดิมเธอแค่ตัวอุ่นๆ ถ้าทำให้ร่างกายเย็นลงมันก็จะระงับอาการนี้ได้
“ขอให้มันดีแบบนี้ตลอดไป ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะให้คำตอบได้เร็วขนาดนี้”หลินซินเหยียนเดินไปตรงหน้าคุณหมอแล้วพูดขึ้น
หล่อนตอบกลับมาแค่คำว่าขอบคุณ
เมื่อเดินออกจากโรงพยาบาลไป ขณะที่เธอกำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ในสวนสาธารณะของโรงพยาบาล
เธอหยุดมองอยู่พักหนึ่ง พอร่างที่คุ้นเคยนั้นหันกลับมา เธอก็เห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน
เธอเบิกตาโพลง จงจิ่งห้าวบอกว่าผลตรวจของจวงจื่อจิ่นไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมหล่อนยังคงรับโทษอยู่ข้างในอยู่ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาโผล่ที่นี่ได้ อีกอย่างยังสวมชุดคนป่วยด้วย?
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย?