เคยรักไหมงั้นเหรอ
บอกว่าไม่ก็คงเป็นเรื่องโกหก เธอเคยรักไป๋หงเฟย เคยรักลึกซึ้ง
แต่ตอนนี้เวลานี้เธอไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ และตั้งใจแน่วแน่ที่จะไร้มนุษยธรรม “ฉันไม่เคยรักคุณ”
น้ำตาที่อดทนอดกลั้นมาตลอดรินไหลลงมาทันทีในขณะนี้
เสียงฟ้าร้องดังครืนครืนครืน ประกายแวบพาดผ่านบนท้องฟ้า
ไป๋หงเฟยสองขาทรุดลง เขาพยายามอย่างสุดความสามารถ แค่เพราะอยากเจอเธอ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้เขาย่ำแย่เสียยิ่งกว่าตาย
ร่างกายเขาไม่รู้สึก แค่เพียงหายใจยังยากลำบาก….
เฉิงยู่เวินที่เดินไปไม่ไกลวกกลับมา ประคองศีรษะของเขาขึ้นมาและออกแรงตบหน้าเขา ทั้งยังบีบตัวเขา “ไป๋หงเฟย คุณตื่นก่อน….”
จงฉีเฟิงยังไม่ไปในทันที และมองเฉิงยู่ซิ่ว “ไปดูไหม”
น้ำตาของเฉิงยู่ซิ่วเป็นเหมือนเส้นลูกปัด รินหลั่งลงมาเป็นสาย
เธอส่ายหน้า “ไปเถอะ”
ในเมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว หากลังเลยืดเยื้อ มีแต่จะยิ่งเจ็บปวดกันทั้งสองฝ่าย
“แน่ใจนะ” จงฉีเฟิงจงใจถามอีกคำ เป็นการทดสอบความตั้งใจของเธอว่าแน่วแน่แค่ไหน
“ฉันแน่ใจ” เฉิงยู่ซิ่วเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้าจ้องตาเขา เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าจิตใจของตัวเองแข็งแร่งมากเพียงใด
เวลานี้ จงฉีเฟิงเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนแอคนนี้ ในความเป็นจริงนั้นแข็งแกร่งมาก
เขาปิดประตูด้านหลัง ขึ้นนั่งฝั่งคนขับแล้วจากไป
เสียงของเฉิงยู่เวินสะท้องก้องในอากาศ120เดซิเบล
เมื่อกลับไปที่โรงพยาบาล เหวินเสียนก็เข้ามาพอดี เธอนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับบนรถสีดำ ที่นั่งด้านข้างเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เพราะมันผ่านกระจกหน้ารถ จงฉีเฟิงจึงเห็นไม่ชัดนัก แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ ผู้ชายคนนี้เป็นคนรักของเหวินเสียนแน่นอน
เขาดวงตาคล้ำหมอง
เหวินเสียนเห็นเขา จึงพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ว่า “จื่อยี่คุณกลับไปก่อนนะ”
จวงจื่อยี่พยักหน้า “คุณดูแลตัวเองด้วย มีเรื่องอะไรก็โทรหาผม”
เหวินเสียนพยักหน้าแล้วเปิดประตูลงรถไป
เวลานี้จงฉีเฟิงก็ลงมาพอดีเช่นกัน ทั้งสองปะทะสายตากันในอากาศ มองกันหลายวินาที จงฉีเฟิงถอนสายตาไปก่อน เขาหันหลังไปเปิดประตูหลังและอุ้มเฉิงยู่ซิ่วลงมา เขานิ่งเงียบตลอดการกระทำ
เช่นเดียวกับเฉิงยู่ซิ่วที่อารมณ์ย่ำแย่มาก
เขาก้าวขึ้นบันได หลังจากเดินไปสองก้าวจู่ๆ ก็หยุด “คุณกลับไปเถอะ วันนี้ผมดูแลเธอเอง”
เหวินเสียนที่เดินตามไป เธอเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเขา ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมา “ได้ ตอนนี้ร่างกายเธอไม่ค่อยดี ต่อไปพยายามอย่าออกไปข้างนอกอีก รอจนกว่าจะคงที่….”
“คุณใส่ใจขนาดนี้ ทำไมไม่คลอดเองเลยล่ะ” ทันใดนั้นจงฉีเฟิงก็ขัดจังหวะการกำชับตักเตือนอย่างใส่ใจของเธอ
เขามองเธอตรงๆ “คนเมื่อครู่คือคนที่คุณชอบเหรอ”
เหวินเสียนเม้มปาก “ฉีเฟิงคุณอย่าเป็นแบบนี้….”
จงฉีเฟิงหัวเราะ “คุณอยากให้ผมเป็นแบบไหน ยังต้องให้ผมเป็นยังไง ภรรยาผมนัดพบกับชายอื่น ผมถามไม่ได้เหรอ”
เหวินเสียนตาแดงเรื่อ “ฉันเคยบอกแล้วว่าก่อนที่คุณยังไม่ตกหลุมรักใคร ฉันจะไม่โอเคกับเขา วันนี้เป็นการพบปะกันธรรมดาโดยบริสุทธิ์ใจ ฉันไม่รู้ว่าจะมาเจอคุณ….”
“ผมไม่อยากฟัง คุณไปเถอะ”
พูดจบจงฉีเฟิงก็เริ่มก้าวเดินขึ้นต่อไป
เดินผ่านดวงไฟ ทางเดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ไม่นาน เขาก็อุ้มเฉิงยู่ซิ่วกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย คนรับใช้ทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อยแล้วอย่างดี เวลานี้กำลังจัดดอกไม้
หมอบอกว่าในห้องให้วางดอกไม้และต้นไม้สักหน่อย อากาศจะดี จะสามารถทำให้คนท้องจิตใจสงบ
ดังนั้นเหวินเสียนจึงสั่งเธอให้ซื้อดอกไม้มาไว้ในห้องพักผู้ป่วย
เมื่อเห็นพวกเขากลับมา เธอจึงรีบวางมือจากงาน แล้วมาคลี่ผ้าห่มเปิด “ออกไปข้างนอกมาแล้วเหรอคะ”
จงฉีเฟิงอารมณ์ไม่ดี จึงเงียบไม่ตอบ เฉิงยู่ซิ่วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน บนใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตา
ไม่มีการสนใจคนรับใช้เลยแม้แต่นิดเดียว
คนรับใช้ก็สามารถเห็นได้ เมื่อเปิดผ้าห่มแล้วจึงถอยไปโดยไม่พูดอะไร
“คุณกลับไปก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรผมจะเรียกคุณเอง” จงฉีเฟิงคลุมผ้าห่มให้เฉิงยู่ซิ่ว
คนรับใช้ตอบรับแล้วจึงออกไป และปิดประตูเบาๆ
จงฉีเฟิงช่วยประคองเฉิงยู่ซิ่วนอนลง “รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า”
เฉิงยู่ซิ่วส่ายหน้า
จงฉีเฟิงห่มผ้าห่มให้เธอเรียบร้อยแล้วก็ก้มหน้าเคร่งขรึม
เฉิงยู่ซิ่วมองเขา รู้ว่าเขาต้องอึดอัดใจ ไม่อย่างนั้น เขาจะไม่ถามเหวินเสียนอย่างนั้นตรงหน้าประตู
อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจเขา มีอะไรแย่ไปกว่าการเห็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบมีแต่ชายอื่นอยู่เต็มหัวใจอีกล่ะ
“ถ้าคุณรู้สึกแย่ก็ดูฉัน ฉันแย่ยิ่งกว่าคุณ” เฉิงยู่ซิ่วขยับริมฝีปากเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งผาก น้ำเสียงแหบแห้ง
จงฉีเฟิงเหลือบมองเธอ “ตัวเองบอบช้ำไปหมดทั้งกายใจ ยังมาปลอบผมอีกเหรอครับ”
เฉิงยู่ซิ่วยกมุมปากเผยรอยยิ้มฝืน “คุณว่าพวกเรามีโชคชะตาเหมือนกันไหมคะ”
“หืม?”
“ล้วนแล้วแต่ทุกข์ระทม”
จงฉีเฟิง “……..”
หลังจากอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เฉิงยู่ซิ่วก็ออกจากโรงพยาบาล
สามารถเดินลงพื้นได้ แต่เดินไม่ได้มาก และต้องพักผ่อนมากๆ
แต่ที่บ้านมีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีที่เดินเล่น สะดวกสบายกว่าอยู่ในโรงพยาบาลมาก
เพราะร่างกายเธอไม่สะดวก จึงย้ายจากข้างบนมาอยู่ข้างล่าง เหวินเสียนก็อยู่ข้างล่างด้วย
จงฉีเฟิงอาศัยอยู่ชั้นบนคนเดียว
ความสัมพันธ์ระหว่างกันในครอบครัวนั้นแสนเปราะบาง แต่ก็มีความกลมเกลียวกันมาก
หลายครั้งที่เฉิงยู่ซิ่วรู้สึกว่าตัวเองเหมือนแม่อุ้มบุญ
แต่เมื่อคิดดูดีๆ เธอก็ไม่ใช่ว่าเป็นแม่อุ้มบุญหรอกเหรอ
เมื่อคิดดูแล้วมุมปากของเธอก็ยกยิ้มขมขื่น
“ยิ้มอะไรเหรอ” เหวินเสียนกำลังพับเสื้อผ้า เห็นเฉิงยู่ซิ่วยิ้ม จึงถามออกมาหนึ่งประโยค
เฉิงยู่ซิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าสีหน้าของตัวเองจะถูกเธอเห็นเข้า
เฉิงยู่ซิ่วเอ่ยบางเบา “ไม่ได้ยิ้มอะไร ก็แค่คิดถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องตลกอะไรเหรอ” เหวินเสียนถามไปเรื่อยเปื่อย เพราะว่างไม่มีอะไรทำ จึงพูดคุยเพื่อฆ่าเวลา
เฉิงยู่ซิ่วโกหก ตนไม่ได้คิดถึงเรื่องตลกเลยสักนิด เมื่อถูกเหวินเสียนถามแบบนี้ เธอจึงอ้ำอึ้ง ยังดีที่เธอตอบสนองไว นึกถึงเรื่องสนุกเมื่อครั้งไปโรงเรียนตอนเด็ก “ฉันจำได้ตอนที่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง มีครั้งหนึ่งครูถามว่า มีใครรู้บ้างว่าบนโลกใบนี้มีอยู่กี่ประเทศ ที่น่าแปลกก็คือ ทั้งชั้นเรียนต่างยกมือขึ้น ครูจึงเรียกให้เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งตอบ ปรากฏว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นตอบว่า ‘มีสองประเทศ’ ทั้งชั้นเรียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วครูก็ถามอีกครั้งว่าทำไมมีแค่สองล่ะ จากนั้นเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นก็ตอบว่า ‘มีประเทศจีนกับต่างประเทศ’ ผลคือทั้งชั้นเงียบไปอีกหนึ่งวินาที แล้วจากนั้นก็หัวเราะกันลั่นเลย”
เหวินเสียนหัวเราะ “เพื่อนร่วมชั้นของคุณคนนี้ตลกมาก”
เฉิงยู่ซิ่วก็หัวเราะตาม ความเศร้าหดหู่ใจลดลงไปไม่น้อย
จงฉีเฟิงกลับมา เห็นผู้หญิงสองคนในห้องนั่งเล่นพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุขมาก ชั่วขณะหนึ่งนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินที่สุดในบ้าน
เห็นเขาเข้ามา ทั้งคู่พลันเก็บเสียงหัวเราะ เหวินเสียนหอบเอาเสื้อผ้าที่พับเสร็จแล้วขึ้น “ฉันจะเอาไปเก็บในตู้เสื้อผ้า”
เฉิงยู่ซิ่วก็ยืนขึ้นตาม “ฉันจะช่วยคุณถือไป”
ทั้งสองลุกขึ้นจากโซฟาและเข้าไปในห้องตามกันไป จงฉีเฟิงยืนอยู่ตรงระเบียงทางเข้า เห็นผู้หญิงสองคนจากไปเพราะเห็นเขาเข้ามา ก็ขมวดคิ้วแน่น
ทำไมทุกคนต้องหลบเขา
เหวินเสียนก็ไม่เท่าไร แม้แต่เฉิงยู่ซิ่วก็หลบด้วย
จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดหายใจติดขัด
ในมื้อเย็น จู่ๆ เหวินเสียนก็ถามเฉิงยู่ซิ่วออกมาหนึ่งประโยค “คุณชอบเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง”