ขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองลงมาข้างล่างอย่างไม่ตั้งใจ เขาเห็นแต่ผู้คนเต็มไปหมดจึงขมวดคิ้วขึ้นแล้วละสายตาออกไป
“ประธานจง”
พอจงจิ่งห้าวหันไปก็เจอเข้ากับนายกเทศมนตรีที่กำลังเดินตรงมา เขายิ้มร่า“ผมนึกว่าตาฝาดไปแล้วซะอีก”
เป็นคุณจริงๆด้วย คุณก็มาร่วมงานเลี้ยงประจำปีของไป๋ซื่อกรุ๊ปหรอ?
ที่จริงเขารู้สึกกังวลอยู่ในใจ เขาไม่เคยได้ยินว่าว่านเยว่กับไป๋ซื่อกรุ๊ปจะมีงานอะไรร่วมกันเลยนี่นา
ถึงไป๋ยิ่นหนิงจะอายุน้อยและมีความสามารถมาก แต่ว่าถ้าให้พูดถึงคนที่มีอายุน้อยและมีความสามารถมากจริงๆก็น่าจะต้องเป็นจงจิ่งห้าว
จงจิ่งห้าวบอกลูกสาวว่าอีกเดี๋ยวจะถึง จากนั้นก็กดวางสายไป
เขาเก็บโทรศัพท์ลง
“ไม่ใช่”
ความอ่อนโยนในตอนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่หายวับไปทันที เขากลับมาวางมาดที่มักจะใช้เพื่อเข้าสังคม
นายกเทศมนตรียื่นมือออกมา“เหมือนเป็นพรหมลิขิตเลยที่ได้เจอคุณที่นี่”
จงจิ่งห้าวยื่นมือขวาออกไปจับมือเขา สักพักก็ผละมืออกจากกัน
จงจิ่งห้าวไม่อยากเสียเวลากับเขา แต่เพราะต้องรักษาชื่อเสียงและหน้าตาเอาไว้ เขาจึงต้องอยู่ต่อเพื่อแสดงท่าทีตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่เกรงกลัวสิ่งใด
โดยเฉพาะกับคนที่เป็นนักธุรกิจ
“เรื่องที่ประธานไป๋จะสร้างโรงงานในที่ของผม ผมว่าพวกเราต้องคุยเรื่องรายละเอียดกันหน่อย”ไป๋ยิ่นหนิงยังมีเรื่องต้องสะสางที่ด้านล่าง เขาจึงขึ้นมารอก่อน
เพราะอีกเดี๋ยวจะได้เตรียมทานอาหารไปด้วยและคุยงานไปด้วย
“ถ้างั้นเราไปทานอาหารด้วยกันไหมครับ จะได้ทำความรู้จักกันไว้ด้วย?”นายกเทศมนตรีจงใจเอ่ยเชิญ แต่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ“หรือว่าพวกคุณรู้จักกันอยู่แล้ว?”
ดูจากฐานะของจงจิ่งห้าว ถ้าไม่ใช่เพราะมาหารืองานกับไป๋ซื่อกรุ๊ป เขาจะมาปรากฏตัวในเมืองเล็กๆนี้ทำไม
“ไม่รู้จัก”จงจิ่งห้าวตอบกลับอย่างเรียบง่ายและชัดเจน
“คุณดูสิ ผู้ชายคนนั้นคือผู้ดูแลไป๋ซื่อกรุ๊ป อย่าดูถูกที่เขานั่งรถเข็นนะครับ เขามีความสามารถพอตัวเลยทีเดียว ผมชื่นชมเขามาก แต่แน่นอนว่าไป๋ซื่อกรุ๊ปไม่อาจเทียบกับว่านเซิ่งกรุ๊ปได้แน่นอน ผมได้ยินมาว่าคุณลงทุนให้กับโครงการในต่างประเทศไปไม่น้อย แถมยังรวมกลุ่มตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนอีก ประธานจงนี่ใจเด็ดจริงๆ”
จงจิ่งห้าวไม่สนใจไป๋ยิ่นหนิงเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่านายกเทศมนตรีบอกว่าเขานั่งรถเข็น จงจิ่งห้าวจึงรู้สึกสนใจขึ้นมาหน่อย ผู้นำที่มีร่างกายพิการงั้นหรอ เห็นทีจะต้องเก่งกาจอยู่พอสมควร
ไม่งั้นคงไม่สามารถทำให้คนเคาพนับถือได้ขนาดนี้
เขาเหลือบมองลงไปด้านล่าง
บุคคลสำคัญๆของบริษัทห้อมล้อมไป๋ยิ่นหนิงกับหลินซินเหยียนเอาไว้พร้อมกับตะโกนโห่ร้องเสียงดัง
ข้างกายของไป๋ยิ่นหนิงไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเลย แต่จู่ๆกลับมีสาวงามนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา ทุกคนต่างก็สงสัยว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน
“ประธานไป๋ คุณซ่อนไว้ดีจริงๆ แม้แต่พวกเราผู้หลักผู้ใหญ่ที่ติดตามคุณ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’กันมาคุณก็ยังปิดบังไว้ เรื่องนี้คุณทำไม่ถูกนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น……”
“ไม่ใช่อะไร?นี่คุณจะหลอกพวกเราเหรอ เอาน่า ไม่งั้นคุณจะพาเธอที่นี่ทำไมล่ะ?”มีคนไม่อยากฟังคำอธิบายของไป๋ยิ่นหนิงต่อจึงพูดขัดออกมา
ไป๋ยิ่นหนิงยิ้ม“ผมคิดว่า หลักๆก็คือ……”
“หลักๆคืออะไร?”ทุกคนต่างก็ถามขึ้นพร้อมกัน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาหันมามองหลินซินเหยียน“คุณไม่ชอบประธานจงของพวกเราหรอ?”
ทันใดนั้นเองหลินซินเหยียนถึงได้รู้สึกว่าตัวเองถูกไป๋ยิ่นหนิง‘ต้อนจนมุมแล้ว’ ไม่มีทางหนีเลย
เมื่อเธอกำลังจะเอ่ยปากอธิบายก็ถูกไป๋ยิ่นหนิงจับแขนไว้ แล้วดึงเธอเข้ามากระซิบใกล้ๆ“อย่าให้ผมต้องเสียหน้าต่อหน้าพนักงานของผมเลยนะ ถ้าอยากจะปฏิเสธผมเดี๋ยวกลับบ้านไปค่อยพูด ถือว่าผมขอนะ?”
ขณะที่จงจิ่งห้าวมองลงมา เขาก็เห็นพอดีว่าไป๋ยิ่นหนิงกำลังกระซิบพูดอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เนื่องจากมุมที่เขายืนอยู่ทำให้เขาไม่เห็นว่าเป็นหลินซินเหยียน เขาเห็นก็แต่แผ่นหลังอันเรียบเนียน
“ฉันรับปากว่าจะมางานเลี้ยงเป็นคู่คุณ ไม่ได้รับปากว่าจะแกล้งเป็นแฟนสาวของคุณสักหน่อย”หลินซินเหยียนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ไป๋ยิ่นหนิงไม่โกรธ เขาดูออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาดมาก แถมยังคอยระมัดระวังตัวเป็นพิเศษด้วย“คุณยังอยากรู้จักกับอาจารย์ที่ทำผ้าไหมกวางตุ้งอยู่ไหม?”
หลินซินเหยียน“……”
หลินซินเหยียนเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผ้าไหมกวางตุ้งถึงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ“นี่คุณตั้งใจหรอ”
ถึงจะเป็นประโยคคำถามแต่เธอกลับพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่แน่ชัด
ไป๋ยิ่นหนิงไม่ปฏิเสธ เขายิ้มร่าและดูหล่อเหลาเหมือนปกติ เขาขยับเข้ามาใกล้หลินซินเหยียนอีก“ผมอยากรู้จริงๆว่าต้องเป็นผู้ชายแบบไหนถึงจะครอบครองคุณได้”หลินซินเหยียนผลักเขาออกแล้วยืดตัวตรงขึ้น
ทันทีที่เธอกำลังจะเดินหันหลัง จงจิ่งห้าวที่ยืนอยู่ชั้นสองก็เห็นหน้าเธอได้อย่างชัดเจน
ห้วงเวลาถูกหยุดลงราวกับต้องมนต์สะกด
นายกเทศมนตรีไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติไป เขามองสถานการณ์ด้างล่างพลางหัวเราะแล้วพูดขึ้น“จะว่าไปประธานไป๋ก็เป็นคนที่‘น่าทึ่ง’เหมือนกันนะ ข้างกายเขาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเลย แต่ครั้งนี้กลับพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มา แถมยังสวยมากด้วย”
“เธอ—”เสิ่นเผยซวนก็เห็นผู้หญิงที่อยู่ด้างล่างเหมือนกัน เขาหันมาหาจงจิ่งห้าว“เธอคือ……”
เขาแค่อยากจะถามว่าผู้หญิงคนนั้นคือหลินซินเหยียนใช่ไหม แต่ยังไม่ทันพูดจบ จงจิ่งห้าวก็หายไปแล้ว
เขารีบวิ่งตามลงไป
ชั้นล่างยังคงครึกครื้น เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องล้อมรอบไป๋ยิ่นหนิงกับหลินซินเหยียน
ถึงเธอจะไม่ยอม แต่ไป๋ยิ่นหนิงรู้ดีว่าตอนนี้หลินซินเหยียนต้องจำใจยอมแล้ว
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากแนะนำตัวหลินซินเหยียน จู่ๆก็มีเงาสูงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม ลมพัดกรรโชกขึ้นตามการปรากฏตัวของเขา และการที่เขาปรากฏตัวขึ้นมานั้น มันก็ดึงดูดสายตาของคนในงานไปได้นับไม่ถ้วน
หลินซินเหยียนจ้องไปที่ด้านหลังห้องโถง แสงและเงาสาดสลับกันไปมาจนตาเบลอ เธอพยายามจ้องไปยังการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ตรงประตู
ไม่นานร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาของเธอ หัวใจเธอแทบหยุดเต้น
จงจิ่งห้าวปรากฏตัวขึ้นท่างกลางฝูงคน เขาเดินเข้ามาช้าๆด้วยท่าทางที่สงบนิ่งและเฉยชา
นี่เป็นภาพลักษณ์ภายนอกที่เขา‘สั่งสม ดิ้นรน’อยู่ในแวดวงธุรกิจมานานหลายปี มันเป็นเหมือนชุดเกราะป้องกันเขา เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองออกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
เขาดูสงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน แต่นี่มันก็ไม่แปลกเพราะถ้ายิ่งเขารู้สึก เขาก็จะยิ่งทำตัวน่าเกรงขามออกมา แถมสีหน้าท่าทางก็จะค่อนข้างนิ่ง
เขาเกร็งไปทั้งตัว หัวใจก็เต้นระส่ำ
เขาจ้องไปยังใบหน้าที่รู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน
หลินซินเหยียนยืนนิ่งเหมือนถูกสะกดอยู่ตรงนั้น ในใจรู้สึกตื่นเต้นมากที่เขาปรากฏตัวขึ้น แต่ทว่าเธอกลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
ในความทรงจำของเขาหลินซินเหยียนแทบไม่เคยแต่งตัว‘สวย’ขนาดนี้มาก่อน แถมเธอยังมาหายตัวไปอีก เขากังวลอยู่กับเรื่องนี้ทั้งเช้าทั้งเย็น นอนไม่หลับทั้งคืน ทว่าเธอกลับมาปรากฏตัวอยู่กับผู้ชายอีกคน แล้วยังเปิดเผยด้านที่ตัวเองไม่เคยเปิดเผยกับเขาต่อหน้าผู้ชายคนอื่นอีก
“นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่?”เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอก็รู้สึกราวกลับโดนคลื่นยักษ์สาดซัดเข้ามา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากมันช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
เธอจะรู้ไหมว่าหลายวันมานี้เขาทรมานมากแค่ไหน?
รู้ไหมว่าเขากังวลมากแค่ไหน?
รู้ไหมว่าเขาคิดถึงเธอมากแค่ไหน?
รู้ไหมว่าเขาเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน?
เธอจะรู้บ้างไหม?
“ทำไมไม่พูดล่ะ?”
“ฉัน……”
“พวกคุณทั้งสองรู้จักกันหรอ?”ทันทีที่จงจิ่งห้าวปรากฏตัวขึ้น ไป๋ยิ่นหนิงก็รู้ได้เลยว่าเขากำลังมุ่งหน้ามาที่หลินซินเหยียน เพราะงั้นจึงจงใจถามออกไปทั้งทั้งที่รู้อยู่แล้ว
ทันใดนั้นเองจงจิ่งห้าวก็เหลือบมองมาที่ไป๋ยิ่นหนิง เขายิ้มเยาะเย้ยออกมาแล้วพูดขึ้น“ประธานไป๋ชอบคนที่แต่งงานมีลูกแล้วหรอ?”
สีหน้าของไป๋ยิ่นหนิงเปลี่ยนเล็กน้อย หลินซินเหยียนเคยบอกว่าเธอแต่งงานมีลูกแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ เขารู้สึกว่าเธอจงใจพูดโกหกเพื่อให้เขาปล่อยเธอ
แต่……ตอนนี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
“เธอยังดูเด็กอยู่เลย……”
จงจิ่งห้าวจับมือหลินซินเหยียนไว้พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น แม้แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขายังสั่นระริก เขาคลี่ยิ้มออกมา“เธอแต่งงานกับผมตั้งแต่อายุ18แล้ว คุณว่าเด็กไหมล่ะ?”
ไป๋ยิ่นหนิงขมวดคิ้วขึ้น เขารู้สึกว่าหลินซินเหยียนเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมาก ทำไมถึงได้รีบแต่งงานขนาดนั้นกัน
“นี่คุณล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย?”ขณะที่พูดก็มองไปทางหลินซินเหยียนเหมือนต้องการจะถามเธอ
ว่าที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า
“เสี่ยวซีกับเสี่ยวลุ่ยรอคุณอยู่”พูดจบจงจิ่งห้าวก็ลากเธอออกไป
เขาไม่ยอมให้เธอได้พูดกับไป๋ยิ่นหนิงแม้แต่ประโยคเดียว
เขาทำตัวหวงของเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังจะมีคนมาแย่งของรักของหวงของเขาไป
เขาจับมือหลินซินเหยียนไว้แน่นราวกับว่ามือตัวเองเป็นคีมเหล็ก แถมยังเดินจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเท้าของหลินซินเหยียนยังไม่หายดี แถมเธอยังใส่รองเท้าส้นสูงอีก เพราะงั้นเธอจึงตามไม่ทันเขา เธอกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ข้อเท้าและฝ่าเท้าของเธอไว้ แต่สุดท้ายก็เอ่ยขึ้น“คุณเดินช้าๆลงหน่อย”
จงจิ่งห้าวหันกลับมามองเธอ“ไม่อยากออกไปหรอ?”
หลินซินเหยียนส่ายหน้า“ไม่ใช่”
อ๊ะ—
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็ถูกจงจิ่งห้าวอุ้มขึ้น หลินซินเหยียนกอดคอเข้าไว้โดยสัญชาตญาณพร้อมกับปิดปากเงียบ