ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ – เล่มที่ 4 บทที่ 92 โยนความผิดให้ผู้อื่น

   “ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เห็นข้าในสายตาอีกต่อไป เช่นนั้นจงกลับไปเถิด ข้าไม่อยากได้ยินเสียงหมาเห่า”

    คำปฏิเสธของหญิงสาวทำให้ความโกรธเกรี้ยวของหลินจงอวี้ระเบิดออกมา

    น้ำเสียงเย็นชา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเจือไว้ซึ่งอารมณ์ของเด็กวัยรุ่น

    สายตาเย็นชาของหลินเมิ้งหยาเหลือบมอง ทว่านางกลับรู้สึกชื่นชมหลินจงอวี้

    การคุมบังเหียน บางครั้งเจ้านายจะต้องแสดงอำนาจเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่า

    หากแข็งกร้าวมากจนเกินไป ก็จะไม่ได้หัวใจจากลูกน้อง แต่หากใจอ่อนมากเกินไป ลูกน้องอาจเห็นว่าเจ้านายเป็นคนเหลาะแหละ

    “ชิงหลวนมิกล้า! นายน้อยได้โปรดลงโทษชิงหลวนด้วย ชิงหลวนผิดไปแล้ว! นายน้อยได้โปรดอภัยให้ชิงหลวนด้วยเจ้าค่ะ”

    หญิงสาวหวาดกลัวจนตัวสั่น นางเพียงแต่ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยจะตัดสินใจเช่นนี้

    สีหน้าของหลินจงอวี้เย็นชาลง ไร้ซึ่งร่องรอยของความอ่อนโยน

    “พระชายา เมื่อครู่ชิงหลวนผิดเองเพคะ พระชายาได้โปรดช่วยหม่อมฉันพูดกับนายน้อยด้วยเพคะ อย่าให้นายน้อยโกรธเกรี้ยวเลย”

    หญิงสาวกลับมีไหวพริบ เมื่อรู้ว่ามิอาจใช้วิธีเดิมได้ นางจึงเข้าหาทางหลินเมิ้งหยาแทน

    ท่าทางร้อนอกร้อนใจของหญิงสาว ทำให้หลินเมิ้งหยาไม่อาจปฏิเสธได้

    นางขยับเท้าเข้าใกล้แผ่นหลังของหลินจงอวี้ ยื่นมือออกไปกระตุกแขนเสื้อของเขา

    “พอได้แล้ว อย่าโกรธไปเลย ดูสิ นางกลัวจะตัวสั่นแล้ว”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนยาวิเศษ ใบหน้าที่เคยแข็งทื่อของหลินจงอวี้พลันอ่อนโยนลง

    “วันนี้ข้าจะละเว้นพวกเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าพี่สาว แต่พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่า ต่อจากนี้ไปจะต้องเคารพเชื่อฟังพี่สาวยิ่งกว่าเคารพเชื่อฟังข้า”

    “เจ้าค่ะ ชิงหลวนน้อมรับคำสั่ง”

    ครุ่นคิด ปกติเสี่ยวอวี้ไม่เคยแสดงสีหน้ารื่นรมย์ต่อคนที่อยู่ด้านหลังเขาเลยสักครั้ง

    ดังนั้นหลังจากที่หญิงสาวได้เห็นท่าทางของหลินจงอวี้ อยู่ๆ นางก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

    เด็กคนนี้ยังมีมุมไหนบ้างที่นางยังไม่เคยเห็น?

    “ต่อจากนี้ไปเจ้าจะไม่ใช่ชิงหลวน เจ้าจงใช้ชื่อว่าป๋ายซูและทำการคุ้มครองรับใช้พี่สาวทุกย่างก้าว เข้าใจหรือไม่?”

    หลินจงอวี้เป็นคนละเอียดรอบคอบ ชื่อชิงหลวนอาจทำให้นางวุ่นวายไม่น้อย

    แม้แต่เรื่องนี้ยังคิดได้ หลินเมิ้งหยาพึงพอใจเหลือเกิน

    “เจ้าค่ะ ป๋ายซูน้อมรับคำสั่ง”

    นางลุกขึ้นยืน หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าเด็กคนนี้อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น

    มิรู้ว่าคนสมัยโบราณคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดจึงส่งเด็กอายุเพียงเท่านี้มาเป็นคนคุ้มกัน

    แต่ไม่อาจรู้เลยว่าฝีมือของเด็กคนนี้จะเก่งกาจเทียบเท่าชิงหูได้หรือไม่?

    “วางใจเถิดพี่สาว แม้นางจะไม่เก่งเท่าชิงหู แต่ถึงกระนั้นก็มีฝีมือเทียบเท่านักฆ่ามือฉกาจแห่งเจียงหู”

    ราวกับว่าหลินจงอวี้ล่วงรู้ถึงความสงสัยของหลินเมิ้งหยา เขาจึงรีบส่งเสียงอธิบาย

    นางพยักหน้าลง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

    ใช่ว่าจะมีใครเก่งกาจและโรคจิตได้อย่างชิงหูได้

    “ดี เช่นนั้นข้าจะรับนางเอาไว้ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถิด”

    หลินจงอวี้พยักหน้าลง ก่อนจะก้าวเท้าเดินกลับไปยังเรือนเล็กของตนเอง

    พระจันทร์สาดส่องแสงลงอาบร่าง หลินเมิ้งหยาขยับเท้าเดินไปยังศาลาเล็ก ก่อนจะเริ่มครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้

    ไม่ใช่เพียงเรื่องที่นางถูกลอบโจมตี

    เรื่องของป๋ายจื่อ เรื่องของเยว่ถิง นางจะต้องคิดหากลอุบายให้แยบยลที่สุด

    “ยังไม่นอนหรือ? เกรงว่าใบหน้างดงามเปล่งปลั่งประหนึ่งดอกบัวของเจ้าจะมีแต่ริ้วรอยเหี่ยวเฉาผุดขึ้นทั้งหน้าเอาได้”

    เสียงเจื้อยแจ้วของชิงหูดังขึ้นอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์

    “เจ้ารู้จักเจ้าของของชิ้นนี้หรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยามองดูลูกศรสามแฉกในมือของเขา

    “อืม ข้าเคยเห็นของสิ่งนี้ตอนทำการค้า แต่เรื่องที่ว่ามันเป็นของใครนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่คนคนนี้จะต้องเป็นคนที่มีอำนาจอย่างแน่นอน”

    คำพูดของชิงหูทำให้คิ้วของหลินเมิ้งหยาเลิกสูงขึ้น

    “คนมีอำนาจ? หรือจะเป็นไท่จื่อ?”

    อันที่จริงก็มีความเป็นไปได้ ไท่จื่อต้องการเชื่อมความสัมพันธ์กับฮ่องเต้หมิง แต่กลับถูกนางขัดขวางไว้

    แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างละเอียดดูแล้ว กลับรู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องนัก

    ไท่จื่อและฮองเฮามีวิธีการต่างๆ มากมายที่จะจัดการนาง มิจำเป็นต้องใช้วิธีเปิดเผยและสุ่มเสี่ยงเช่นนี้

    แม้คนกลุ่มนั้นจะพุ่งโจมตีอย่างดุเดือด แต่กลับล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว

    เหมือนกับว่า…เหมือนกับว่าพวกเขาเพียงแต่แสดงละครให้นางดูเท่านั้น

    “กลอุบายยืมดาบฆ่าคนเพื่อโยนความผิดให้ผู้อื่นสินะ”

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นก็คิดจะโยนความผิดให้ไท่จื่อ

    เท่านี้พวกที่อยู่เบื้องหลังก็จะได้นั่งบนภูดูเสือกัด

    หากนางเปิดศึกกับไท่จื่อจริง เกรงว่าจะเป็นการทำให้พวกเขาสมปรารถนา

    เป็นครั้งแรกที่ชิงหูแสดงสีหน้าสงสัยมากถึงเพียงนี้

    เขาเป็นคนเจียงหู หากมีบุญคุณต้องทดแทน หากมีแค้นต้องชำระ คิดจะฆ่าก็ฆ่า คิดจะโจมตีก็โจมตี

    แต่หลังจากผันตัวมาอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา เขากลับได้เห็นนางพยายามเอาตัวรอดมานับครั้งไม่ถ้วน

    ทั้งที่นางเป็นเจ้านาย หากสั่งออกมาเพียงประโยคเดียว เขาพร้อมจะส่งคนเหล่านั้นไปยังยมโลกทันที

    แม้จะมีอำนาจล้นฟ้า แต่ก็สามารถถูกทำลายได้ในพริบตา

    หลินเมิ้งหยารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ

    “เจ้าเด็กน้อย อย่าเป็นชายาในจวนอวี้ต่อไปเลย ไปอยู่กับข้าที่เจียงหูเถิด”

    อันที่จริงชิงหูเป็นคนอ่อนโยนมาก มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมสละเวลาสามปีที่เหลืออยู่มาอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา

    “เจียงหูหรือ? เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เจียงหูเป็นสถานที่เช่นไร?”

    ในอดีต หลินเมิ้งหยาเคยชื่นชอบวีรบุรุษแห่งเจียงหูมาก

    แต่หลังจากได้รู้จักกับชิงหู นางเริ่มรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนเจียงหูทีละเล็กละน้อย

    สถานที่ใดมีมนุษย์อาศัยอยู่ ที่แห่งนั้นล้วนมีการสู้รบตบมือ

    แม้นางจะมีวิทยายุทธ์ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าตนเองจะไม่ถูกทำร้าย

    “เจียงหู…อันที่จริงก็ไม่ต่างอะไรจากที่นี่”

    ชิงหูครุ่นคิด จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

    นั่งข้างกายหลินเมิ้งหยา ก่อนจะเอ่ย

    “ข้าถูกเก็บไปเลี้ยงดูในจวนตั้งแต่ยังเด็ก เด็กผู้ชายคนอื่นๆ ได้ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ แต่สิ่งที่ข้าได้เรียนคือการหว่านเสน่ห์”

    ยังไม่ทันจะตั้งตัว หลินเมิ้งหยาพลันได้ยินอดีตของชิงหู

    มองดูใบหน้าด้านข้างของเขา แต่กลับได้เห็นสีหน้าผ่อนคลาย

    ทว่า ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขากลับกำเข้าหากันแน่น

    “ตอนข้าอายุสิบเอ็ดขวบ ข้าได้อยู่ท่ามกลางเหล่าเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย สามารถพูดได้ว่าข้าเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของพวกเขาในเวลานั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าถูกผลัดเปลี่ยนอยู่บนเตียงของชายรักชอบเพศเดียวกันมากมาย แม้แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้เองก็เคยมีแขกที่มาใช้บริการข้าอยู่”

    ร่องรอยแห่งความเกลียดชังถูกวาดบนนัยน์ตาของชิงหู เขากักเก็บอดีตอันแสนเศร้าของตนเองไว้ทางด้านหลัง ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงได้เห็นเพียงคนสารเลวจอมเจ้าเล่ห์แต่เพียงเท่านั้น

    “ต่อมา เมื่ออายุมากขึ้น นายท่านมีของเช่นชิ้นใหม่ ดังนั้นจึงส่งข้าไปอยู่ที่เถาฮวาอู๋ หลังจากนั้นก็กลายเป็นอย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ”

    เคยได้ยินมาว่าชิงหูเป็นคนอารมณ์แปรปรวน

    แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าเด็กคนนี้จะถูกทรมานอย่างแสนสาหัสมาก่อน

    เขาไม่ได้บ้า ไม่ได้โง่ แค่เขาไม่เสียสติก็นับว่าดีมากแล้ว

    “ชิงหู เจ้าเองก็เป็นเพื่อนของข้าคนหนึ่ง หากมีสิ่งใดที่เจ้าอยากทำก็จงไปทำเถิด ข้าพร้อมสนับสนุนเจ้าทุกเมื่อ”

    ชิงหูกลับยิ้ม พลางส่ายหน้า

    “ข้าไม่ไปแก้แค้นพวกเขาหรอก เรื่องราวผ่านไปนานแล้ว อีกอย่างมีคนมากมายต้องได้รับโทษทัณฑ์เพราะข้า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…พวกเขาเกินกว่าครึ่งถูกฝังไปแล้ว แต่ข้ากลับยังมีชีวิตอันแสนงดงาม สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าข้าชนะแล้ว”

    รอยยิ้มกลับมาเจ้าเล่ห์อีกครั้ง ทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับเพิ่มขึ้นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา

    หากเอ่ยว่าหลงเทียนอวี้คือคนที่สามารถพึ่งพิงได้ อีกทั้งยังเป็นเจ้านายที่พร้อมจะลากเหล่าทรราชลงมาสยบแทบเท้า หลินจงอวี้เปรียบเสมือนน้องชายผู้แสนน่ารัก เช่นนั้นชิงหูก็มิต่างอะไรจากพี่ชายที่พร้อมจะให้นางพึ่งพาอาศัย แม้เขาจะไม่ใช่คนว่านอนสอนง่ายก็ตาม

    นางเป็นคนโชคดี เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น แต่กลับได้รับอะไรมากมายหลายอย่างเหลือเกิน

    ภายในศาลาเล็ก นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาเผยเรื่องราวของตนเองในอดีต

    “อันที่จริง ข้าเองก็หาใช่คนบนโลกใบนี้ไม่”

    ประโยคนี้ นอกจากชิงหูแล้ว ยังมีชายอีกคนที่ได้ยินมัน

    หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ไม่ไกล สายตามองทางพวกเขาทั้งสอง

    แม้เสียงของหลินเมิ้งหยาจะไม่ดัง แต่เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน

    หาใช่คนบนโลกใบนี้? หรือนางกำลังคิดว่าตนเองต้องเจอเรื่องรบราฆ่าฟันอย่างมากมาย ดังนั้นจึงตกใจและหวาดกลัวกระนั้นหรือ

    เขาละเลยนางจนเกินไป แม้นางจะมีอุปนิสัยแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น

    เวลาเพียงสามวันแต่กลับมีคนถึงสองกลุ่มต้องการทำร้ายนาง ทุกวันนางต้องอยู่บนความหวาดกลัว แต่เขากลับดูแลนางไม่ดี

    “เย่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องคอยจับตามองพระชายาให้ดี อย่าปล่อยให้นางได้รับบาดเจ็บโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอย่าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก”

    เย่ที่ไม่เคยอยู่ห่างกายเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียวกลับถูกส่งไปอยู่กับผู้อื่นง่ายๆ เช่นนี้

    นัยน์ตาที่เคยสงบนิ่งเสมอของเย่พลันปรากฏร่องรอยของคลื่นบางอย่าง

    เมื่อก่อนหลงเทียนอวี้เคยสั่งให้เขาคุ้มครองพระชายาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่ตอนนี้ผู้เป็นนายกลับสั่งให้เขาอยู่คุ้มครองพระชายาถาวร

    สวรรค์โปรด ท่านอ๋องป่วยหรือไร?

    “ข้ารู้จักวิทยายุทธ์ของเจ้าดีที่สุด เจ้าหาได้ด้อยไปกว่าชิงหูไม่ ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าช่วยกันคุ้มครองพระชายา ต่อให้มีศัตรูเป็นร้อยเป็นพันบุกเข้ามา นางก็จะปลอดภัย จงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี จะต้องปกป้องดูแลนางให้ดี อย่าทำให้เส้นผมของนางหลุดร่วงแม้เพียงเส้นเดียว”

    เขาเป็นองครักษ์ที่มีฝีมือที่สุด เย่เคยป้องกันอันตรายแทนเขานับครั้งไม่ถ้วน

    แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อต้องเปรียบเทียบกับความปลอดภัยของตนเองและหลินเมิ้งหยาแล้ว เขาตัดสินใจโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย

    บางทีอาจเพราะหากหลินเมิ้งหยาตาย เขาคงหาชายาแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ

    แม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าเท้าของเขากลับขยับเข้าใกล้ตำหนักหลิวซิน ราวกับต้องการจะฟังสิ่งที่หลินเมิ้งหยาพูดให้มากขึ้น

    “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมานานมากแล้ว คนทั้งเมืองหลวงต่างพากันบอกว่าเจ้าเป็นคนโง่เขลาสติฟั่นเฟือน แต่พอข้าได้เจอเจ้ากลับไม่ต่างอะไรจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว”

    พูดก็พูดเถอะ เขาอาศัยอยู่ในเจียงหูมานานสามสิบกว่าปี ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพ่ายแพ้

    แต่ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับนาง เขารู้เสมือนคนไร้ค่าอย่างไรอย่างนั้น

    ดังนั้นชิงหูจึงเกิดสงสัยขึ้นมา

    “นั่นก็เพราะเจ้าโง่อย่างไรเล่า! อันที่จริงเมื่อก่อนข้าเป็นคนโง่เขลาสติฟั่นเฟือน แต่เพราะเกิดเรื่องมากมายในเกี้ยวเจ้าสาว ข้าจำได้เพียงแต่ว่าตอนนั้นเกิดแสงสว่างวาบ ต่อมาข้าก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ชีวิตแรกของ “ซูซิงเกอ” จบลงในห้องทดลองที่เธอรัก.. เมื่อตื่นมาอีกครั้ง ซูซิงเกอจึงได้ชีวิตใหม่ในร่างของ “หลินเมิ้งหยา”คุณหนูสมองพิการ ที่มีผู้ปองร้ายเป็นแม่เลี้ยงและน้องสาวของตนเอง! มิหนำซ้ำนางกำลังจะถูกส่งตัวไปแต่งงานกับ “หลงเทียนอวี้” ท่านอ๋องแสนเย็นชา ที่ต้องแต่งงานทางการเมืองกับนาง โดยที่เขาก็ไม่ได้เต็มใจ ช่างเป็นการเกิดใหม่ ที่แสนวิเศษจริงๆ! เอาละ! จะปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ไม่ได้ นางหาใช่คนที่จะปล่อยให้ชะตาชีวิตเป็นไปตามลิขิตอย่างหลินเมิ้งหยาเสียเมื่อไหร่ เพราะนางคือ..วายร้ายจอมแก้แค้นซูซิงเกอ นางจะใช้ความรู้สารพัดพิษที่มี จัดการพวกมันเอง เริ่มจากยัยน้องสาวตัวดีก่อนละกัน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset