“จงรับความตายไปดื่มด่ำซะ”
กู่หยางคำรามเสียงดังกังวาน ผืนดินที่เหยียบย่ำอยู่เกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่นจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ เงาร่างใหญ่วิ่งตะบึงเข้าหาหลงเฉินในทันที
พลังอันมหาศาลแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่คนที่อยู่ไกลที่สุดก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังการโจมตีที่แฝงเอาไว้ทุกการเคลื่อนไหวในแต่ละย่างก้าว เรียกได้ว่าเป็นพลังอันน่าหวาดกลัวที่จัดอยู่ในระดับสูงสุดเลยก็ว่าได้
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง แน่นอนว่าพลังอันแกร่งกล้าของกู่หยางในขณะนี้ได้อยู่นอกเหนือจากระดับที่เขาคาดคิดเอาไว้มากแล้ว ฉะนั้นต่อแต่นี้ไปคงจะไม่ต้องเก็บออมพลังฝีมืออีกต่อไปเช่นกัน
“ซูม”
บรรยากาศโดยรอบเริ่มสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วแผ่นหลังของหลงเฉินก็มีวงแหวนแห่งเทพขนาดใหญ่หมุนวนขึ้นมาสายหนึ่ง พลังอันมหาศาลหอบสายลมรอบด้านโหมกระหน่ำไปทั่วทุกสารทิศอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณฟ้าดินถูกดูดกลืนเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน จากพลังอันมหาศาลก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังอันน่าหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ
แม้ว่าผู้คนทั้งหมดต่างก็เคยเห็นวงแหวนแห่งเทพของหลงเฉินแล้ว ทว่าการเบิกวงแหวนแห่งเทพขึ้นมาในครั้งนี้กลับต่างไปจากครั้งก่อนๆ เป็นอย่างมาก หรืออาจจะเรียกได้ว่ารุนแรงและแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลยก็ว่าได้
“ไปตายซะ”
หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดังประดุจอัสนีคำรนจนสะเทือนไปทั่วทั้งผืนฟ้า อาวุธกระดูกอันแข็งแรงแหวกสายลมที่อยู่ด้านหน้าไปทางกู่หยางอย่างหนักหน่วง
“ครืน”
อาวุธกระดูกประสานเข้ากับคมหมัดอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นมาเป็นสาย พื้นดินทีเหยียบย่ำอยู่แตกระแหงออกเป็นเส้นสายประดุจสายธารนับร้อยเส้น ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว เศษต้นไม้ใบหญ้าปลิวว่อนไปทุกสารทิศอย่างวุ่นวาย
“แย่แล้ว”
ผู้คนมากมายตะโกนเสียงหลงขึ้นมาพร้อมกัน พลันก็รีบไหลเวียนพลังเข้าป้องกันร่างกายอย่างรวดเร็ว ทว่าคนที่อยู่ในระยะใกล้กลับโชคร้ายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่อาจเบิกพลังป้องกันขึ้นมาได้ทันท่วงที เงาร่างหลายสายจึงลอยละล่องออกไปไกลแล้วกระแทกกันอย่างรุนแรง มีผู้คนไม่น้อยเลยที่กระอักโลหิตออกมาประดุจเศษฟางหญ้าปลิวว่อนไปทั่วผืนฟ้า
ประกายแสงแวววับจากการปะทะแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศจนผู้คนเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บ หากเผชิญหน้ากับขุมพลังนั้นโดยตรง พวกเขาคงจะต้องตายไปในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
เศษหินและศิลาหมุนวนอยู่ท่ามกลางอากาศพลิ้วไหวอย่างวุ่นวาย ผืนดินเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นประดุจคลื่นมหาสมุทรโหมกระหน่ำเข้าสู่ชายฝั่ง ถึงแม้จะมองอยู่ที่ที่ห่างไกลออกไปก็อดไม่ได้ที่จะถอยเท้าออกไปให้ไกลอีก
“ตูมตูมตูม”
บรรยากาศโดยรอบปกคุลมไปด้วยหมอกควันจนไม่อาจมองเห็นเงาร่างของยอดฝีมือทั้งสองคนได้ ได้ยินเพียงเสียงระเบิดจากการปะทะกันอย่างต่อเนื่องดังสนั่นจนบาดแก้วหู
“พวกเขาช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
แม้แต่ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องยังต้องหยุดการต่อสู้กับอีกฝ่าย เพราะการต่อสู้กับคนเหล่านั้นไม่ว่าความหมายอันใดต่อผลลัพธ์อีกต่อไปแล้ว ต่อให้กู่หยางแข็งแกร่งกว่านี้ก็ไม่อาจต่อกรกับหลงเฉิน ถังหว่านเอ๋อ และเยี่ยจื่อชิวที่ร่วมมือกันได้
ทว่าในขณะนี้หลงเฉินกลับเลือกที่จะท้าประลองกับกู่หยางเพียงลำพัง เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขากำลังจะแพ้เป็นครั้งที่สามแล้ว เพราะหลงเฉินคิดเพียงแต่จะล้างแค้นเท่านั้น
ผู้คนทั้งหลายหรี่ตามองมายังท่ามกลางสนามรบจากที่ที่ห่างไกล พวกเขาพบเห็นแต่เงาร่างสองสายเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงมือต่อกันเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศโดยรอบปกคุลมไปด้วยพลังกดดันมหาศาลจนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเหล่าผู้คนของพรรคฟ้าดินก็ได้จับตามองดูหลงเฉินด้วยจิตใจที่เต้นระรัว พวกเขาทราบดีว่าเมื่อหลงเฉินกลับมาแล้ว พรรคฟ้าดินของพวกเขาจะต้องขึ้นสูงอันดับสูงสุดได้อย่างแน่นอน
ภายในขุมกำลังของพวกเขามีทั้งยอดฝีมือที่มีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลตื่นขึ้นมา และยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดที่ยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดอย่างหลงเฉินอยู่ด้วย ฉะนั้นจึงไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์อันงดงามที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย
“ตูม”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาอีกครั้ง เงาร่างสายหนึ่งกระเด็นออกไปจากวงต่อสู้หลายสิบเซียะอย่างรุนแรง
“กู่หยาง”
“เขาถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปแล้ว”
เสียงดังเซ็งแซ่ดังขึ้นมาเป็นสาย ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลจนมองเห็นได้ไม่ชัด ทว่าพวกเขาก็แน่ใจว่าเงาร่างสายนั้นจะต้องเป็นกู่หยางที่เพิ่งจะถูกซัดออกมาอย่างแน่นอน ส่วนอีกเงาร่างหนึ่งก็กำลังพุ่งตามไปพร้อมกับอาวุธกระดูกขนาดใหญ่
ในขณะนี้หลงเฉินคล้ายกับเป็นมังกรยักษ์กำลังคลุ้มคลั่ง อาวุธกระดูกในมือเริงระบำอยู่กลางอากาศ แต่ละกระบวนท่าที่ใช้ออกมานั้นล้วนแต่รุนแรงและน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถกดดันกู่หยางที่ได้เบิกพลังเสริมจากสายโลหิตขึ้นมาแล้วจนถอยหนีออกไปแทบไม่ทัน
“กู่หยางกำลังจะพ่ายแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ?” คนผู้หนึ่งกล่าวแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาคิดมาโดยตลอดว่ากู่หยางเป็นยอดฝีมือที่มีพลังอันมหาศาลจนวิปริตผิดแปลกมนุษย์ทั่วไป มีทั้งพลังจากสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูล พลังคมหมัดที่แกร่งกล้าจนสามารถทำลายคมวายุของถังหว่านเอ๋อได้อย่างง่ายดาย ทว่าเหตุใดในตอนนี้ถึงได้ตกเป็นเบี้ยล่างของหลงเฉินไปเสียได้
“เหอะ นั่นก็เป็นเพราะว่าหลงเฉินมีอาวุธที่แข็งแรงกว่าก็เท่านั้น หากหลงเฉินใช้เพียงมือเปล่าเฉกเช่นศิษย์พี่กู่หยาง แน่นอนว่าเขาคงจะถูกทุบตีจนตายไปตั้งแต่แรกแล้ว” คนผู้หนึ่งภายในขุมกำลังของกู่หยางกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ ถึงแม้ว่าจะหยุดลงมือต่ออีกฝ่ายหนึ่งไปแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อศัตรูอย่างถึงที่สุด
“ชิ อาวุธก็ถือเป็นความสามารถชนิดหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงกล่าววาจาผายลมเช่นนั้นออกมาได้ หากเป็นไปตามที่เจ้ากล่าว เช่นนั้นกู่หยางก็ไม่ควรใช้พลังเสริมจากสายโลหิตสิ หากเขาไม่มีพลังนั้นก็คงจะเป็นแค่เจ้าหัวโล้นคนหนึ่งเท่านั้น ศิษย์พี่หลงเฉินทุบตีเพียงครั้งเดียวก็ตายไปได้แล้ว” คนของพรรคฟ้าดินกล่าวขึ้นมาอย่างเหลืออด
“ผายลมเจ้าสิ สัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด นั่นเป็นเครื่องหมายของพลังภายในตัวอยู่แล้ว” คนผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมายกใหญ่
แล้วคนของพรรคฟ้าดินก็คำรามขึ้นมาเสียงดังว่า “อาวุธกระดูกของศิษย์พี่หลงก็ถือเป็นสิ่งของล้ำค่าที่ได้มาจากสุสานของผู้ถูกเนรเทศด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเครื่องหมายของความแข็งแกร่งอย่างไรเล่า มีอันใดไม่ควรกัน?”
คนผู้นั้นจึงรีบอ้าปากกล่าวต่ออีกว่า “นั่นก็เป็นเพราะหลงเฉินมีโชคของสุนัขล่าเหนืออย่างไรเล่า ถึงได้เก็บสมบัติชิ้นนั้นมาได้ หากไม่มีโชคก็คงจะกลายเป็นอาหารของสัตว์มายาไปตั้งแต่แรกแล้ว”
คำพูดหยาบช้าของคนผู้นั้นได้กระตุ้นโทสะของผู้คนในพรรคฟ้าดินขึ้นมาอย่างท่วมท้น ก่อนหน้านี้พวกเขามีสตรีเทพอย่างเยี่ยจื่อชิวและถังหว่านเอ๋อที่ไม่ให้ผู้ใดดูถูกเหยียดหยามได้ และในตอนนี้ก็มีเทพแห่งสงครามอย่างหลงเฉินเพิ่มเข้ามาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะยกกำปั้นขึ้นมาแล้วซัดไปที่คนผู้นั้นอย่างแรง
“ข้าจะจัดการกับคนชั่วช้าอย่างเจ้าเอง”
“กร่อบ”
เสียงกระดูกร้าวดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน จากนั้นเสียงร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดก็ได้ดังออกมาจากปากของคนผู้นั้น แล้วคนของพรรคฟ้าดินก็ได้หันไปกล่าวกับผู้คนมากมายว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเขากล้าดูถูกศิษย์พี่หลงเฉินของพวกเรา นั่นจึงไม่ต่างอันใดไปจากการเหยียดหยามเกียรติของพวกเราเอง
ยังจำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้ลงมือกับพวกเราไว้อย่างไรบ้าง? ตอนนี้พวกเราก็ได้ชิงธงมาได้แล้ว คงจะหลงเหลือแต่ความอัดอั้นภายในจิตใจที่ยังไม่ได้ปลดปล่อย เช่นนั้นบุกไปพร้อมกันเถิด”
หลังจากที่สิ้นเสียงนั้น เหล่าผู้คนทั้งห้าขุมกำลังที่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับพรรคฟ้าดิน รวมไปถึงคนแบกธงทั้งห้าก็เข้าร่วมการตะลุมบอนกันยกใหญ่ประดุจฝูงวัวคลั่งพุ่งเข้าใส่เหยื่อไม่ยั้ง
เมื่อพบว่าศัตรูกำลังพุ่งเข้ามา ทั้งสองฝ่ายจึงได้เปิดกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องเองก็อดไม่ได้ที่จะเอาแต่มองดูหลงเฉินต่อสู้เพื่อพวกพ้อง พลันก็รีบแยกย้ายกันออกไปต่อกรกับคู่ต่อสู้ของตัวเองในทันที
วงต่อสู้ของหลงเฉินและกู่หยางเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อน พายุหมุนอันบ้าคลั่งซัดทอดร่างของพวกเขาอย่างรุนแรง
ส่วนคนถือธงทั้งห้าต่างก็รายล้อมอยู่ละแวกเดียวกันกับถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิว ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดที่จะเข้ามาช่วงชิงกระบอกธงจากพวกเขาไปได้เลย จึงทำให้พวกเขาวางใจที่จะเข้าตะลุมบอนกับผู้คนเหล่านั้นเพื่อระบายความแค้นที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจมาเนิ่นนาน
เหล่าศิษย์สายตรงของอีกฝ่ายก็ทำเป็นแกล้งตายไปแล้วหนึ่งคน เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งก็ถูกทุบตีจนนอนแผ่อยู่กับพื้น ลมหายใจโรยรินจนแทยจะหยุดลงไปได้ทุกเมื่อ
หลิงหวินจื่อที่ชมการต่อสู้จากบนยอดเขาอันไกลโพ้นก็เอาแต่ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ปล่อยไปเช่นนี้จะดีหรือไม่”
ศิษย์รุ่นนี้มีทั้งผู้ที่แข็งแกร่งและอ่อนแอปะปนกันไป ทว่าที่แข็งแกร่งก็แข็งแกร่งมากจนเกินไป ส่วนคนที่อ่อนแอก็อ่อนแอจนยากที่จะรับได้ ไม่ได้อ่อนแอเพียงแค่พลังฝีมือ ทว่ารวมไปถึงสภาวะจิตใจก็อ่อนแอเป็นอย่างมากด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะผ่านการทดสอบความเป็นตายมาแล้ว ทว่ากลับไม่ได้กระตุ้นจิตวิญญาณของยอดฝีมือที่ดีขึ้นมาได้เลย
ผู้คนของหลงเฉินต่างก็มีสภาวะจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และมั่นคง จึงไม่มีผู้ใดเลยที่คิดจะยอมแพ้แล้วถอนตัวออกจากขุมกำลังเลยแม้แต่คนเดียว
ทว่าคนของกู่หยางกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่เผชิญหน้ากับหลงเฉินก็ทำให้พวกเขาแตกตื่นจนคิดที่จะปกป้องคนถือธงของตัวเองเลยแม้แต่คนเดียว
ถู่ฟางทอดวงตาเป็นประกายมองไปที่การตะลุมบอนภายในสนาม ภายในจิตใจบังเกิดความเกลียดชังจนแทบอยากจะเข้าไปทุบตีตัวบัดซบกลุ่มนั้นให้ตายตกลงไป หากว่านี่เป็นการต่อสู้จริงและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรม แน่นอนว่าคนกลุ่มนั้นคงจะไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาได้แม้แต่คนเดียว
“ทำได้ดี ทำได้ดี” ถู่ฟางพึมพำขึ้นมา
ที่เขากำลังหมายถึงนั้นคือเหล่าผู้ทรยศที่ถูกหลงเฉินสังหารลงไปเมื่อครั้งก่อน คงจะมีเพียงความสามัคคีและความเชื่อใจกันเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนปกป้องซึ่งกันและกัน นี่จึงถือเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคนกลุ่มหนึ่ง
หากความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าถูกทรยศขึ้นมาคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดมากที่สุด หากย้อนกลับไปได้ ถู่ฟางคงจะละเว้นโทษให้หลงเฉิน อีกทั้งยังให้รางวัลตอบแทนเขาอีกด้วย
“พวกเราทำผิดต่อหลงเฉินเป็นอย่างมาก การกระทำของเขาทั้งหมดสมควรที่จะได้รับรางวัลด้วยซ้ำไป ทว่าพวกเรากลับให้บทลงโทษต่อเขาแทน” ถู่ฟางกล่าวแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หลิงหวินจื่อยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เจ้ากล่าวเช่นนี้อีกแล้ว เจ้าไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมของอี้ซู่ได้ วิถีแห่งฟ้าดินย่อมกำหนดเส้นทางของเขาไว้แล้ว แล้วเจ้าคิดว่าที่หลงเฉินถูกเนรเทศไปยังดินแดนรกร้างศิลาวายนั้นเป็นบทลงโทษมากกว่าเป็นรางวัลที่ดีอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อถูกหลิงหวินจื่อกล่าวเตือนสติขึ้นมา ถู่ฟางก็ตระหนักได้ในทันที หลังจากกลับมาจากดินแดนรกร้างศิลาวาย หลงเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีผู้ใดต้านทานได้ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าชีวิตของเขาได้ถูกลิขิตเอาให้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ถู่ฟางก็ไม่คิดจะกล่าววาจาอันใดออกมาอีก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัวต่อวิถีสวรรค์ขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
ผู้อาวุโสซุนจับจ้องไปที่วงแหวนแห่งเทพของหลงเฉินด้วยแววตาลุกวาว ในตอนนี้เขามีพลังยุทธ์ที่เข้าสู่ทางตันแล้ว หากได้วิชากำลังภายในอันแสนประหลาดของหลงเฉินมาก็คงทำให้เขามีความหวังที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไป
เนื่องจากวงแหวนแห่งเทพของหลงเฉินสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้อย่างไร้ขีดจำกัด เช่นนั้นหากเขาได้มาครอบครองก็จะทำให้สามารถทะลวงพลังขึ้นไปได้อย่างไร้กังวล
“ตูม”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาอีกครั้ง หลงเฉินฟาดอาวุธกระดูกแหวกสภาวะอากาศออกเป็นสองส่วน พุ่งเข้าไปหากู่หยางอย่างหนักหน่วงในทันที
“บัดซบ ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ พลังของข้านั้นแข็งแกร่งที่สุด!”
กู่หยางร่ำร้องขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับในพลังอันมหาศาลของหลงเฉินที่สามารถกดดันเขาจนจนมุม พลันก็พุ่งทะยานเข้าไปหาหลงเฉินด้วยหมัดสองข้าง
“เจ้ายังคิดว่าจะสามารถบดขยี้ข้าจนกลายเป็นเนื้อบดได้อีกอย่างนั้นหรือ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชาพร้อมกับฟาดอาวุธกระดูกออกไปอีกครั้งจนกู่หยางต้องถอยหลบไปอีกทางหนึ่ง
เขากับกู่หยางนั้นแตกต่างกัน เขาไม่ได้มีพลังเสริมจากสายโลหิตของสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลอย่างกู่หยาง ฉะนั้นคมหมัดของเขาจึงไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าอาวุธไปได้ อีกทั้งเขายังไม่เคยร่ำเรียนทักษะยุทธ์หรือวิชาหมัดอย่างลึกล้ำมาก่อนเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องมีอาวุธที่แข็งแกร่งมากพอที่จะรับพลังอันมหาศาลของเขาได้
ถึงจะคิดเช่นนั้น ทว่าหลงเฉินก็ไม่ได้หวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของกู่หยาง เมื่อมีวงแหวนแห่งเทพคอยหนุนเสริมพลังแล้ว เขาก็สามารถโจมตีด้วยพลังทั้งหมดได้อย่างราบรื่น
และหลังจากที่เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบเอ็ดได้แล้ว พลังภายในร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น ทว่าเมื่อใช้วงแหวนแห่งเทพออกมาก็เรียกได้ว่าสูญเสียพลังลมปราณลงไปเป็นอย่างมาก
แม้ว่าจะต่อสู้กับกู่หยางได้อย่างยาวนานโดยที่พลังการต่อสู้ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าพลังลมปราณขุมสุดท้ายคงจะต้องเหือดแห้งไปก่อนอย่างแน่นอน
ดวงตาคู่คมแอบลอบมองไปที่ธูปขนาดใหญ่ก็พบว่าธูปเล่มนั้นใกล้จะมอดลงไปมิดก้นถ้วยแล้ว
“ตูม”
หลังจากที่กู่หยางออกหมัดจู่โจมไปหลายครั้งติดต่อกัน เขาก็ได้แต่ถอยหนีไปหลายเซียะเกือบทุกครั้ง สายตาดุร้ายจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาคงจะไม่อาจทนรับผลลัพธ์ที่พลิกผันเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแน่นอน
“ด้วยกระบวนท่าสุดท้ายของข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเนื้อบดเอง”
พลังอักขระที่เคยปกคลุมทั่วร่างกายก็ได้เลือนหายไปช้าๆ กำปั้นทั้งสองข้างกลายเป็นสีดำทมิฬขึ้นมาภายในพริบตาเดียว บนหมัดเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศอันคมกล้า
“พลังหมัดเพลิงตะวัน”
คมหมัดของกู่หยางหอบสายลมพวยพุ่งไปด้านหน้า อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความแค้นอันแรงกล้า สภาวะอากาศโดยรอบกระเพื่อมไปมาอย่างว้าวุ่น เพียงพริบตาก็สามารถปิดทางหลบหนีของหลงเฉินไปจนหมดสิ้น