เสียงอันคุ้นหูดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้คนมากมายตกอยู่ในสภาวะสงบนิ่งลงไปในทันที สายตาทุกคู่เลื่อนไปจนประสานเข้ากับเงาร่างสายหนึ่งที่ค่อยๆ ฝ่าแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าเข้ามาจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน
ที่แผ่นหลังของคนผู้นั้นมีอาวุธยาวขนาดใหญ่ที่คล้ายกับท่อนกระดูกแขวนเอาไว้ บรรยากาศที่เคยปกติกลับตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตที่รุนแรงจนยากจะหายใจได้สะดวก จิตใจของผู้คนเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย และส่วนลึกลงไปภายในจิตวิญญาณปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างท่วมท้น
“หลง……หลงเฉิน”
ทันทีที่คนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้ชัดเจนอย่างถึงที่สุด ดวงตาทั้งสองข้างสาดประกายอันแรงกล้าประดุจคมกระบี่ จมูกเชิดสูงให้ความรู้สึกที่กล้าหาญ ใบหน้าของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความเฉยชา พวกเขาจึงจำได้ทำทีว่าคนผู้นั้นก็คือหลงเฉินนั่นเอง
หลงเฉินกลับมาแล้วจริงๆ หรือ? ผู้คนมากมายแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง หลงเฉินถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่เปรียบเสมือนสุสานของผู้ถูกเนรเทศ ไม่เคยมีศิษย์สายตรงคนใดเคยรอดกลับมาได้ ทว่าหลงเฉินกลับมีชีวิตกลับมาได้ ช่างน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งในขณะนี้หลงเฉินกำลังสวมเกราะหนังที่เปล่งประกายสีทองอร่ามขึ้นมา เมื่อต้องกับแสงตะวันแล้วก็ยิ่งเฉิดฉายเป็นแสงระยิบระยับจับตา ทว่าเมื่อเดินเข้ามาใกล้อีก เหล่าผู้คนก็เห็นว่าเกราะหนังชิ้นถูกสร้างขึ้นมาหยาบๆ ไม่ได้ประณีตบรรจงเฉกเช่นเกราะทั่วไป อีกทั้งยังเป็นหนังของงูเหลือมผืนหนึ่งเท่านั้นเอง
ทว่าที่ทำให้ผู้คนเกิดอาการตื่นตกใจนั่นก็คือหนังของงูเหลือมที่ทอประกายแสงสีทองขึ้นมานั้น แท้ที่จริงแล้วคือหนังของงูเหลือมเขาทองซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์มายาระดับสามที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด หนังของมันมีพลังป้องกันอันเป็นที่เลื่องชื่อจนน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งยวด แล้วเหตุใดหลงเฉินถึงสามารถถลกหนังของมันมาทำเป็นอาภรณ์ไปเสียได้
ส่วนอาวุธขนาดใหญ่ที่พาดอยู่บนแผ่นหลังของหลงเฉินนั้นก็เป็นเขี้ยวข้างหนึ่งของอสูรกายร้ายกาจ เขี้ยวข้างนั้นมีสีขาวหยก มีความยาวกว่าหนึ่งเซียะ และภายในส่วนลึกลงไปได้สะท้อนลวดลายคล้ายกับดอกไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่
ผู้คนมากมายไม่ได้สนใจในลวดลายของดอกไม้เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่ามีอยู่สองคนที่มองออกได้ตั้งแต่แรก
“ไม่เพียงแต่เป็นบุคคลที่ถูกเรียกขานว่าเป็นตำนาน ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือการกลับมาจากสถานที่แห่งความตายอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต”
ถู่ฟางกล่าวแล้วถอนหายใจออกมา เพียงแค่ช่วงเวลาอันสั้นราวสองเดือนกลับทำให้คนผู้นี้มีบรรยากาศที่หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เป็นสภาวะที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นโลหิตอันเยือกเย็นคละคลุ้งไปทั่ว
“คงเป็นเพราะได้สังหารสัตว์มายาไปมากมาย และเหล่าสัตว์มายาที่ตายไปต่างก็หลงเหลือจิตสำนึกของพวกมันเอาไว้บนร่างกายของเขา ไม่อาจกะเกณฑ์ได้เลยว่าเขาได้สังหารสัตว์มายาไปมากเท่าใดถึงได้รวบรวมรังสีสังหารที่น่าหวาดกลัวมากถึงเพียงนี้ได้
ส่วนหนังของงูเหลือมเขาทองที่สวมใส่อยู่นั้นก็ไม่ได้น่าตกใจเท่าเขี้ยวของพยัคฆ์กระบี่มังกรโลหิตที่เป็นสัตว์มายาระดับสี่ต่างหากที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ตก
หากเป็นไปตามปกติแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาครึ่งปีจึงจะกลับไปมาได้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสัตว์มายาระดับสามอยู่นับไม่ถ้วน ในแต่ละวันจึงต้องหลบซ่อนอย่างระมัดระวัง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินทางกลับมาได้รวดเร็วถึงขั้นนี้”
หลิงหวินจื่อปรายสายตามองยังเงาร่างที่เปี่ยมไปรังสีสังหารปกคลุมอยู่ พลันก็ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เด็กน้อยผู้นี้ช่างฉลาดเฉลียวเกินไปแล้ว ถึงกับสังหารงูเหลือมเขาทองลงไปได้ ย่อมไม่ใช่แค่เพียงพลังเท่านั้น ทว่าสมควรที่จะเป็นกลยุทธ์อันปราดเปรื่องอย่างแน่นอน
ส่วนอาวุธที่อยู่บนแผ่นหลังนั้นเป็นเพียงเขี้ยวที่ถูกถอดออกมานานแล้ว ทว่าบรรรยากาศบนั้นกลับยังซ่อนพลังทำลายของสัตว์มายาระดับสี่เอาไว้อย่างท่วมท้น ในมุมมองของสัตว์มายาด้วยกันจึงเป็นสิ่งที่ไวต่อประสาทสัมผัสของพวกมันเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลงเฉินถึงกลับมายังหมู่ตึกได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้”
ถู่ฟางเข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันทีว่าบนอาวุธชิ้นนั้นแฝงพลังทำลายของสัตว์มายาระดับสี่เอาไว้จึงทำให้ส่งแรงกดดันต่อสัตว์มายาตัวอื่นๆ เพียงแค่ประสาทสัมผัสได้รับรู้ก็รีบหลบซ่อนตัวในทันที
“บรรยากาศบนร่างกายของหลงเฉินมีสภาวะที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่งอยู่ จะคล้ายกับเป็นพลังสูงสุดของขอบเขตก่อโลหิตก็ไม่ใช่ เพราะกระแสโลหิตยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวเลยด้วยซ้ำไป” ถู่ฟางสงสัยในพลังการฝึกยุทธ์ของหลงเฉิน
“อือ น่าแปลกจริงๆ ทว่าต่อจากนี้ไปข้าเชื่อว่าจะได้เห็นการแสดงที่น่าชมเป็นอย่างยิ่งแล้ว มาเถิด มานั่งดื่มชากัน”
เมื่อกล่าวจบ หลิงหวินจื่อก็รินชาหอมใส่ชาม มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ภายในจิตใจเกิดอาการลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่หลงเฉินปรากฏตัวก็สามารถเปลี่ยนแปลงบรรยากาศทั้งหมดให้ดูสดชื่นแจ่มใสขึ้นมา
เมื่อหลงเฉินหยุดฝีเท้าลงต่อหน้าผู้คนมากมาย ถังหว่านเอ๋อก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดจะทน “หลงเฉิน……ฮือฮือ”
ร่างอรชรอ้อนแอ้นโผเข้ากอดหลงเฉินแล้วร่ำร้องออกมาอย่างไม่อายสายตาผู้ใด ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ภายในจิตใจของนางถึงให้ความสำคัญกับหลงเฉินมากมายถึงเพียงนี้
“เหวยเหวย ผู้คนจ้องมองอยู่มากมายนัก เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของข้าได้นะ” หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แล้วกล่าวออกไป ทว่าภายในจิตใจกลับบังเกิดความตื้นตันเอ่อล้นขึ้นมาเหลือคณานับ
“เจ้าตัวบัดซบ”
ถังหว่านเอ๋อทุบตีหลงเฉินเบาๆ แล้วปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยท่าทีเขินอาย ใบหน้าอันงดงามหมดจดทอสีแดงก่ำขึ้นมาเป็นสาย
เยี่ยจื่อชิวเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของหลงเฉินด้วยใบหน้าที่เย็นเยียบเฉกเช่นปกติ ทว่าดวงตาคู่งามของนางกลับแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาโอบกอดกันสักหน่อยดีหรือไม่ อย่าได้เก็บความคิดถึงเอาไว้เลย” หลงเฉินกล่าวแล้วหัวเราะฮาฮาออกมา
เยี่ยจื่อชิวจ้องมองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เจ้ากลับมา”
เห้อ เอาเถิด ไม่ว่าเมื่อใดเยี่ยจื่อชิวก็ยังไม่รู้จักความขำขันอยู่ดี หลงเฉินจึงรีบคลายมือที่กางออกด้วยความกระอักกระอ่วนรัญจวนใจ
“พี่หลง ยอดไปเลย พวกเราเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าท่านจะต้องมีชีวิตกลับมาอย่างแน่นอน”
ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางรีบวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีเมื่อเห็นหลงเฉินหวนกลับมาอีกครั้ง
“ชิ มีชีวิตรอดกลับมาได้แล้วมันอย่างไรกันเล่า? ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นได้แค่สุนัขที่ปัสสาวะไปตามเส้นทางอันยาวไกลก็เท่านั้น เมื่อกลับมาก็ยังคงเป็นแค่ขยะที่อยู่ขอบเขตก่อโลหิตเช่นเดิม มีประโยชน์อันใดกัน?” ชีซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมาเป็นสาย
ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องต่างก็มีโทสะขึ้นมายกใหญ่ หลงเฉินจึงห้ามปรามเอาไว้ แล้วหันไปกล่าวกับชีซิ่งว่า “ปากของเจ้าก็ยังเหม็นเหมือนเคย ทว่าหลังจากที่ข้าไปยังดินแดนรกร้างศิลาวายมาก็ได้รับสิ่งของล้ำค่ามามากมาย จึงอยากจะขอบคุณพวกเจ้าสักหน่อย”
ถึงแม้ว่าใบหน้าจะเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าในแววตากลับทอประกายความเย็นเยียบขึ้นมาไม่หยุด เมื่อรวมกับบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวบนร่างกายแล้วก็คล้ายกับว่ามีเทพแห่งความตายปรากฏตัวขึ้น ทำให้ผู้คนมากมายเกิดความหนาวเหน็บไปถึงกระดูก
“ชิ ก็แค่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุดเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นได้แค่ผักปลาในตลาด ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าหากเจ้ายืนขวางทางข้า ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเนื้อบดเอง” กู่หยางกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มือข้างหนึ่งยกกำปั้นชี้ไปทางหลงเฉินหวังจะท้าทาย
หลงเฉินไม่ตอบกลับไปแต่อย่างใด พลันก็เลื่อนสายตามองไปทางผู้อาวุโสซุน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ผู้อาวุโสซุน ข้ามีชีวิตรอดกลับมาได้คงทำให้เจ้าตกใจมากจนใบหน้าเขียวคล้ำเลยสินะ”
แน่นอนว่าผู้อาวุโสซุนทั้งแตกตื่นและตกใจระคนกันหลังจากที่เห็นว่าหลงเฉินปรากฏตัวขึ้นมาอย่างปลอดภัย “เฟิงไห่ทำภารกิจล้มเหลวอย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ พลังการฝึกยุทธ์ของเฟิงไห่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายเชียวนะ ไม่มีทางที่หลงเฉินจะสังหารเขาลงได้อย่างแน่นอน
หลงเฉินเองก็กลับมาแล้ว ทว่าเขายังไม่กลับมา มีความเป็นไปได้กว่าแปดส่วนว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างการเดินทาง หรือไม่ก็อาจจะเจอกับสัตว์มายาระดับสี่ก็เป็นได้”
ผู้อาวุโสซุนครุ่นคิดอย่างวุ่นวาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเชื่อได้ลงว่าหลงเฉินจะสังหารเฟิงไห่ได้ หากเฟิงไห่พบหลงเฉินคงจะไม่ปล่อยให้มีชีวิตรอดกลับมาได้แน่นอน และหากเป็นไปตามการคาดเดาของเขา เรื่องที่ส่งเฟิงไห่ไปลอบสังหารหลงเฉินคงจะไม่ถูกเปิดเผยขึ้นมา
ทว่าเหตุใดหลงเฉินถึงได้กล่าววาจาราวกับมีเลศนัยเช่นนั้น มันทำให้จิตใจของเขาเต้นระรัวอย่างรุนแรง ความรู้สึกสงสัยใคร่รู่เอ่อล้นจนอยากจะไถ่ถามออกไปให้สิ้นเรื่อง เพราะหากทางหมู่ตึกทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทางหมู่ตึกจะต้องลงโทษเขาอย่างหนักหนาสาหัส แม้แต่ต้องตายไปก็คงจะไร้การกลบฝังร่างเป็นแน่
“เป็นอะไรไป? เหตุใดถึงได้กระอักกระอ่วนถึงเพียงนั้นกัน? หรือว่าเจ้าอยากจะบอกกล่าวอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ?” มีหรือที่หลงเฉินจะไม่ทราบว่าผู้อาวุโสซุนกำลังคิดอันใดอยู่
ทว่าตอนนี้เขาแค่เพียงอยากจะปรามตาเฒ่าผู้นั้นให้หวาดกลัวเสียบ้างก็เท่าใด เพราะหากเปิดโปงเรื่องนั้นขึ้นมาคงจะเปล่าประโยชน์ เขาเองก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะไปกล่าวหาว่าผู้อาวุโสได้ส่งศิษย์พี่เฟิงไห่ไปสังหารเขางถึงดินแดนรกร้างศิลาวาย
ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ทว่าการจะกระทำเช่นนั้นย่อมไม่อาจทำให้ผู้อาวุโสซุนเผยหางออกมาได้ มีแต่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้น ทว่าเขาย่อมไม่ละเว้นคนที่ปองร้ายต่อชีวิตของเขาให้หลุดรอดไปได้อย่างแน่นอน
“บังอาจ เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับผู้อาวุโสเช่นข้าอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวเสียงดังด้วยความเกรี้ยวกราด ตัวเองนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสของหมู่ตึก ควรจะได้รับความเคารพนอบน้อมจากเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ทว่ากลับกำลังถูกลูกศิษย์ผู้ต่ำต้อยกล่าววาจาเย้ยหยันออกมา มีหรือที่จะทนรับฟังได้โดยไม่มีโทสะ
“เหอะ ข้าไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเจ้า ข้าเพียงถามออกไปด้วยความห่วงใยว่าเหตุใดเจ้าถึงได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อเห็นข้ากลับมา” หลงเฉินแสยยิ้มขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
เขาสัมผัสได้ว่าภายในจิตใจของผู้อาวุโสซุนเริ่มร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ตาเฒ่าผู้นี้ช่างมีความสามารถในการแสดงออกที่แนบเนียนเสียจริง ข้าจะรอคอยวันที่เจ้าไม่อาจที่จะปั้นสีหน้าต่อไปได้แล้วค่อยคิดบัญชีกัน
เมื่อพบว่าผู้อาวุโสซุนยังคงมีโทสะอย่างไม่เสื่อมคลาย ศิษย์พี่ว่านจึงรีบกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “หลงเฉิน ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็รีบกลับเข้าขุมกำลังไปเสียเถิด ศึกการต่อสู้จัดอันดับกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลงเฉินหันไปพยักหน้าน้อยๆ ต่อศิษย์พี่ว่านด้วยความเคารพนับถือ แล้วหันมาถามถังหว่านเอ๋อว่า “สภาพการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถังหว่านเอ๋อที่กำลังยิ้มร่าอยู่ก็ได้ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงในทันที จากนั้นก็อธิบายทุกอย่างให้หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่งถังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ รวมไปถึงความแข็งแกร่งของกู่หยาง
“หึหึ พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว ช่วยพาข้าโบยบินอย่างสุขสำราญด้วยเถิด” กัวเหรินรีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อสบโอกาส
หลงเฉินหัวเราะฮาฮาออกมาแล้วตบไปที่บ่าของกัวเหริน “วางใจเถิด การดูถูกเหยียดหยามทั้งหมดจะถูกส่งคืนกลับไปพร้อมกับดอกเบี้ยอย่างสาสม และเจ้าก็จะต้องรับหน้าที่แบกกระบอกธงอีกครั้งหนึ่งนะ”
“พี่ใหญ่!” กัวเหรินตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลังการต่อสู้ของเขายังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร หากให้เขาเป็นคนแบกกระบอกธงอีกครั้งคงจะต้องถูกทุบตีและถูกแย่งธงไปอย่างง่ายดายแน่นอน
“วางใจเถิด ตอนนี้ต่างจากตอนนั้น เจ้าไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว ข้าจะทำให้พวกเขาคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เจ้ารับธงเอาไว้เอง” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว
ในขณะที่กัวเหรินกำลังจะกล่าวบางอย่างขึ้นมา ศิษย์พี่ว่านก็เริ่มจุดธูปเสียแล้ว หลงเฉินเองก็หันไปกำชับกับถังหว่านเอ๋อให้ใช้วิธีชิงธงเหมือนกับครั้งนั้น
“ตึง”
เสียงระฆังดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ ทันใดนั้นศิษย์สายตรงทั้งหมดก็ได้ทะยานร่างออกไปยังจุดปักธงอย่างรวดเร็ว มือทุกข้างคว้าไปที่ธงผืนน้อยอย่างร้อนรน ดวงตาคู่คมมองไปยังการเคลื่อนไหวเหล่านั้นแล้วก็สัมผัสได้ว่าการแข่งขันในครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าครั้งนั้นเป็นอย่างมาก เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ได้เก็บธงผืนน้อยทั้งหมดไปจนสิ้น
ส่วนหลงเฉินนั้นช่วงชิงธงมาได้แค่ห้าผืนเท่านั้น เมื่อธงได้ถูกกวาดไปจนเรียบแล้ว ทั่วทั้งบริเวณด้านล่างก็เริ่มเกิดความโกลาหลอย่างบ้าคลั่งประดุจคลื่นซัดดินถล่มอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งตะบึงแยกออกไปทางด้านข้างของสนามในทันที
ผู้นำของคนกลุ่มนั้นคือกวานเหวินหนานที่กำลังทอแววตามองมาอย่างมีนัยว่าข้าจะไม่ขอพูดให้มากความ ทว่าจะขอลงมืออย่างรวดเร็วแทน ในครั้งนี้เขาได้หลบเลี่ยงออกไปไกลกว่าครั้งก่อน นั่นก็เป็นเพราะกลิ่นอายโลหิตที่ประดับอยู่บนร่างกายของหลงเฉิน
เยี่ยจื่อชิว ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางต่างก็เข้าห้อมล้อมขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อในทันที พร้อมกับจัดตำแหน่งตั้งเป็นขบวนค่ายกลอย่างรวดเร็ว
และในขณะที่จัดค่ายกลเสร็จเรียบร้อยแล้ว กู่หยางและพวกพ้องก็ได้ตรงเข้ามาพร้อมกับเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งผืนฟ้ามาทางพวกเขา
“กัวเหริน” หลงเฉินขานเรียกเสียงดัง
“พี่ใหญ่ ข้าอยู่ตรงนี้”
“จงจำไว้ให้ดี หากมีคนเอาธงมาให้เจ้าโดยไม่คุกเข่าลงกับพื้นแล้วใช้ทั้งสองมือยื่นให้ จงอย่ารับไว้ เข้าใจหรือไม่?”
ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็ชักอาวุธกระดูกขนาดใหญ่ออกมา แล้วพุ่งทะยานไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ถังหว่านเอ๋อ เยี่ยจื่อชิว และศิษย์สายตรงคนอื่นต่างก็พุ่งตัวติดตามออกไปด้วยเช่นกัน
การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!