หลังจากเห็นคัมภีร์เป็นตายในมือของเยี่ยเทียน เรธเวทก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะมีของศักดิ์สิทธิ์คุ้มกายอยู่ แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ของศักดิ์สิทธิ์นั้นจะสามารถปกป้องตนจากหนังสือเล่มนั้นได้หรือไม่ กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า
“หนังสือเล่มนี้เป็นของชั่วร้าย คุณอย่าได้ใช้มันอีกเป็นอันขาด!”
“ได้ ผมจะไม่ใช้ พวกคุณสามคนเข้ามาได้เลย!”
เยี่ยเทียนติดตามอาจารย์หลี่ซั่นหยวนออกท่องยุทธภพตั้งแต่เด็ก เคยพบคนประเภทต่างๆ ทั้งวิญญูชนและทุรชนมานักต่อนักแล้ว แต่คนที่เขารังเกียจที่สุดก็คือคนประเภทข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรงอย่างเรธเวทนั่นเอง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีความโลภอยากได้คัมภีร์เป็นตายของเขา แต่ก็ยังพยายามจะวางท่าราวกับผู้ทรงธรรม สีหน้าท่าทางแบบนั้นเยี่ยเทียนเห็นแล้วคลื่นไส้จริงๆ
“ถึงอย่างไรเราก็เป็นคนจีน ตาแก่พวกนั้นก็นับว่าพอจะให้เกียรติเราอยู่ ทำอะไรให้ประเทศชาติสักหน่อยก็แล้วกัน!”
เมื่อเห็นคนสามคนในชุดเกราะนักรบสมัยยุคกลางเดินลงมาจากบนอัฒจันทร์ เยี่ยเทียนก็หรี่ตาเพ่งมอง คนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขาต่างรู้กันดีว่า ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนแสดงกิริยาเช่นนี้ หมายความว่าเขาได้เกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว
เยี่ยเทียนเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าไปในอกเสื้อ เดินไปที่ตั้งโต๊ะไว้ริมสนามประลอง แล้วลงนามบนข้อตกลงที่ร่างไว้เรียบร้อยแล้ว
อัศวินโต๊ะกลมสามคนนั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากในประเทศอังกฤษและทวีปยุโรป หากไม่มีข้อตกลงฉบับนี้ ลำพังแค่ตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแห่งสำนักวาติกันของเรธเวท ก็เพียงพอที่จะทำให้บรรดาสาวกผู้คลั่งไคล้ของสำนักวาติกันตามมาหาเรื่องกับเขาได้แล้ว
“คุณเยี่ย ได้ยินมานานแล้วว่า ประเทศจีนมีนักสู้ที่มีความสามารถมหัศจรรย์ต่างๆ อยู่จำนวนมาก ที่ผ่านมายังไม่เคยได้ไปขอรับการชี้แนะเลย นับว่าน่าเสียดายจริงๆ ต้องขอให้คุณเยี่ยโปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย!”
หลังจากพวกเรธเวททั้งสามคนลงนามบนข้อตกลงเช่นเดียวกันแล้ว ก็มายืนประจันหน้ากับเยี่ยเทียน โดยตั้งแถวคล้ายจะเป็นรูปสามเหลี่ยมโอบล้อมเยี่ยเทียนไว้ เชื่อว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งสามจะต้องใช้วิธีกระหนาบโจมตีเป็นแน่ และนี่ก็เป็นยุทธวิธีที่เรธเวทและสหายเก่าทั้งสองใช้มาหลายร้อยปีแล้ว
“เยซูคริสต์มีชื่อเสียงที่ยุโรปมาก ไม่รู้ว่าเป็นแค่การกุขึ้นมา หรือว่ามีความสามารถจริงๆ กันแน่นะ?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ แล้วทำหน้าผิดหวัง
“น่าเสียดายจริงที่เราไม่ได้เกิดเร็วอีกหน่อย จะได้เห็นความสง่างามของบรรดาผู้อาวุโสในสมัยโน้นกับตาตัวเองบ้าง!”
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนเพียงแสร้งพูดไปอย่างนั้น นี่เป็นคำพูดจากใจของเขาจริงๆ ปัจจุบันโลกนี้กำลังอยู่ในยุคธรรมตอนปลาย ปราณวิเศษในฟ้าดินร่อยหรอ นอกจากคนเฒ่าคนแก่ที่ใช้พลังแห่งศรัทธาหรือพลังอื่นๆ ช่วยให้มีชีวิตอยู่มาได้เป็นพันปีเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแวดวงผู้บำเพ็ญพรต หรือผู้มีพลังพิเศษในต่างประเทศ ก็น้อยนักที่จะมีคนรุ่นใหม่เข้าสู่วงการนี้
แต่ในยุคสมัยที่พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่นั้นเป็นยุคที่มียอดบุคคลกำเนิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางโลกตะวันตกหรือในประเทศจีน ในยุคสมัยนั้นก็จะต้องมีเรื่องราวอันเฉิดฉายอัศจรรย์เกิดขึ้นมามากมายแน่นอน ทำให้ผู้คนอดใฝ่ฝันถึงไม่ได้
“โอหัง มาเรียกพระนามของพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดขึ้น อัศวินที่อยู่ข้างๆ เรธเวทนายหนึ่งก็แผดเสียงขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“เขาเป็นศาสดาของพวกคุณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมนี่!”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างเจิดจ้า พระเยซูแม้จะมีชื่อเสียงขจรขจาย แต่ท่านก็เป็นเช่นเดียวกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า คือต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ทรงอิทธิฤทธิ์กันทั้งสองท่าน บุคคลลักษณะเดียวกันนี้ที่จีนก็มีอยู่มากมาย เยี่ยเทียนเชื่อว่า ปรมาจารย์จางซันเฟิงจะต้องแข็งแกร่งไม่แพ้ทั้งสองท่านนั้นแน่นอน
เพียงแต่ว่า เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรผู้ยิ่งใหญ่ที่จีนนั้น ส่วนมากมักจะเร้นกายอยู่ตามป่าเขา น้อยนักที่จะปรากฏกายในโลกมนุษย์ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรยุคโบราณเหล่านั้นเลย แม้แต่พลังฝีมือระดับเยี่ยเทียนเอง ถ้าอยากจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก ขอเพียงเขาต้องการ ก็สามารถที่จะสร้างชื่อเสียงในลักษณะเดียวกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ได้เช่นกัน
ดังนั้นสำหรับยอดบุคคลในกาลก่อนเหล่านั้น เยี่ยเทียนอย่างมากก็เรียกได้ว่าพอจะนับถืออยู่บ้างเท่านั้น แต่ถ้าจะให้เขาไปกราบไหว้บูชาละก็ คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ผู้บำเพ็ญพรตก็คือผู้ฝืนลิขิตสวรรค์ ไม่กลัวฟ้าดินผีสางเทวดา แล้วทำไมจะต้องไปบูชาบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากต่างประเทศด้วยเล่า?
“จิตวิญญาณของคุณถูกมารชั่วร้ายกัดกินไปแล้ว จงรับการชำระล้างจากแสงแห่งพระเจ้าเสียเถิด!”
เรธเวทตาเป็นประกายเย็นวาบ เท้าซ้ายก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือขวาชักดาบยาวที่มีกระบังมือทรงไม้กางเขนเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว ขณะที่เขาเริ่มเคลื่อนที่ อัศวินทั้งสองที่อยู่ซ้ายขวาก็ชักดาบยาวและก้าวออกมาพร้อมกัน ดาบยาวทั้งสามเล่มชี้ไปที่เยี่ยเทียน การเคลื่อนไหวสอดคล้องกันอย่างชำนาญยิ่งนัก
“ก็ดูจะมีวิชาอยู่เหมือนกันนี่…”
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสาม เยี่ยเทียนก็หนังตากระตุกขึ้นมา ถ้าใช้มาตรฐานของผู้บำเพ็ญพรตมาประเมินระดับของทั้งสามคนนี้ เรธเวทก็จะมีพลังฝีมือประมาณระดับเซียนเทียนช่วงกลาง ส่วนอีกสองคนนั้นก็อยู่ระดับเซียนเทียนช่วงต้น บางทีสาเหตุที่พวกเขามีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้ อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับพลังแห่งศรัทธาที่ก่อตัวอยู่ภายในกายก็เป็นได้
ถ้าเป็นการสู้กันตัวต่อตัว เยี่ยเทียนต้องสามารถปลิดชีพอัศวินคนใดคนหนึ่งภายในชั่วอึดใจได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อสามคนร่วมมือกันแล้ว พลังกลับเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างล้นหลาม ดูคล้ายกับว่าอาจจะต้านทานเยี่ยเทียนได้อย่างสูสี นอกจากนี้ ดาบที่เรธเวทถืออยู่เล่มนั้นก็ทอประกายเย็นวาบออกมาจางๆ แสดงว่าไม่ใช่อาวุธธรรมดา
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในที่ประชุมนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา เท้ากางออกตั้งท่าในลักษณะที่ไม่ตรงกับแบบแผนใดๆ เลย ในเวลานับร้อยนับพันปีที่ผ่านมานี้ อำนาจจากต่างชาติไม่สามารถเข้าสู่ประเทศจีนได้ก็จริงอยู่ แต่ผู้บำเพ็ญพรตในประเทศจีนก็ไม่เคยไปพัฒนาเติบโตที่ต่างประเทศเช่นกัน ว่าไปแล้วก็พอจะมีสาเหตุบางอย่างอยู่
“ฆ่า!”
เรธเวทตวาดออกมาคำหนึ่ง แล้วกวัดแกว่งดาบยาว ฟันตรงไปทางเยี่ยเทียนอย่างซึ่งๆ หน้า กลายเป็นการใช้ดาบยาวด้วยวิธีเดียวกับการใช้ดาบใบกว้าง เสียงหวีดหวิวดังแหวกอากาศไป ปราณพิฆาตมหาศาลแผ่ล้นออกมาจากตัวดาบ แสดงว่าดาบยาวเล่มนี้คงเคยดื่มโลหิตมนุษย์มาแล้วไม่ใช่น้อยๆ
ขณะเดียวกันนั้นเอง ดาบยาวที่อยู่ในมือของอัศวินอีกสองนายก็แทงไปที่ชายโครงของเยี่ยเทียนราวกับอสรพิษ ทำให้เขาไร้หนทางหลบหลีก ในสายตาของคนอื่นๆ ดาบยาวทั้งสามเล่มได้ปิดผนึกที่ว่างด้านหน้าของเยี่ยเทียนไว้ทั้งหมดแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกนอกจากถอยไปข้างหลัง
ดาบยาวยังไม่ทันมาถึงตัว เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ถึงปราณดาบที่พุ่งมาปะทะหน้า และรู้สึกใจหายวาบ แม้จะบำเพ็ญจนถึงระดับเจี่ยตันแล้ว แต่เขาก็ยังมีกายเป็นเลือดเนื้ออยู่ ดาบที่มีปราณแกร่งกร้าวเช่นนี้จึงอาจจะทำให้เขาบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย
เพียงแต่เยี่ยเทียนตั้งใจไว้แล้วว่า ศึกครั้งนี้เขาจะต้องประกาศศักดาให้ได้ จึงไม่คิดที่จะถอยหลัง ยามนั้นลำตัวหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว นิ้วชี้ทั้งซ้ายและขวางอแล้วดีดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เกิดเสียง “ติ๊ง” ดังกังวานขึ้นสองครั้งติดต่อกัน ดาบสองเล่มถูกดีดจนกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว
หลังจากดีดนิ้วไปสองครั้งนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้ถอยหลังแต่กลับรุกไปข้างหน้า ร่างกระโจนไปถึงข้างหน้าเรธเวทอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แขนขวางอเข้าหาลำตัว ส่งข้อศอกจู่โจมไปที่ลำคอของเรธเวท การเคลื่อนไหวนั้นแม้จะดูไร้ลำดับกฎเกณฑ์ แต่กลับใช้ได้ผลอย่างยิ่ง
“โอหัง!”
ชีวิตนี้เรธเวทเคยรบพุ่งมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ เคยใช้อาวุธมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นประเภทมีดินปืนหรือไม่มีดินปืน และเคยผ่านการต่อสู้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง จึงมีประสบการณ์โชกโชนอย่างยิ่ง เขาเบี่ยงร่างออกด้านข้าง ใช้ไหล่ซ้ายปะทะรับศอกของเยี่ยเทียน แล้วสะบัดมือขวาออกไป ดาบยาวที่ฟันออกไปกลางอากาศจึงกลับโค้งงออย่างพิสดาร อ้อมแทงไปที่กลางหลังของเยี่ยเทียน
การเคลื่อนไหวของเรธเวทนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แต่ลางสังหรณ์ในใจทำให้กล้ามเนื้อที่หัวไหล่ของเขาเคลื่อนไหว หัวใจก็พลันหดตัวลงสู่เบื้องล่างไปสิบกว่าเซนติเมตร ขณะที่ศอกขวาของเยี่ยเทียนโจมตีถูกไหล่ของเรธเวท ดาบยาวนั้นก็แทงเข้าไปในไหล่ซ้ายของเขา
เสียง “ตึง” ดังขึ้นหนักๆ ร่างของทั้งสองปะทะแล้วแยกจากกันทันที เรธเวทเคลื่อนร่างออกไปทางขวาเจ็ดแปดก้าว ส่วนเยี่ยเทียนก็โถมออกไปข้างหน้าเพื่อสลายปราณดาบที่ทิ่มแทงเข้ามาในร่าง
หลังจากร่างหยุดยืนนิ่งได้แล้ว เยี่ยเทียนก็หายใจเข้าลึกๆ ปราณแท้พลุ่งพล่านขึ้นมาจากจุดตันเถียน เพียงชั่วพริบตาก็ขับปราณดาบที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกายนั้นออกไปได้ ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อไหล่ด้านหลังก็ขยายและหดตัว ปิดปากแผลนั้นจนสนิท
“ดี วิชาเยี่ยม คนคนเดียวมีของวิเศษอยู่ถึงสองชิ้น ผมประมาทคุณไปจริงๆ ศาสนาคริสต์มีสาวกได้ตั้งมากมายปานนั้น แล้วก็สืบทอดต่อมาได้นานขนาดนี้ ที่แท้ก็มีความพิเศษอยู่จริงๆ ด้วย!”
บนหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏความโมโหออกมาเล็กน้อย เขาพบว่า ในระหว่างการประมือครั้งนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่า เพราะหลังจากที่เรธเวทถูกศอกนั้นโจมตีไปแล้ว ร่างของเขาก็เปล่งรัศมีสีขาวออกมาปกคลุมไว้หนึ่งชั้น แม้ว่าจะถอยไปไกลกว่าเยี่ยเทียน แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย
“หลักคำสอนของพระองค์ พวกคุณจะมาเข้าใจได้อย่างไรกัน?”
ท่ามกลางม่านรัศมีสีขาวที่ปกคลุมร่างกายอยู่นั้น ชุดเกราะสีขาวแบบยุคกลางชุดนั้นยิ่งขับเน้นให้เรธเวทดูศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น เขายื่นมือออกมาสะบัดเบาๆ โลหิตที่ไหลหยดลงมาจากปลายดาบยาวในมือขวานั้น กลับถูกชุดเกราะดูดเข้าไปจนหมด
“คุณเยี่ย ขอเพียงคุณส่งมอบหนังสือชั่วร้ายเล่มนั้นมา ผมเชื่อว่า…พระองค์ต้องให้อภัยคุณแน่นอน!”
เรธเวทกล่าวขึ้นอย่างเที่ยงธรรมและสง่างาม แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ยามนี้ในใจของเรธเวทก็กำลังตื่นตระหนกอยู่ไม่หาย ชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่และดาบยาวในมือเล่มนั้นมีที่มาไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในของศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในสำนักวาติกัน และมีตำนานว่าเคยเป็นสมบัติของสาวกทั้งสิบสองของพระเยซูในอดีต
ดาบยาวนั้นเป็นอาวุธโจมตีหลัก แต่ขณะที่แทงเยี่ยเทียนไปนั้น เรธเวทกลับรู้สึกเหมือนกำลังแทงปุยฝ้ายกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ได้แต่ทิ่มแทงกายเนื้อของเยี่ยเทียนเท่านั้น
ชุดเกราะเป็นเครื่องป้องกันหลัก แต่เมื่อถูกศอกนั้นจู่โจม พลังแห่งศรัทธาที่แฝงอยู่ภายในชุดเกราะกลับแทบจะถูกตีสลายไป แม้จะมีชุดเกราะคุ้มกายอยู่ แต่เรธเวทกลับยังคงรู้สึกว่าอวัยวะภายในปั่นป่วนไปพักหนึ่ง จนแทบจะกระอักโลหิตออกมาจากปาก
ทั้งๆ ที่ครอบครองของศักดิ์สิทธิ์อยู่สองชิ้น แต่เรธเวทกลับเกือบจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะถอนตัว ถ้าเยี่ยเทียนยอมส่งมอบหนังสือเล่มนั้นมา เขาก็ไม่อยากจะต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเยี่ยเทียนอีก คนเรายิ่งมีชีวิตอยู่มานานเท่าไร ก็มักจะเกิดความรักถนอมในชีวิตของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
“อย่างที่เขาว่าคนตายเพราะเห็นแก่สมบัติ เหมือนนกตายเพราะเห็นแก่กินแท้ๆ จนป่านนี้แล้วยังจะคิดถึงคัมภีร์เป็นตายอีกรึ?”
ตั้งแต่ติดตามอาจารย์ออกท่องยุทธภพสมัยอายุสิบขวบต้นๆ เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะเคยถูกผู้อื่นทำร้ายในระหว่างการต่อสู้ได้มากขนาดนี้เป็นครั้งแรก รอยยิ้มบนใบหน้าแลดูเบิกบานยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อเขาอ้าปากพ่น ประกายสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาโคจรรอบกายเยี่ยเทียน
“พวกคุณมีดาบ ผู้แซ่เยี่ยเองก็มีมีดเหมือนกัน อยากจะดูหน่อยซิว่า ของใครจะคมกว่ากัน!”
เยี่ยเทียนตั้งจิต มีดบินคู่กายกรีดผ่านอากาศเป็นทาง อัศวินสองนายที่ยืนอยู่ข้างๆ เรธเวทไม่ทันได้มีปฎิกิริยาโต้ตอบใดๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ และมีกลิ่นคาวเลือดโชยมาปะทะจมูก
เรธเวทประเมินสถานการณ์ได้รวดเร็วกว่าสหายทั้งสองมาก ขณะที่เยี่ยเทียนปล่อยมีดบินออกมา ในใจก็รับรู้ได้ถึงอันตรายแล้ว จึงรีบชูดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือขึ้นมาทันที
แต่เมื่อได้ยินเสียงดัง “เคร้ง” เรธเวทก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อพบว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งศรัทธาจากสาวกอย่างไม่มีวันหมดสิ้นนั้นถึงกับหักครึ่งไปแล้ว จากนั้นความเย็นเยียบสายหนึ่งก็แผ่กระจายตั้งแต่หว่างคิ้วถึงปลายจมูก เรื่อยไปจนถึงช่วงอกและช่วงท้องของเรธเวท
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนปล่อยมีดบินออกมาจู่โจมคู่ต่อสู้ จนกระทั่งเก็บกลับไปนั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเพียงชั่วสายฟ้าแลบเท่านั้น กระทั่งฝูงชนที่ชมการประลองอยู่โดยรอบยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่า ประกายแสงสีขาวนั้นคืออะไรกันแน่
………………………………..