“แค่นี้เหรอ? ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่มันงานประชุมอะไรกัน? อย่างกับปล่อยให้คนเหล่านี้สู้กันเอง แต่คนที่พอมีความสามารถคงไม่มีใครที่ไม่ดุดันดื้อด้าน หากไม่คุมไว้สักหน่อย เกรงว่างานประชุมใหญ่ครั้งนี้จะกลับกลายเป็นสมรภูมิเลือดแห่งหนึ่ง
อีกทั้งเจตนาเดิมของแต่ละประเทศ คือต้องการใช้การประชุมใหญ่ครั้งนี้ มาสำแดงแสนยานุภาพของประเทศตนเอง เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่อยากให้การประชุมครั้งนี้สับสนวุ่นวายหรอกกระมัง? หากเป็นอย่างนั้นการพบปะหารือคงหมดความหมายโดยสิ้นเชิง
“มีอีกครับ คุณเยี่ย ตอนท้ายสุดของงานประชุมจะมีการโหวตจากผู้เข้าร่วม คัดเลือกผู้แข็งแกร่งที่สุดสามคนออกมา”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยังคงจ้องมองตัวเอง กู้ต้าจวินก็แบมือ กล่าวว่า
“เท่านี้แหละครับ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว อีกทั้งในระหว่างการประชุม ตัวแทนของแต่ละประเทศสามารถแลกเปลี่ยนท้าดวลกันได้อย่างอิสระ หากฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธล่ะก็ เขาจะไม่ได้รับผลโหวตในตอนท้ายสุด
แน่นอนว่า หลังจากรับคำท้าแล้ว ผู้เข้าร่วมจะสามารถปฏิเสธการท้าดวลครั้งต่อไปและพักผ่อนได้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง!”
“ฐ็ษเอ๊ย นี่มันบังคับให้คนมาสังหารโหดกันนี่หว่า?”
หลังจากได้ยินคำพูดของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนก็อดเหลือกตามองบนไม่ได้ ดูท่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากแต่ละประเทศแม้จะได้รับความสำคัญ แต่เกรงว่าก็คงถูกผู้มีอำนาจในแต่ละประเทศหวาดระแวงไม่แพ้กัน การจัดงานประชุมเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครั้งนี้ อาจมีเจตนากำจัดคนเหล่านี้ซ่อนอยู่ภายใน ไม่อย่างนั้นในกฎข้อบังคับของงานประชุมก็คงจะมีการจัดมาตรการป้องกันเกี่ยวพันอยู่ด้วย
แต่คนพวกนั้นคงไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไป งานประชุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครั้งนี้ในสวิสเซอร์แลนด์ จึงสามารถอธิบายในจุดนี้
ในฐานะรัฐที่เป็นกลางอย่างถาวร สวิสเซอร์แลนด์จึงไม่อาจไปรับมือกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ การจัดงานประชุมนี้ จึงรับประกันได้ว่าไม่มีปัจจัยด้านประเทศชาติแอบซ่อนอยู่ จึงตัดความเป็นไปได้ที่จะถูกคนกวาดล้างระหว่างจัดงาน
“ท่านอาจารย์ ถ้าหากมีคนท้าดวลกับผม ผมควรจะลงสนามไหมครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนที่ตามติดข้างกายเยี่ยเทียนกลับไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น ในทางกลับกันเวลานี้ออกจะคันไม้คันมือด้วยซ้ำ หลายปีที่ผ่านมาถึงแม้จะเน้นฝึกวิชาในสำหนัก แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้ทิ้งวิชานอกตำราสักทีเดียว ซ้ำยังฝึกฝนอย่างหนักหน่วง กระทั่งเฝิงเหิงอวี่ หลานอาจารย์ของเยี่ยเทียนจากสำนักปาจี๋ชื่อดังคนนั้น เมื่อประมือกับโจวเซี่ยวเซียนยังต้านทานได้ไม่ถึงสามยก
เพียงทว่าตอนนี้เป็นยุคแห่งความสุขสงบร่มเย็น วิชาที่โจวเซี่ยวเทียนฝึกมาทั้งหมดจึงไม่มีโอกาสนำมาใช้ ในหูเพียงได้ยินแต่ผลลัพธ์อันเยี่ยมยอดจากอาจารย์ จึงทำให้เขาร้อนรนอยู่ไม่สุข เมื่อได้ยินตรงหน้าว่าการประชุมครั้งนี้คืองานประลองอันไร้ข้อจำกัด เลยอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“ถึงเวลาต้องดูสถานการณ์ ภายในนี้มีคนมากมายที่แกไม่ควรเข้าไปหาเรื่อง”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ จะทำลูกศิษย์เก็บกดเสียจนย่ำแย่ แต่เขาพาโจวเซี่ยวเทียนมาก็เพื่อให้ได้ประสบการณ์เฉียดตายในสนามรบ คงจะไม่ห้ามเขาลงสนามต่อสู้เช่นกัน
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนคงจะไม่ให้โจวเซี่ยวเทียนรับคำท้าจากฝ่ายตรงข้ามที่มีพลังห่างชั้นเกินไป อย่างเช่นพวกแดร็กคูล่าและนายทักษิน สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ใช่การหาประสบการณ์ แต่เป็นการส่งไปตาย
“คุณเยี่ย แล้ว…แล้วผมล่ะครับ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์คุยกันแล้ว กู้ต้าจวินก็แทรกถามขึ้น นั่นเพราะครั้งนี้เขาเองก็เป็นผู้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ เป็นตัวแทนของประเทศจีน ถ้าหากไม่รับคำท้าล่ะก็ จะต้องเสียชื่อเสียงประเทศอย่างแน่นอน
แต่กู้ต้าจวินก็รู้ขีดจำกัดของตัวเอง เขารู้ว่าวันนี้ตัวเองเป็นเพียงตัวละครผ่านมาเท่านั้น ด้วยทักษะของเขาที่ทำได้อย่างมากแค่ “ควบคุมวัตถุ” ในถ้วยแก้ว หากลงไปสู้เอาเป็นเอาตายในสนามกับคนอื่น จะต้องพบจุดจบร่อแร่เจียนตายอย่างแน่นอน
“คุณเหรอ?”
เยี่ยเทียนเหลือบมองกู้ต้าจวินแล้วยิ้มตอบ
“เหล่ากู้ ถ้าหากมีคนเชิญคุณไปแสดงความสามารถพิเศษสักอย่าง คุณจะไปก็ได้ แต่ถ้าห้ำหั่นกันถึงตาย ก็ผ่านมันไปเถอะ ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถึงเวลาผมจะช่วยคุณพูดเอง
เยี่ยเทียนตรวจตราผู้มีพลังภายในห้องประชุมเหล่านี้คร่าวๆ แล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนมีพรสวรรค์ด้านการโจมตี คนอย่างกู้ต้าจวินก็มีเช่นกัน แต่ข้างหน้าตัวคนเหล่านั้นล้วนติดป้ายธงประเทศเล็กๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักนัก เชื่อว่าคนที่มีพลังแข็งแกร่งเหล่านั้น คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ประเทศเสียชื่อเสียงเช่นกัน
แต่ว่าในฐานะหนึ่งในห้ารัฐสมาชิกถาวรอย่างประเทศจีน จึงถูกนานาประเทศจับตามองอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงเวลาพวกเยี่ยเทียนสามคนจะต้องเผชิญกับการท้าดวลในนามเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้จากคนไม่น้อย ตัวเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้นึกใส่ใจ เขาไม่กลัวใครทั้งนั้สิ้น แต่กู้ต้าจวินกับโจวเซี่ยวเทียนยังเป็นกังวลต่อสถานการณ์ จึงพูดคำพูดก่อนหน้านี้ออกมา
“ขอบคุณครับคุณเยี่ย!”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใจของกู้ต้าจวินที่เอ่อขึ้นมาถึงคอหอยค่อยคลายลงไป เขากลัวว่าพอถึงเวลาเยี่ยเทียนจะใช้ศักดิ์ศรีแห่งประเทศชาติมากดดันตน บังคับให้เขารับคำท้า หากถึงขั้นนั้นจริง ต่อให้รู้แน่ชัดว่าจะตาย กู้ต้าจวินก็ต้องสู้
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ยินดีต้อนรับสู่เมืองซูริกอันงดงาม ผมคือแฟรงก์ แห่งสมาคมวิจัยพลังเหนือธรรมชาติระดับนานาชาติ…”
ขณะที่พวกเยี่ยเทียนกำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ทันใดแสงไฟภายในห้องโถงก็ดับลง ลำแสงลำหนึ่งส่องลงยังกลางลาน ชายวัยกลางคนผิวขาวผู้หนึ่งถือไมโครโฟนกล่าวว่า
“เพื่อเป็นการสนับสนุนการวิจัยพลังเหนือธรรมชาติ จึงได้มีการจัดงานประชุมนี้ขึ้นมา พลังเหนือธรรมชาติของผมคือรับรู้การมีอยู่ของภูติผี และหวังว่าทุกท่านที่กำลังนั่งอยู่จะสามารถเปิดอกพูด นำเรื่องความสามารถของตนเองมาเล่าสู่กันฟัง!”
“ให้ตายสิ ไอ้งั่งนั่นมาจากไหนกัน?”
พอได้ยินคำพูดของแฟรงก์ผู้เป็นเจ้าภาพแล้ว คนส่วนใหญ่ภายในงานล้วนเหลือกตา รับรู้การมีอยู่ของภูติผี? นั่นนับเป็นพลังเหนือธรรมชาติตรงไหน ในสายตาของคนภายในงานเหล่านี้ สิ่งที่เรียกว่าภูติผี เป็นเพียงคลื่นพลังจิตเท่านั้น ไม่คู่ควรจะกลัวแม้สักนิด
ความจริงแล้วคนที่เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าสมาคมวิจัยพลังเหนือธรรมชาติ แรกเริ่มคือกลุ่มคนมีเงินและว่างงานเสียเต็มประดาจัดตั้งขึ้น ไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตัวจริงเข้าร่วมเลย
และอาชีพที่แท้จริงของแฟรงก์ก็คือคนไล่ผี ในยุโรป อาชีพนี้คล้ายคลึงกับปรมาจารย์ถือเข็มทิศแสร้งเป็นเจ้าเข้าทรงในประเทศจีน โดยทั่วไปแล้วในสิบคนอย่างน้อยมีเก้าคนที่เป็นนักต้มตุ๋น
ส่วนคำพูดที่สองที่เจ้าภาพเสนอออกมานั้น ยิ่งทำให้คนขำพรืดออกมาทางจมูก พลังเหนือธรรมชาติของตนคืออะไรนับเป็นไม้ตายของแต่ละคน ที่ทำให้เอาตัวรอดได้ในช่วงเวลาวิกฤติ จึงไม่มีใครยอมพูดความสามารถของตนเองออกมา
“พลังของผมคือการมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว!”
“พลังของผมคือสัมผัสการสั่นไหวของแผ่นดิน พระเจ้า ทำไมเวลาผมพูดว่าแอฟริกาใต้จะมีแผ่นดินไหว
ถึงไม่มีใครเชื่อเลยนะ?”
“ความสามารถของผมคือมองทะลุสิ่งของ คุณแฟรงก์ครับ คุณต้องใส่กางเกงในสีแดงอยู่แน่ๆ ผมพูดไม่ผิดใช่ไหม?”
ตามคาด ขณะที่แฟรงก์ปล่อยให้ทุกคนพูดถึงพลังของตนเอง ลานประชุมเริ่มสูญเสียการควบคุมทันใด คำตอบอันพิลึกพิลั่นหลากรูปแบบจากนานาประเทศดังขึ้นมาจากที่นั่ง และสถานที่ประชุมก็เชื่อมต่อกับอุปกรณ์แปลเอาไว้ เยี่ยเทียนที่ได้ยินคำตอบพวกนั้นจึงแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว แทบจะขำลั่นออกมาดังๆ
แน่นอนว่า ตัวแทนบางประเทศก็พูดได้น่าเชื่อถือ อย่างเช่นพระสงฆ์ชราชาวอินเดีย กล่าวถึงพลังชีวิตของเขา ว่าเขาสามารถถูกฝังใต้ดินเป็นเวลาสิบวันโดยไม่ตาย ซึ่งเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่จะได้มาเมื่อฝึกวิชาโยคถึงระดับสูงสุด
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะพูดว่าอะไรดีครับ?” เมื่อเห็นว่ากำลังจะถึงตาตนเองแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็อดมองมายังเยี่ยเทียนไม่ได้
เยี่ยเทียนที่กำลังฟังอย่างบันเทิง พอได้ยินโจวเซี่ยวเทียนถามตน ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“แกจะพูดอะไรก็พูดเถอะ จะบอกว่าสามารถแอบมองผู้หญิงอาบน้ำก็ได้”
“ผมจะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ยังไง”
โจวเซี่ยวเทียนตอบกลับอย่างเคืองๆ และเวลานั้นก็ถึงตาตัวแทนประเทศจีนพูดพอดี เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่คิดจะพูดอะไรอีก โจวเซี่ยวเทียนจึงได้แต่นำริมฝีปากไปใกล้ไมโครโฟน กล่าวว่า
“ผมมีพละกำลัง พละกำลังอันแข็งแกร่ง!”
ว่ากันตามตรง ร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนแม้ไม่เตี้ย ภายใต้เสื้อผ้ายังมีกล้ามเนื้อพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับชาวตะวันตกแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเกทับในด้านนี้ หลังจากเขาพูดถึงพลังของตนเองแล้ว ภายในงานพลันมีเสียงโห่ดังขึ้นระลอกหนึ่ง
“เวรเอ๊ย กลับดูถูกพวกเราซะงั้น?”
แม้ว่าอุปกรณ์แปลภาษา จะไม่สามารถแปลเสียงโห่เหล่านั้น แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ใช่คนโง่ จึงฟังออกได้ว่าเป็นเสียงชื่นชมหรือเหยียดหยาม เขาโกรธจนหันไปมองสองสามคนตรงมุมที่โห่เสียงดังสุด แทบคิดจะกระโดดไปท้าดวลกับทางนั้น
“เซี่ยวเทียน คุมอารมณ์หน่อย มีอะไรน่าโมโหกัน?”
มือข้างหนึ่งของเยี่ยเทียนกดลงบนไหล่ของลูกศิษย์ กล่าวว่า “แกต้องเข้าใจนะว่า ที่แห่งนี้ พละกำลังสำคัญที่สุด พูดปากเปล่าไม่มีใครเชื่อกันหรอก รอแกสู้สักหนึ่งรอบ แล้วจะได้รับการเชิดชูจากคนอื่นเอง!”
ในอดีตตอนที่เยี่ยเทียนตีลูกดำบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ทีแรกก็ได้ยินเสียงโห่ไม่น้อย แต่หลังจากเขาเอาชนะในสนามได้ด้วยกำลังที่แท้จริงแล้ว เสียงโห่ฮาเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นเสียงชื่นชม จึงอธิบายได้ว่า การสำแดงกล้ามเนื้อทำไม่ได้ด้วยปาก แต่ด้วยพละกำลังของตน
“อาจารย์ครับ วันนี้ไม่ว่ายังไงอาจารย์ก็ต้องให้ผมลงสักรอบนะ!”
โจวเซี่ยวเทียนยังคงหงุดหงิดอยู่ไม่สุข ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดโฮ่วเทียนคนหนึ่ง อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถเข้าสู่เซียนเทียน มีหรือจะยอมทนสายตาเหยียดหยามของคนเหล่านี้?
“วางใจเถอะ หากมีคู่มือที่เหมาะเจาะ ฉันจะให้แกลงแน่!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มีเพียงท่ามกลางสมรภูมิเลือดเท่านั้น จึงจะเกิดนักรบที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นต่อให้วิชาของโจวเซี่ยวเทียนสูงสักเท่าไหร่ ก็เป็นเพียงดอกไม้ภายในห้องอันอบอุ่น ไม่อาจทานทนกระแสลมฝนใดๆ
เช่นเดียวกับที่เยี่ยเทียนเห็นข่าวเมื่อหลายวันก่อน ว่ามีแชมป์ศิลปะการต่อสู้ระดับประเทศ ทะเลาะกับเพื่อนบ้านแล้ว ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้มีดทำกับข้าวแทงทั้งหมดหลายสิบแผล เวลานี้ดูท่าคงนอนอยู่โรงพยาบาลยังไม่พ้นภาวะวิกฤตเลย
เรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่าพละกำลังและความกล้าหาญนั้นสำคัญพอๆ กัน หากขาดสิ่งใดไป จะไม่อาจเรียกได้ว่านักสู้ ตลอดระยะเวลายาวนานที่โจวเซี่ยวเทียนไม่สามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียน เกรงว่าน่าจะมาจากเหตุผลนี้ ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นผู้ผ่านการเปลี่ยนแปลงบนโลกมากลับไม่มีปัญหา
“เอาล่ะครับ ต่อไปเป็นเวลาแลกเปลี่ยนวิชากัน ทุกท่านที่นั่งอยู่สามารถท้าดวลกับผู้อื่นได้ แต่การดวลจะสามารถทำได้บนลานประลองเท่านั้น ทุกการประลองสามารถทำได้เพียงหนึ่งคู่ หวังว่าทุกท่านจะไม่แย่งชิงกัน!”
หลังจากแต่ละประเทศบอกกล่าวพลังเหนือธรรมชาติของตนเองพอเป็นพิธีแล้ว เสียงของเจ้าภาพคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าหลังจากที่พูดจบลง เขาก็ลงจากลานประชุมทันที ด้วยเกิดความกลัวว่าตนเองจะเจอภัยถึงชีวิตจากความสามารถในการเรียกภูติผี
………………………….