เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเยี่ยเทียนจึงตัดสินใจมอบพระบรมสารีริกธาตุให้กับประเทศ เพราะเต๋าแตกต่างมิอาจร่วมทาง เขาในฐานะศิษย์ของลัทธิเต๋าจึงไม่อยากเก็บพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ อีกอย่างจะว่าไปแล้ว ในใจของเยี่ยเทียน พระศากยมุนีก็เป็นเหมือนผู้อาวุโสของพระพุทธศาสนาที่ฝึกธรรมสำเร็จก่อน จึงไม่ถึงขั้นให้เขาต้องเคารพบูชา
“เอาสิครับ คุณเยี่ย ถือว่าคุณได้สร้างคุณงามความดีให้กับกิจการงานศาสนาของประเทศเชียวนะครับ!”
หลังาจากได้ยินคำพูดยืนยันของเยี่ยเทียนแล้ว และถึงแม้ว่าโจวจี้หวาจะเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการข้าราชการมานาน รู้จักฝึกสีหน้าอารมณ์ต่างๆ แต่ก็ยังอดตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเยี่ยครับ ผมเชื่อว่าพุทธศาสนิกชนนับหมื่นคน จะต้องสวดมนต์ต่อพระพุทธเจ้าเพื่อขอพรให้คุ้มครองคุณแน่นอนครับ!”
สำหรับสาวกของศาสนาพุทธแล้ว การที่พระบรมสารีริกธาตุหนึ่งองค์ปรากฏขึ้นต่อโลก เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก สำหรับเอกอัครราชฑูตโจวแล้ว การค้นพบพระบรมสารีริกธาตุนั้นถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่เช่นกัน หากรอย้ายกลับไปสิ้นปีนี้ การแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก็เป็นเงื่อนไขที่พร้อมสมบูรณ์แบบ
“ผมต้องให้คนอื่นช่วยคุ้มครองเหรอ?”
เยี่ยเทียไนได้ยินแล้วจึงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ จากนั้นจึงโบกมือพูดว่า
“ถ้าหากพระสามารถคุ้มครองมนุษย์เราได้ ก็คงไม่ต้องมีพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือจากการมรณภาพหรอกครับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตัวเราแข็งแกร่งย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น!”
“คุณเยี่ยพูดถูกครับ พวกเราเป็นพวกลัทธิวัตถุนิยมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก”
โจวจี้หวาคิดว่าเยี่ยเทียนพูดถึงความยิ่งใหญ่ทางด้านจิตวิทยา แต่หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น ถ้าหากอยู่ในยุคโบราณ ก็คือเทพเซียนเดินดินคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่อาจสู้ปรมาจารย์อย่างพระศากยมุนีที่ก่อตั้งศาสนาได้ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
หลังจากเก็บพระบรมสารีริกธาตุอย่างระมัดระวังแล้ว โจวจี้หวาจึงมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า
“คุณเยี่ยครับ งานประชุมแลกเปลี่ยนที่คุณต้องเข้าร่วมนั้น จะถูกจัดขึ้นในคฤหาสน์แห่งหนึ่งย่านชานเมืองของซูริกเวลาเย็นพรุ่งนี้นะครับ คุณมีอะไรต้องการเตรียมไหมครับ?”
โจวจี้หวาไม่ค่อยรู้รายละเอียดในงานแลกเปลี่ยนที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้มากนัก แต่ในสายของประธานาธิบดี เยวี่ยกับประธานอู๋นั้น ทำให้เขาเข้าใจความสำคัญของงานประชุมเป็นอย่างมาก เพราะว่าคำพูดของผู้นำทั้งสองคนบอกความหมายอย่างชัดเจนแล้ว นั่นก็คือต้องตอบสนองความต้องการของเยี่ยเทียนทั้งหมด
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้มแล้วพูด
“ไม่ต้องครับ คุณโจวไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมอยากจะคุยกับเหล่ากู้สักสองสามประโยค!”
“ได้ครับ อย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว!”
โจวจี้หวาพยักหน้าแล้วจึงลุกขึ้น เดิมทีรัฐบาลกับทหารก็ไม่ได้อยู่ในระบบเดียวกัน และงานข่าวกรองที่กู้ต้าจวินรับ ผิดชอบอยู่เขาก็เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ เมื่อได้รับพระบรมสารีริกธาตุองค์นั้นมาอย่างไม่คาดคิด โจวจี้หวาจึงไม่มีความรู้สึกไม่พอใจที่เยี่ยเทียนพูดจาไล่คนแบบนี้
“คุณเยี่ย ผมมีเรื่องอยากจะรายงานคุณพอดีครับ”
หลังจากโจวจี้หวาออกไปแล้ว กู้ต้าจวินจึงหยิบสำเนาเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกสาร แล้วพูดว่า
“นี่คือรายชื่อของคนที่เข้ามาประเทศสวิตเซอร์แลนด์จากเมืองต่างๆ ในช่วงนี้ครับ แต่ผมเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวกรองค่อนข้างเร่งด่วน จึงยังไม่ทันได้จัดเรียบเรียงให้เรียบร้อย คุณเยี่ย คุณจะลองดูก่อนไหมครับ?
“เหอะๆ คนที่เข้าเมืองมาก็ไม่น้อยจริงๆ นะครับ…”
เยี่ยเทียนรับสำเนาเอกสารปึกนั้นแล้วกวาดตามองคร่าวๆ จาก นั้นจึงยิ้มพูดว่า
“เหล่ากู้ คุณสามารถยืนยันได้ไหมว่าพวกเขาคือคนที่เข้าร่วมงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษในครั้งนี้?”
บนสำเนาเอกสารสิบกว่าหน้า มีรายชื่อนับพันคนแน่นขนัด และส่วนใหญ่จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่ด้านหลังชื่ออีกด้วย แสดงว่างานข่าวกรองของกู้ต้าจวินนั้นทำงานค่อนข้างละเอียดพอสมควร
แน่นอนเยี่ยเทียนก็เชื่อว่า ชื่อของตัวเองกับโจวเซี่ยวเทียน น่าจะอยู่ในรายชื่อของทีมข่าวกรองของคนอื่นนานแล้วเช่นกัน
“คุณเยี่ยครับ ที่ต่างประเทศให้ความสำคัญกับผู้ที่มีพลังพิเศษเป็นอย่างมาก ข่าวกรองที่พวกเราได้รับจึงมีจำกัดครับ!”
กู้ต้าจวินพูดด้วยสีหน้าที่แดงเล็กน้อย
“ข้อมูลของคนพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนปกติทั่วไป ผมรู้สึกว่าพวกเขามาที่นี่ เพียงแค่ให้บริการผู้มีพลังพิเศษพวกนั้นครับ ตอนนี้พวกเราจึงไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครคือคนที่เข้าร่วมงานประชุมใหญ่กันแน่!”
แต่สิ่งที่เหลือจากความละอายใจนั้น กู้ต้าจวินก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะเขาได้รับการแจ้งว่า ตัวเองสามารถเข้าร่วมประชุมครั้งนี้กับเยี่ยเทียนได้ตลอดเวลา ถึงแม้เขาจะมาในฐานะผู้บันทึกความเคลื่อนไหวของงานประชุมใหญ่ก็ตาม แต่ก็ทำให้กู้ต้าจวินรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ในฐานะประเทศที่มีสถานะเป็นกลางอย่างถาวร สวิตเซอร์แลนด์ก็ทำตัวเงียบมาตลอด แต่ช่วงเวลานี้เขากลับกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของประเทศทั่วโลกเป็นอย่างสูง และงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษนี้ จึงได้เกี่ยวพันกับจิตใจของผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากมันจะกลายเป็นสนามรบที่ไร้ควัน หลังจากที่เคยเกิดสงครามเย็นสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต
เหมือนอย่างการประชุมแบบนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะเก็บเป็นความลับไม่ให้บุคคลภายนอกรับรู้ แต่ผลกระทบของมันจะถูกบันทึกเหตุการณ์ลงในประวัติศาสตร์ การที่สามารถมีส่วนร่วมในงานประชุมที่เป็นประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก็ทำให้กู้ต้าจวินหัวใจเต้นโครมๆ แล้ว
“หืม? ประเทศไทยก็มีคนเข้าร่วมด้วย?”
สายตาของเยี่ยเทียนพลันจ้องมองไปที่ชื่อคนคนหนึ่ง ถึงแม้ใบหน้าจะยังยิ้มเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยแรงอาฆาต
“ไม่คิดว่านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็มาร่วมงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ด้วย พอดีเลย จะได้ช่วยชำระความแค้นของเขากับศิษย์พี่รองเสียที!”
จะว่าไปแล้วสำนักเสื้อป่านกับหมอผีคนไทยคนนี้มีวาสนาต่อกันจริงๆ ตอนแรกหลี่ซั่นหยวนก็สู้ชนะนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาพ่ายแพ้กลับไปและยังสั่งให้เขาห้ามมาเหยียบประเทศจีนอีกแม้แต่ก้าวเดียว
หลังจากนั้นก็คือจั่วเจียจวิ้นที่ถูกลอบโจมตีจากหมอผีคนนี้ตอนที่อยู่ประเทศไทย จนเกือบเสียชีวิต
ตอนที่ความแค้นนี้ยังไม่ถูกชำระ นายชาญ ทองทวนลูกศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับการไหว้วานจากซ่งเสี่ยวหลง บินไปฮ่องกงเพื่อฆ่าเยี่ยเทียน แต่ไม่คิดว่าจะถูกเยี่ยเทียนฆ่าตายเสียก่อน ทำให้ความแค้นของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะคลายลงได้
ส่วนเรื่องที่จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่ประเทศไทย ก็แค่โดนลูกหลงเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้วางกับดักนี้ในประเทศไทย แต่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้มาด้วย ทำให้เขาจับได้แค่ปลาซิวปลาสร้อย
“ในเมื่อมาแล้ว จะได้ประหยัดเวลาให้ฉัน ไม่ต้องบินไปประเทศไทยอีกรอบ”
เยี่ยเทียนพลิกสำเนาเอกสารที่มีชื่อของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เบาๆ จากการกระทำนี้ของเขา เป็นการประ กาศว่าถึงเวลาประหารชีวิตหมอผีชาวไทยคนนี้แล้ว
เยี่ยเทียนรู้ดีว่า การแลกเปลี่ยนงานประชุมครั้งนี้ ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความเป็นมิตรและอบอุ่น จากนั้นก็จบอย่างมีความสุขอย่างเด็ดขาด ในระหว่างนี้ จะต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือด แต่ก็เป็นความปรารถนาของเยี่ยเทียนเช่นกัน
“เอ๊ะ? รูดอล์ฟ? แดรกคิวลาคนนี้ใช่ท่านดยุคคนนั้นหรือเปล่า?”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็มองเห็นชื่อที่คุ้นเคยสองคน คนหนึ่งคือรูดอล์ฟเจ้าพ่อใหญ่ที่ลาสเวกัสที่เคยพนันกับเขาที่เวทีมวยใต้ดิน ตอนนั้นเยี่ยเทียนเคยเปลี่ยนใบหน้าของเขาไปร้อยแปดพันเก้าขณะที่อยู่รัสเซีย ทำให้เขาสะอิดสะเอียนไปพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเยี่ยเทียนก็งานยุ่งมาก จึงไม่ได้ไปหาเรื่องเขาอีก
และอีกชื่อหนึ่งนั้นได้ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้น เพราะถึงแม้ปากของเขาจะพูดจาเหมือนไม่สนใจตระกูลผีดูดเลือด แต่ในใจนั้นกลับให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ตอนนั้นชาวอังกฤษที่ชื่อว่าเคิร์ดมีฐานะเพียงแค่ท่านดยุค ก็สามารถเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของเขาในระดับเซียนเทียนขั้นต้นได้ เกรงว่าท่านดยุคผู้นี้จะมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่า?
“แดรกคิวลาคนนี้น่าสนใจไม่เบา แถมเขายังเป็นตัวแทนของประเทศอเมริกา?” หลังจากดูประเทศที่ขึ้นกับสองคนนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะตามหลักแล้วต้นกำเนิดของผีดูดเลือดน่าจะอยู่ที่ประเทศอังกฤษของทวีปยุ โรป แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมแดรกคิวลาถึงเป็นตัวแทนของประเทศอเมริกามาเข้าร่วมงานประชุมในครั้งนี้
เยี่ยเทียนพลิกรายชื่อคนเข้าเมืองของประเทศอังกฤษ รายชื่อที่อยู่บนนั้นเขาไม่รู้จักเลยสักคน จากนั้นจึงโยนราย ชื่อลงบนโต๊ะ แล้วพูดว่า
“เหล่ากู้ พรุ่งนี้คุณมารับพวกเราไปที่นั่นก็พอแล้ว ผมขอพักผ่อนเอาแรงดีกว่า!”
“ครับ คุณเยี่ย อย่างนั้นผมขอตัวลาก่อนนะครับ!”
กู้ต้าจวินพยักหน้าแล้วจึงเดินถอยหลังออกไปจากห้อง สำหรับงานประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ เขาก็มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ
“อาจารย์ ท่านบอกว่าของดีนั้นก็คือพระบรมสารีริกธาตุใช่ไหมครับ?”
หลังจากรอให้กู้ต้าจวินออกไปแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงมองเยี่ยเทียนอย่างไม่ค่อยพอใจ เพราะเขาเองก็รู้สึกถึงปราณวิเศษที่อยู่ในพระบรมสารีริกธาตุได้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพลอยวิเศษแล้วยังต่างกันอีกมากนัก ของที่เขาโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ชอบ จึงเชื่อว่าสายตาของอาจารย์ไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้นแน่นอน
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว ของดีอยู่ตรงนี้ต่างหาก!”
เยี่ยเทียนยิ้ม พลางลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นสอง หลังจากเข้าไปในห้อง แล้วจึงโบกมือในห้องนอนที่ว่างเปล่า จากนั้นตู้ตรงหัวเตียงก็ปรากฏขึ้นมาในทันใด และของที่วางอยู่บนนั้น ก็คือส่วนที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู” เล่มนั้นที่เยี่ยเทียนเอาติดตัวมาด้วย
“อาจารย์ ของดีล่ะ?” โจวเซี่ยวเทียนคุ้นชินกับการกระทำของแปลกๆ ของอาจารย์นานแล้ว เขารู้ว่านี่คือวิชาลวงตาที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้นมา ต่อให้คนธรรมดาเดินมาอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางเห็นของที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“เซี่ยวเทียน ดูนี่สิ!”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วจึงหยิบกล่องไม้ที่ค่อนข้างแบนออกมาจากในอ้อมอก ครั้งนี้เขาไม่ได้เล่นแง่ จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออกมาโดยตรง แล้วตัวหนังสือสามตัวของ “ทุยเป้ยถู” ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโบราณก็สะท้อนเข้ามาในม่านตาของโจวเซี่ยวเทียน
“นี่คือหน้าปกของ ‘ทุยเป้ยถู’?” ต่อให้ความคิดเชื่อมโยงของโจวเซี่ยวเทียนจะมีอย่างคับคั่ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะได้ส่วนสุดท้ายของ “ทุยเป้ยถู” มาได้ และเขาก็เคยพลาดท่าให้กับของสิ่งนี้มาก่อน จึงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง และไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหยิบหน้าปกอันนี้มาทดสอบก่อนดีไหม
แต่ไม่ทันรอให้โจวเซี่ยวเทียนขยับความคิด หน้าที่ขาดหายไปของกลิ่นอายที่ถูกตัดขาดจากกล่องไม้นั่น พลันเกิดแสงสว่างสีขาวออกมาอย่างกะทันหัน
ในขณะเดียวกัน ส่วนที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู” ที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียงเล่มนั้น ก็ปล่อยปราณวิเศษออกมา ทำให้หน้าที่ขาดหายไปที่อยู่ในกล่องไม้ราวกับถูกเรียกก็ไม่ปาน จู่ๆ ก็ลอยออกมาจากในกล่อง เกิดเสียงดัง “พรึบ” จากนั้นก็ปิดคัมภีร์ส่วนที่ขาดไปของเล่มนั้น
“ครืนนน!”
คลื่นสั่นสะเทือนที่ไร้รูปแผ่กระจายออกมาจาก “ทุยเป้ยถู” ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกระจายไปรอบๆ อย่างกำ เริบเสิบสาน เสียงดัง “เปรี้ยงปร้าง” แสบแก้วหู และหน้าต่างห้องนอนชั้นสองก็ถูกบีบให้แตกทั้งหมด แม้แต่เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียน ก็ยังถูกบังคับจนต้องถอยหลังไปติดๆ แล้วจึงได้แต่มองกลุ่มแสงสีขาวที่ห่อหุ้มหนังสือคัมภีร์โบราณเล่มนั้นตาปริบๆ
“คลื่นรุนแรงทรงพลังเช่นนี้มาจากที่ไหน?”
จากนั้นสถานกงสุลสองสามแห่งกับโรงแรมระดับห้าดาวที่อยู่ในซูริกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็มีคนที่สวมชุดแปลกประหลาดหลายคนมองไปยังตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่
…………………………..