ธนาคารที่เยี่ยเทียนกำลังจะไป มีชื่อเต็มเรียกว่าสหภาพธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (UBS) เกิดจากการรวมตัวกันของธนาคารยูบีเอสกับยูบีเอสกรุ๊ปเอจี ในปี 1998 และในโครงสร้างของหุ้นส่วนนี้ก็มีหุ้นของธนาคารแห่งชาติสวิสอยู่ในนั้นบางส่วน เนื่องจากมีตำแหน่งทางด้านการเงินสูงมาก ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นธนาคารแห่งชาติสวิส
ธนาคารยูบีเอสเป็นกิจการการบริหารทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นการบริหารทรัพย์สินชั้นนำของโลกและเป็นธนาคารที่มีการรับประกันด้านการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุด ด้านการบริการส่วนบุคคลก็อยู่ในระดับแนวหน้า มีการให้ บริการแก่บุคคลและธุรกิจมากกว่าสี่ล้านราย
ธนาคารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1912 เกิดจากการรวมตัวกันของธนาคารวินเทอร์ทัวร์กับธนาคารท็อกเกนเบิร์ก ในปี 1862 ธนาคารวินเทอร์ทัวร์จัดตั้งขึ้นในเมืองวินเทอร์ทัวร์ ที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรถไฟในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ และในปี 1863 ธนาคารท็อกเกนเบิร์กจัดตั้งขึ้นในเขตพื้นที่ของเมืองท็อกเกนเบิร์กที่อยู่ใน รัฐลิกเตนสไตน์ เมื่อสืบสาวราวเรื่องไปถึงต้นกำเนิด ประวัติศาสตร์ของธนาคารกลุ่มสวิสก็ยาวนานมากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว
ก่อนที่ซ่งเวยหลันจะโอนทรัพย์สินให้เยี่ยเทียนนั้น ก็ได้ถามความคิดเห็นของเขา แล้วจึงเปิดบัญชีเป็นชื่อของเขาที่ธนาคารสวิส โอนเงินจำนวนหลายพันดอลลาร์เข้าไป สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินคอยดูแลโดยเฉพาะ ทำให้เยี่ยเทียนไม่เคยต้องกังวลใจมาก่อน
หลังจากออกมาจากสถานทูตครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ก็มาถึงสำนักงานใหญ่ของธนาคาร ยูบีเอสซึ่งอยู่ใจกลางเมืองซูริก มองดูตึกที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า เยี่ยเทียนจึงอดถอนหายใจและพูดว่า
“ยังไงธนาคารก็มีเงินอยู่ดี ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนมากมายถึงชอบปล้นธนาคารนัก!”
สำนักงานใหญ่ของธนาคารยูบีเอสสร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าหรูหรา โครงสร้างโลหะด้านนอกเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของความมั่งคั่งร่ำรวย ในส่วนที่ชัดเจนที่สุดของตัวอาคาร มีรูปของกุญแจสามดอกเป็นสัญลักษณ์พร้อมกับตัวหนังสือคำว่า “UBS” กลุ่มคนมากมายที่เดินเข้าออกประตูไม่ขาดสาย แสดงให้เห็นถึงกิจการที่ยุ่งมากของธนาคาร
“อาจารย์ ผมได้ยินว่าตู้เซฟที่อยู่ในนี้หนาสองสามเมตร ถ้าอยากจะปล้นเกรงว่าจะยากพอดู!”
โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้สนใจความโอ่อ่าของการก่อสร้างธนาคารเท่าไร แต่กลับสนใจคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่มากกว่า ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ในประเทศของตัวเอง ถ้าจะเอาคำพูดของโก่วซินเจียมาพูด หากออกไปต่างประเทศก็หาเรื่องแกล้งให้มากที่สุด ถือว่าเป็นการล้างแค้นที่ถูกรุกรานจากกองทัพพันธมิตรแปดชาติในตอนนั้นก็แล้วกัน
“สองสามเมตรจะมีประโยชน์อะไร? ฉันใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ตัดขาดแล้ว”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก เพราะในโลกใบนี้ เยี่ยเทียนยังไม่เคยเห็นวัสดุชนิดใดที่สามารถต้านทานมีดบินของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นโลหะที่แข็งแกร่งเพียงใด มีดบินคู่กายของเยี่ยเทียนก็สามารถตัดขาดให้เหมือนเต้าหู้และฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย
โจวเซี่ยวเทียนตาเป็นประกายเมื่อได้ยิน แล้วจึงถามอย่างรีบร้อนว่า
“จริงเหรอครับ? อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องเข้าไปเอาของแล้ว มาเปิดตู้เซฟพวกนั้นคืนนี้ดีกว่า เพราะของในนี้จะมีของดีสักเท่าไรกัน?”
“ไสหัวไปทางนั้นเลย อย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ถูกประกาศจับไปทั่วโลกแล้ว ฉันยังไม่อยากหนีไปเป็นเทพทลายนภาเร็วเกินไป”
เยี่ยเทียนถลึงตาใส่ลูกศิษย์อย่างไม่สบอารมณ์ ต่อให้เขาอยากจะหยิบของบางอย่างจากในธนาคารแห่งนี้ ก็ทำได้เพียงปล้นแต่ไม่ใช่การขโมย
ในฐานะที่เป็นสถาบันทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของโลก มาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่จึงดีที่สุดในโลก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสามารถใช้ปราณแท้ในการอำพรางตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นการอำพรางตัวอย่างแท้จริง จึงไม่อาจถูกตัดขาดจากรังสีอินฟราเรดได้ และเกรงว่าจะเกิดการเตือนอย่างอึกทึกเมื่อเขาก้าวเข้าไป
“อย่างนั้นก็น่าเสียดายนะครับ ได้ยินว่าตอนนั้นพวกเขาปล้นเงินของชาวยิวไปไม่น้อย ถ้าหากสามารถ ‘หยิบ’ ออกมาใช้จ่ายได้ก็คงดี”
โจวเซี่ยวเทียนทำสีหน้าเสียดาย แล้วทั้งสองคนก็รอที่จะเข้าไปพร้อมกับกู้ต้าจวินที่กำลังเอารถไปจอดอยู่ ถึงอย่างไรก็ว่างจัด จากนั้นจึงเดินเล่นไปมาอยู่ตรงหน้าประตูธนาคารไปพลางๆ และด้วยจิตใจและฐานะของคนทั้งสอง หากไม่มีวัตถุที่สามารถดึงดูดพวกเขาได้เป็นพิเศษแล้ว พวกเขาจะเกิดความคิดอยากจะปล้นขึ้นมาได้อย่างไร?
“คุณเยี่ย คุยอะไรกันครับดูสนุกเชียว?”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ กู้ต้าจวินที่จอดรถเสร็จแล้วก็เดินมา เขาคงคิดไม่ถึงว่า อาจารย์และลูกศิษย์สองคนนี้กำลังพูดถึงการวางแผนปล้นธนาคารกันอยู่
“ไม่ได้คุยอะไรกันครับ เหล่ากู้ เข้าไปกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วจึงเดินนำเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของธนาคารยูบีเอส พร้อมกับบ่นพึมพำอยู่ในปากว่า
“ธนาคารใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลย? หรือไม่กลัวว่าจะถูกปล้นจริงๆ?”
“คุณเยี่ยครับ รู้สึกดูแปลกๆ นะครับ!”
ตอนที่เพิ่งจะเข้าไปในอาคารที่ใหญ่โตรโหฐาน กู้ต้าจวินที่เดินตามหลังเยี่ยเทียนมาก็หยุดชะงัก เพราะว่าห้องโถงใหญ่ของธนาคารที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา เวลานี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธครบครันยืนเรียงแถว พร้อมกับกระบอกปืนดำๆ สิบกว่ากระบอก
“เป็นอะไรเหรอ? หรือว่ามีโจรปล้นธนาคารเดินตามพวกเราเข้ามา?”
เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้ด้านหลังของพวกเขา ก็ไม่มีคนที่สี่แล้ว นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็พบว่า ตอนที่พวกเขาผ่านประตูใหญ่เข้ามา ประตูก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว ตัดขาดทางหนีของเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ
“บัดซบเอ้ย นี่เป็นการวางแผนจะจัดการพวกเรา?”
ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เข้าใจ ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาในใจอย่างฉับพลัน เพราะเขาฝากเงินในธนาคารยูบีเอสหลายพันล้านดอลลาร์ ถึงจะไม่กล้าพูดว่ามากที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นลูกค้ารายใหญ่คนหนึ่ง? ทำไมธนาคารถึงใช้วิธีแบบนี้ต้อนรับแขก?
“พวกเราสงสัยว่าพวกคุณวางแผนจะปล้นธนาคาร พวกคุณสามคน ชูมือขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อรับการตรวจสอบ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะระบายความโกรธนั้น ก็มีผู้ชายผิวขาวใส่ชุดสูทรองเท้าหนังอายุประมาณสี่สิบปีเดินมาอยู่ด้านหลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีปืนพร้อมกระสุนครบครัน พร้อมกับถือโทรโข่งแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมชื่อริชาดสัน ออลแมน เป็นหัวหน้าดูแลรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของธนาคาร ขอให้พวกคุณให้ความร่วมมือให้พวกเราตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นพวกเรามีสิทธิ์ที่จะใช้ปืนยิงครับ!”
ดูเหมือนกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจ หลังจากใช้ภาษาอังกฤษอธิบายแล้ว ริชาดสัน ออลแมนจึงใช้ภาษาจีนพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ ตอนที่เขาพูดนั้น ยังมีสีหน้าที่มั่นใจออกมาบนใบหน้า
“ผมรู้แล้ว ที่แท้ตรงหน้าประตูของธนาคารไม่ได้มีกล้องวงจรปิดแบบไร้เสียง พวกเขาสามารถได้ยินการสนทนาของพวกเรา?”
หลังจากได้ยินคำพูดของริชาดสันแล้ว เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนจึงมองหน้ากัน จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เพราะการพูดจาที่ไร้สาระของพวกเขาเมื่อครู่ ได้ถูกกล้องวงจรปิดของธนาคารดักฟังหมดแล้ว ดังนั้นถึงได้มีพิธีการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
นี่จึงเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนเก็บซ่อนปราณแท้ของตัวเองตลอดเวลา ถ้าหากเขาใช้ปราณแท้ปกคลุมสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่นนั้นไม่ว่าธนาคารจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถได้ยินการสนทนาของพวกเขาแน่นอน
“คือว่า…คุณริชาดสัน ผมคิดว่า คุณอาจจะเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ?”
เรื่องที่ตัวเองพูดจาไร้สาระจนเป็นเรื่อง เยี่ยเทียนจึงไม่มีเหตุผลต้องโกรธอะไร จากนั้นจึงใช้ภาษาอังกฤษพูดว่า
“ผมคิดว่าพวกคุณจะต้องเข้าใจผิดแน่นอน ผมเป็นลูกค้าของธนาคาร มาทำธุรกรรมที่นี่ พวกคุณไม่ควรปฏิบัติกับลูกค้า ของตัวเองแบบนี้!”
“เหรอครับ? แต่ผมได้ยินว่า เหมือนพวกคุณจะสนใจการปล้นธนาคารของพวกเราเป็นอย่างมาก!”
ริชาดสันส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ในฐานะหัวหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผมมีหน้าที่ป้องกันความปลอดภัยของธนาคาร ผมคิดว่า…พวกคุณก็น่าจะยอมให้พวกเราตรวจสอบเสียโดยดีครับ เชิญชูมือขึ้นทั้งสองข้างขึ้น!”
เหมือนกับที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้ ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูธนาคาร ก็มีการติดตั้งกล้องอย่างน้อยสิบตัวขึ้นไป และคนที่เข้าออกธนาคารทุกคน ก็จะแสดงให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจนอยู่ภายในห้องควบคุม
คดีปล้นชิงทรัพย์ในธนาคารสวิสมีไม่มาก มีเพียงในยุค 80 ตอนนั้นในแวดวงใหญ่ของอเมริกากับยุโรปได้เกิดคดีสกปรกคดีหนึ่ง คนร้ายใช้ปืน AK47 นับสิบกระบอกปล้นธนาคารแห่งหนึ่งได้สำเร็จ ดังนั้นเยี่ยเทียนและพวกเขาในฐานะที่เป็นคนจีน จึงกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
โชคดีที่ริชาดสันพูดภาษาจีนได้บ้าง หลังจากได้ยินเสียงบันทึกท่อนนั้นแล้ว การตอบสนองอย่างแรกของเขาก็คือ พวกเยี่ยเทียนสองคนนี้ต้องการมาปล้นธนาคาร
ทำให้การหลั่งอะดรีนาลีนของริชาดสันเร็วขึ้น เพราะเขาทำอาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมานานกว่ายี่สิบปี และเขาก็เพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรีบใช้แผนฉุกเฉินทันที ทำให้เกิดภาพนี้ขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
ริชาดสันเชื่อว่า ประธานกรรมการของสำนักงานใหญ่ของธนาคารกำลังดูการเคลื่อนไหวของที่นี่ผ่านกล้องวงจรปิดอยู่ ดังนั้นจึงยืดอกแล้วพูดว่า
“ตามร่างพระราชบัญญัติของธนาคารสวิส พวกเรามีสิทธิ์ยิงผู้ต้องสงสัยที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบได้ พวกคุณทั้งสามคน อย่าคิดว่าจะมีความโชคดีใดๆ เกิดขึ้น!”
“บ้าเอ้ย นี่มันอะไรกันวะ”
เยี่ยเทียนมองโจวเซี่ยวเทียนอย่างจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก แล้วพูดว่า
“เซี่ยวเทียน วันหลังแกต้องจำให้ขึ้นใจ ว่านี่คือปลาหมอตายเพราะปาก!”
“คุณเยี่ย เมื่อครู่พวกคุณไม่ได้พูดอะไรกันจริงๆ ใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนไม่สนใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แต่กู้ต้าจวินแทบจะทนไม่ไหว แล้วจึง ตะโกนถามว่า
“คุณริชาดสัน ผมเป็นทหารอยู่ที่สถานทูตประเทศจีนในสวิตเซอร์แลนด์นายหนึ่ง ผมชื่อกู้ต้าจวิน คุณสามารถโทรศัพท์ไปตรวจสอบได้ และผมจะประท้วงพฤติกรรมของพวกคุณต่อประเทศของคุณ!”
“เจ้าหน้าที่ของสถานทูต?”
ริชาดสันได้ยินจึงตกตะลึง เพราะเกี่ยวพันถึงด้านการทูต และผลเสียที่ตามมาใช่ว่าหัวหน้ารักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ อย่างเขาจะรับไหว จากนั้นจึงก้มหน้า แล้วพูดกับไมค์เล็กๆ ว่า
“รีบไปตรวจสอบฐานะของเขา…”
พอสิ้นเสียงของริชาดสัน เสียงคำรามของประธานกรรมการก็พลันดังขึ้นในชุดหูฟัง
“ตรวจสอบอะไร รีบเก็บปืนเดี๋ยวนี้ นี่คือลูกค้าผู้มีเกียรติของพวกเรา!”
“ท่าน…ท่านประธาน ท่าน…ท่านบอกว่าพวกเขาเป็นลูกค้าผู้มีเกียรติ?”
ริชาดสันงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า ลูกค้าผู้มีเกียรติของธนาคาร ทำไมถึงทำตัวลับๆ ล่อๆ พูดปรึกษากันถึงเรื่องการปล้นธนาคารอยู่หน้าประ ตูกันเล่า?
เพียงแต่ยังไม่ทันได้รอให้ริชาดสันออกคำสั่งให้ถอย ลิฟต์ที่อยู่ในห้องโถงก็เปิดออก มีชายชราผิวขาวหุ่นกระทัดรัดอายุประมาณหกสิบกว่าปี เดินออกมาจากลิฟต์ท่ามกลางคนสี่ห้าคนที่เดินห้อมล้อม
ตอนที่เดินผ่านตัวของริชาดสันนั้น ชายชราได้ขึงตาใส่เขา แล้วจึงเดินไปอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน โค้งคำนับสุดตัวเป็นอย่างแรก แล้วพูดว่า
“คุณเยี่ย ต้องขอประทานโทษจริงๆ ครับ นี่คือการทำงานที่สะเพร่าของพวกเรา ผมขอเป็นตัวแทนในนามธนาคารยูบีเอส เพื่อแสดงความขอโทษอย่างจริงใจต่อคุณครับ!”
…………………..