“โอเค ถ้าลูกชายนายชอบลูกสาวฉัน แกอย่าขัดขวางนะ!”
สวีเจิ้นหนานแอบถอนหายใจ แม้ว่าเขาไม่รู้เรื่องที่เยี่ยเทียนเคยทำ แต่เขารู้ว่าซ่งเฮ่าเทียนกับซ่งเวยหลันร่ำรวยแค่ไหน คนแบบเขาเอื้อมไม่ถึงหรอก ความเป็นไปได้ของการเป็นครอบครัวเดียวกันนั้น แทบจะไม่ต้องคิดเลย
“พี่ใหญ่ ถ้าลูกชายผมชอบลูกสาวพี่ก็ดีสิ เราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันไง!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ เขาไม่ใช่คนชอบดูถูกคนจากฐานะการเงิน เยี่ยเทียนหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ก็เพราะ เขาไม่สามารถทำนายชะตาชีวิตของลูกชายได้ และไม่รู้เลยว่า ในภายภาคหน้าลูกชายจะเป็นอย่างไร
แล้วลูกสาวสองขวบของสวีเจิ้นหนานมีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมากจนเหมือนตุ๊กตา เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าชอบมาก อวี๋ชิงหย่าถึงขั้นรับเธอเป็นลูกบุญธรรม ถ้าชะตาชีวิตของลูกชายไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่แน่ เยี่ยเทียนอาจจะตอบรับเรื่องนี้เลย
“เอาล่ะเจิ้นหนาน เยี่ยเทียนยุ่งอยู่ อย่าไปรบกวนเยี่ยเทียนมากเลย!”
เว่ยหงจวินพูดขัดขึ้นมาในจังหวะที่เหมาะสม เขาพูดว่า
“เยี่ยเทียน หรงหรงรู้ว่าชิงหย่าใกล้คลอด เธอเตรียมของเด็กไว้ให้ เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากพวกเรา รับไปสิ!”
เว่ยหงจวินพูดพร้อมกับยื่นกล่องใหญ่ให้กับเยี่ยเทียน ด้านในกล่องไม่มีของที่มีมูลค่าสูง แต่ล้วนเป็นเสื้อผ้า รองเท้าและหมวกสำหรับเด็กทารก ซึ่งมีของที่ใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงเยี่ยชิวสองขวบ
“ขอบคุณมากครับลุงเว่ย!”
เยี่ยเทียนกล่าวขอบคุณและรับกล่องนั้นไว้ ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่สนใจสิ่งของมูลค่าสูง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือความมีน้ำใจ ซึ่งเว่ยหงจวินจับจุดนี้ของเยี่ยเทียนได้เป็นอย่างดี
“โอเค งั้นพวกเรากลับก่อนนะเยี่ยเทียน ดูสิ มีแขกมาอีกแล้ว!”
เว่ยหงจวินให้ของขวัญเสร็จ เมื่อเห็นว่ามีผู้คนเดินเข้ามาไม่ขาดสาย เขาจึงขอลากลับก่อน
“ลุงเว่ย ไม่ให้เกียรติผมเลย ผมไม่ให้ไปหรอกครับ กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนสิครับ ผมจะขอชนแก้วกับลุงสักหน่อย!”
เยี่ยเทียนดึงเอาไว้ หันไปมองสวีเจิ้นหนาน กล่าวว่า
“พี่ใหญ่ หรงหรง เข้าไปหาชิงหย่าสิ ลุงเว่ย ผมขอไปดูแขกก่อน อาจจะอยู่เป็นเพื่อนลุงไม่ได้ ลุงไปหาพ่อผมสิ!”
“อ่า งั้นลุงรบกวนหน่อยนะ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เว่ยหงจวินรู้สึกอบอุ่นใจ เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็เดินเข้าห้องนอนด้านข้างไปพร้อมกับลูกสาว ลูกเขย
“ท่านประธานจู้ ผมเห็นท่านเดินทางบ่อยมาก ทำไมวันนี้อยู่ปักกิ่งละครับ?”
หลังจากส่งเว่ยหงจวินกับคนอื่นเข้าห้องแล้ว เยี่ยเทียนหันไปต้อนรับคนที่เดินเข้ามา เขาคนนั้นคือจู้เหวยเฟิงกับ ชิวเหวินตง มีคนแปลกหน้าเดินตามอีกหนึ่งคน ในมือถือกล่องของขวัญไว้
เยี่ยเทียนทักทายเสร็จ หันไปพูดกับชิวเหวินตงว่า
“พี่ชิว ได้ข่าวว่าสำนักวิชากำลังไปได้ดี เหิงอวี่มาหา บอกว่า ตอนนี้สำนักมีมือดีหลายคนเลย”
ชิวเหวินตงรับกล่องของขวัญจากลูกศิษย์อู่เฉิน กล่าวพร้อมยิ้มว่า
“เป็นเพราะท่านดูแลเราเป็นอย่างดีครับ ได้ข่าวว่าท่านกำเนิดลูกชาย ของขวัญเล็กๆน้อยๆจากผมครับ!”
เหิงอวี่ที่ถูกเยี่ยเทียนพูดถึง คือเฟิงเหิงอวี่แห่งสำนักมวยแปดทิศ ตั้งแต่ถูกเยี่ยเทียนให้คำแนะนำไป เขามาหาเยี่ยเทียนเกือบทุกเทศกาล ว่างๆก็จะพูดคุยกับเยี่ยเทียนเรื่องสำนักวิชา
เดิมทีสำนักวิชาของชิวเหวินตงมีความเกี่ยวพันกับเรื่องสกปรก สถานีตำรวจท้องที่จัดการพวกเขาได้ง่ายมาก พวกเขาจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด
ตั้งแต่รู้จักเยี่ยเทียน เรื่องสกปรกของชิวเหวินตงถูกชำระล้างจนหมดสิ้น โดยเฉพาะครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ชิวเหวินตงไม่เพียงแต่มีหน้าหน้ามีตาในสังคมมากขึ้น แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเองก็ให้ความเคารพเขามากขึ้นเช่นกัน
แรกเริ่ม ชิวเหวินรู้สึกแปลกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หลังจากสอบถามจู้เหวยเฟิงแล้ว เขารู้แจ้งทันที ที่ทุกคนปฏิบัติกับเขาดีขึ้นก็เพราะเห็นแก่หน้าของเยี่ยเทียน
เพราะฉะนั้น หลังจากได้รับข้อความจากเยี่ยเทียน ชิวเหวินตงไม่รีรอและนัดจู้เหวยเฟิง ประธานบริษัทเพชรพลอยขนาดใหญ่ ออกจากเตียงของนายหญิงรอง ใช้ความเร็วที่สุดในการเลือกของขวัญมูลค่าสูงไม่กี่ชิ้นและเดินทางมาหาทันที
เยี่ยเทียนรับของขวัญจากชิวเหวินตง และกล่าวว่า
“เหล่าชิว เกรงใจแย่เลย ของขวัญฉันรับไว้เลยนะ วันนี้แขกค่อนข้างเยอะ ไว้ลูกครบเดือนแล้ว เดี๋ยวผมเชิญคุณมาดื่มอีกดีไหม?”
“ได้สิน้องเยี่ย งั้นเดี๋ยวผมลากลับก่อน!”
ชิวเหวินตงเป็นคนฉลาด แม้ว่าจะได้ยินเยี่ยเทียนเชิญคนมาดื่มตั้งแต่หน้าประตู แต่เขาเข้าใจความสัมพันธ์ของเขากับเยี่ยเทียนดีว่า เขาไม่มีความใกล้ชิดกับเยี่ยเทียนขนาดนั้น แค่เยี่ยเทียนรับของขวัญไว้ แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว
แล้วตอนที่ชิวเหวินตงกลับ เขาไม่ได้บอกจู้เหวยเฟิง เพราะถ้าจู้เหวยเฟิงไม่ถูกเชิญให้เข้าไปเหมือนกัน คงเสียหน้าแย่ เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องยืนรับอารมณ์ตรงนี้
“เยี่ยเทียน หลานชายเกิด ฉันเตรียมหยกไว้ชิ้นนึง น้ำใจเล็กๆน้อยๆ”
หลังจากชิวเหวินตงออกไปแล้ว จู้เหวยเฟิงหยิบกุญแจหยกขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งอัน กล่าวว่า
“ของชิ้นนี้เป็นของรักของเหล่าเจิ้ง กว่าฉันจะเอามาได้ไม่ง่ายเลยบ ฉันรีบจนไม่มีเวลาห่อของขวัญเลย นายหาเชือกสักเส้นผูกเสร็จแล้วใส่ให้ลูกชายแล้วกันนะ!”
เหล่าเจิ้งที่พูดถึง ก็คือท่านประธานแห่งบริษัทเพชรพลอย หยกชิ้นนี้เป็นมรดกสืบทอดของตระกูลท่านประธานเจิ้ง เป็นหยกมันแพะชั้นดี เดิมทีเหล่าเจิ้งอยากเก็บไว้ให้หลานชายตัวเอง แต่ไม่คิดว่าหลานชายยังไม่ทันเกิด ก็ถูกจู้เหวยเฟิงแย่งไปซะแล้ว
“ขอบคุณมาก ผมรับไว้เลยนะครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและรับหยกชิ้นนั้นไว้ กล่าวว่า
“วันนี้ผมไม่มีเวลาดูแลทุกคน ผมรู้ว่าคุณก็ยุ่ง เรานัดกันวันหลังเป็นการส่วนตัวอีกทีดีไหมครับ?”
เยี่ยเทียนมีปฏิสัมพันธ์กับจู้เหวยเฟิงไม่น้อย เดิมทีพวกเขามีโอกาสกลายเป็นเพื่อนกันได้ แต่เรื่องที่จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิ่งไห่ทำที่ประเทศไทย เยี่ยเทียนไม่ชอบใจมาก แม้ว่าเขาจะแก้แค้นต่งเซิงไห่ให้กับเยี่ยเทียนแล้ว แต่จะให้ขยับความสัมพันธ์เป็นเพื่อนนั้นคงยาก
“ฉันรู้ว่านายยุ่ง นายไปดูแลแขกเถอะ ฉันไปหาป้ารองก่อน!”
จู้เหวยเฟิงเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นคนมีหน้ามีตาในสามช่วงอายุของกลุ่มนี้ในเมืองปักกิ่ง ถ้าเขาเดินตามชิวเหวินตงออกจากเรือนสี่ประสาน เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แล้วช่วงนั้นจู้เหวยเฟิงมาหาเยี่ยเทียนค่อนข้างบ่อย เขาจึงสนิทกับคนในบ้านของเยี่ยเทียน จากนั้นเขาก็พูดคุยกับป้ารองสนุกสนานจนป้ารองหัวเราะไม่หยุด เมื่อเห็นแบบนั้น เยี่ยเทียนทำได้เพียงส่ายหัวและไม่พูดอะไรต่อ วันนี้เป็นวันมงคลของลูกชาย การไล่แขกเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
“อ้าว ลุงเฉิน กลับปักกิ่งแล้วทำไมไม่โทรหาผมเลยครับ?”
หน้าประตูมีคนมาเพิ่ม พอเห็นว่าเป็นใคร เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ความสนิทสนมแบบนั้น จู้เหวยเฟิงที่อยู่ด้านข้างมองจนบอกความรู้สึกไม่ถูก
“ลุงเพิ่งกลับมาเมื่อวานเอง วันนี้ก็ได้ข้อความละ บังเอิญจริงๆ!”
ชายผู้นี้ก็คือเฉินสี่ฉวนที่ย้ายไปอยู่ยุโรปถาวร เดิมทีเขาอยากย้ายไปอยู่รัสเซีย แต่พอเกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาถูกทางการรัสเซียตรวจสอบด้วยเหมือนกัน แม้จะหลุดพ้นข้อสงสัยแล้วก็ตาม ประเทศนั้นก็ไม่เหมาะแก่การย้ายไปอยู่อีกต่อไป
เขาเขย่าเหล้าสองขวดในมือต่อหน้าเยี่ยเทียน กล่าวว่า
“คนแก่อย่างฉันเลือกของขวัญไม่เป็นหรอก ฉันเอาวอดก้าปี 90 กลับมาสองขวดพอดี เดี๋ยวมาดื่มฉลองกันสักหน่อยเป็นไง!”
ตอนที่อยู่ต่างประเทศ เฉินสี่ฉวนเพิ่งรู้ว่าซ่งเวยหลันมีอำนาจมากแค่ไหน ตอนที่เขาเปิดบริษัทที่ยุโรป ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับค้าขายทองคำของเหมืองทองคำไซบีเรียเป็นหลัก แล้วซ่งเวยหลันมีหุ้นส่วนอยู่ในนั้นด้วย เขานั่งเก็บเงินอยู่ที่บ้านเฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
“เอาสิครับ ต้องดื่มฉลองกันหน่อยแล้วหล่ะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบรับ พูดต่อว่า
“ลุงเฉินครับ อยู่ต่างประเทศชินหรือยังครับ? อยากกลับมาไหม ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วนะครับ”
เยี่ยเทียนยังคงรู้สึกผิดต่อเฉินสี่ฉวน ตอนนั้นเขากลัวว่าติงหงจะมาทำร้าย จึงบอกให้เฉินสี่ฉวนพาคนทั้งบ้านไปต่างประเทศ ซึ่งเขารู้เช่นกันว่าตอนนั้น เฉินสี่ฉวนน่าจะไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะเขาใข้ชีวิตที่ปักกิ่งมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต
แต่ตอนนี้เรื่องของติงหงจบไปแล้ว ตราบใดที่เยี่ยเทียนยังอยู่ ตระกูลอวิ๋นไม่กล้าทำอะไรเฉินสี่ฉวนแน่นอน ส่วนการยื่นขอสัญชาติจีนนั้น เป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย คำสั่งเดียวเท่านั้น
“อื้ม ไม่ต้องเสียเวลาหรอก”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เฉินสี่ฉวนโบกมือกล่าวว่า
“อย่าว่านะ อากาศของที่นั่นดีกว่าปักกิ่งเยอะ ปักกิ่งมีแต่ฝุ่น ดวงอาทิตย์ยังมองไม่เห็นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระต้องทำ ฉันก็ไม่อยากกลับมาที่นี่หรอก!”
“ได้ยินแบบนี้ผมก็ดีใจครับ ลุงเฉินนั่งดื่มน้ำชาก่อน เดี๋ยวผมไปอุ้มลูกชายออกมา!”
เดิมทีเยี่ยเทียนอยากอยู่คุยกับเฉินสีฉวนให้มากกว่านี้ แต่พอได้ยินเสียงก้าวเท้าจากหน้าประตูดังขึ้น เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพาเฉินสี่ฉวนไปนั่งที่ห้องรับแขกของเรือนกลางเสร็จ ถอดจิตออกไปหน้าเรือน
“เซี่ยวเทียน หลังจากกลุ่มนี้เข้ามาแล้ว ห้ามปล่อยใครเข้ามาอีก ลูกยังไม่ครบเดือนเลย”
“ครับอาจารย์!”
โจวเซี่ยวเทียนผู้รับผิดชอบการต้อนรับแขกที่หน้าประตูส่งเสียงกลับมา เขานำทาง7-8คนนั้นเข้ามาในเรือน จากนั้นก็ปิดประตูใหญ่และพาคนเหล่านี้เข้ามาเรือนกลางพร้อมกัน
หนึ่งในนั้น คนที่เดินนำหน้าเป็นคนผมขาว ส่วนคนที่เดินตามหลังเห็นได้ชัดว่ามีฉางเฮ่า ที่อยู่อาศัยตรอกซอยนี้อยู่แล้ว โจวเซี่ยวเทียนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นคนแก่คนนั้นในทีวีอยู่บ่อยๆ
เพิ่งเข้ามาในเรือนกลาง อู๋เหล่าเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามาต้อนรับทันที เขาหยุดเดินและพูดว่า
“เสี่ยวเยี่ย ยินดีด้วยนะ ท่านประธานเยวี่ยมีธุระ ฉันเลยมาเป็นตัวแทนหน่ะ!”
คำพูดของอู๋เหล่า ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเรือนกลางถึงกับอ้าปากตาค้าง ทันใดนั้นในห้องก็เงียบสงัด
…………………….