“ถ้าตามอายุ ผมต้องเรียกคุณว่าคุณน้ามั้งครับ?”
หลังจากได้ยินอาจารย์หวังพูดแบบนั้น ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเหลือบมองลูกชายนอนหลับอยู่บนเตียงทารก แต่เขายังพูดต่อไปว่า
“คุณน้าหวัง เงินนี้ไม่เกี่ยวกับคุณตา ผมอยากแสดงความขอบคุณ คุณน้าอย่าสนใจจำนวนเลยนะครับ หลายวันที่ผ่านมา ทุกคนดูแลพวกเราดีมาก ผมว่าเงินจำนวนนี้มันเหมาะสมแล้วนะครับ คิดซะว่าผมเป็นปุถุชนคนหนึ่งก็แล้วกันครับ! ”
ตอนปิดผนึกซองอั่งเปา เยี่ยเทียนใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เดิมทีเขาอยากแจกอั่งเปาให้คนละ 8888 หยวน ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร
เพราะวันก่อนอวี๋ชิงหย่าจะคลอด เธอเดินสะดุดขณะเดินเล่นในสวน อาจารย์หวังที่เดินอยู่ข้างๆพยุงเธอไว้ แล้วอาจารย์ก็ลื่นตกลงบ่อน้ำในสวนจนเสื้อผ้าเปียกโชก
และช่วงนี้ ผู้ดูแลทุกคนปฏิบัติหน้าที่กันสุดความสามารถ อย่างเช่นพี่จ้าว ลูกชายกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอเธอย้ายเข้ามา ทั้งอาทิตย์นั้นเธอรวบรวมความสนใจทั้งหมดไว้ที่อวี๋ชิงหย่าไม่ออกไปไหนเลย
เยี่ยเทียนรู้สึกเกรงใจมาก พอปรึกษากับแม่เสร็จ เขาจึงตัดสินใจแจกอั่งเปาให้กับพวกเธอ และก็เป็นไปตามที่พูด เยี่ยเทียนไม่ได้อยากแสดงความร่ำรวย แต่เขามีความตั้งใจจะขอบคุณคุณหมอและพยาบาลเหล่านี้จริงๆ
“เสี่ยวเยี่ย น้ำใจนี้น้าขอรับไว้นะ แต่เสี่ยวเยี่ยก็รู้ว่าโรงพยาบาลของเราเป็นยังไง มันผิดกฏโรงพยาลหน่ะ!”
อาจารย์หวังเคยปฏิเสธอั่งเปาซองแล้วซองเล่า เธอคุ้นเคยเหตุการร์นี้เป็นอย่างดี แล้วสิ่งที่เธอพูดออกมาก็ไม่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ดีด้วย
“ทำผิดกฏ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแบบนั้น เขาหัวเราะ กล่าวว่า
“คุณน้าหวัง เงินที่ผมให้ ไม่มีใครกล้าพูดว่าทำผิดกฏหรอกครับ พวกคุณรับไปเถอะ ถ้าไม่รับ ผมจะนำเงินส่วนนี้ไปทำเป็นส่วนหนึ่งของโบนัส ถ้าไม่กลัวคนในโรงพยาบาลตาลุกวาว คุณน้าเอาคืนให้ผมก็ได้นะครับ!”
เยี่ยเทียนดูออกว่า คุณน้าตรงหน้าไม่อยากรับเงินจริงๆ แต่หมอและพยาบาลพวกนั้น รู้สึกเสียดายจนเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่แสดงออกมา นี่มันยุคต้นศตวรรษที่ 21แล้ว เงินเดือนที่ได้รับจากโรงพยาบาลก็เท่านั้น ถ้าจะเก็บเงินให้ได้สักแสนจากเงินเดือน ก็ต้องใช้เวลาเกือบ5-6ปี
“เสี่ยวเยี่ย ฉันรู้ว่าเธอเป็นหลานชายของคุณซ่ง แต่…แต่พวกเราเป็นโรงพยาบาลทหาร คุณซ่งคงไม่ให้พวกเรารับเงินนี้หรอกมั้ง?”
คำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่มั่นใจเกินไปจนอาจารย์รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แม้ว่าซ่งเฮ่าเทียนเคยมีตำแหน่งและอำนาจสูง แต่เขาเกษียณไปแล้ว อีกอย่างทหารกับท้องถิ่นแยกออกเป็นสองระบบ การทำงานของระบบก็แตกต่างกัน แม้จะเป็นคุณซ่ง ก็ไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวการทำงานของโรงพยาบาล
“ก็ผมบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวกับคุณตาเลยครับ…”
เยี่ยเทียนมองคุณน้าอาวุโสผู้ดื้อรั้นจนไม่รู้จะพูดยังไง เขาแค่อยากดูลูกชายนานๆ ไม่มีเวลาไร้สาระตรงนี้มากนัก เขาจึงรีบกล่าวไปว่า
“คุณน้าหวัง เอาแบบนี้ก็แล้วกันครับ เช็คพวกนี้คุณน้าเอาไปก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันดีมั้ยครับ!”
“ก็ได้ เธอมาดูลูกใช่มั้ยเสี่ยวเยี่ย? เจ้าตัวน้อยแข็งแรงมาก”
คุณน้าอาวุโสพยักหน้า เธอเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ของเยี่ยเทียนดี ถ้าเยี่ยเทียนไม่เอากลับจริง เธอจะให้คนที่ได้รับเช็คทุกคน นำเช็คส่งมอบให้กับองค์กร อย่างน้อยเธอก็รักษาน้ำใจของเยี่ยเทียนเอาไว้ได้
“ต้องขอบคุณคุณน้าทุกคนครับ ผมเข้าไปดูลูกตอนนี้ จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนดีใจที่ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น เขาเดินไปใกล้รถเข็นทารก มองดูลูกชายขมวดคิ้วเหมือนคนแก่ เขาย่ำเท้าด้วยความระมัดระวัง และแทบจะกลั้นหายใจ เพราะกลัวจะทำให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับสบายตื่น
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อาจารย์หวังยิ้ม
“แล้วผมอุ้มได้ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปแบบกล้าๆกลัวๆ กลัวจะทำให้ลูกตื่น
อาจารย์หวังหัวเราะและตอบว่า
“ได้สิ อุ้มไปหาเสี่ยวอวี๋สิ เด็กที่เพิ่งเกิดเวลาได้อยู่กับแม่เขาจะรู้สึกปลอดภัย”
“ครับ ครับ!”
เยี่ยเทียนขานตอบสองครั้ง เขาปล่อยปราณแท้มาไว้ที่สองมือ จากนั้นก็อุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ท่าทางอ่อนโยนจนเจ้าตัวเล็กแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“เยี่ยเทียน ลูกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”
เยี่ยเทียนเพิ่งอุ้มลูกขึ้นมา ซ่งเวยหลันกับหวังอิ๋งอิ๋งเดินเข้ามาพอดี ซ่งเวยหลันเห็นความเกร็งของเยี่ยเทียน เธอกล่าวว่า
“แกอุ้มได้ใช่ไหม? มาๆ ให้แม่อุ้ม ข้างนอก มีคนมาเยอะเลย ลูกไปดูแลหน่อย! ”
“ใช่ เยี่ยเทียน เรื่องอุ้มเด็ก เธอต้องฝึกอีกเยอะ ”
หวังอิ๋งอิ๋งรีบเอามือช้อนเข้าไปที่ท้ายทอยของเจ้าตัวเล็ก เพราะกลัวเยี่ยเทียนจะอุ้มไม่ดี
“แม่ครับ พี่อิ๋ง แม่กับพี่กำลังยึดสิทธิความเป็นพ่อของผมอยู่นะครับ!”
เยี่ยเทียนกลอกตาแล้วถามว่า
“ใครมาละครับ? ถึงกับต้องให้ผมไปดูแล ตำแหน่งไม่เล็กเลยนะ!”
“คุณตาแก แกไม่ต้องไปดูแลเหรอ? เอาหลานมาให้ฉัน!”
ซ่งเวยหลันยื่นมือออกไป เยี่ยเทียนกลัวจะทำให้ลูกชายเจ็บ จึงทำได้เพียงคลายมือออก แล้วบ่นพึมพำว่า
“ผู้เฒ่าคนนี้หูไวจริง เพิ่งคลอดออกมา ก็มาถึงแล้ว!”
“พูดอะไรแบบนั้น? ไปๆ รีบออกไป! ”
ซ่งเวยหลันเอาข้อศอกแตะลูกชายเบาๆ จากนั้นเธอก็อุ้มหลานชายไปเรือนกลาง เรือนนั้นได้จัดพื้นที่ชั่วคราวเอาไว้ ตอนนี้อวี๋ชิงหย่ากำลังนอนพักอยู่ในห้องด้านข้าง สามารถอุ้มเด็กออกมาให้แขกเชยชมได้
“เยี่ยเทียน นี่คือกุญแจมงคลที่ตาจะให้เจ้าตัวเล็ก”
เยี่ยเทียนกับแม่เพิ่งเข้ามาถึง ซ่งเฮ่าเทียนที่กำลังพูดคุยสนุกสนานกับโก่วซินเจียอยู่ก็หยิบของขวัญออกมา ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะลูกยังเล็กเกินไป ซ่งเฮ่าเทียนคงสวมใส่ที่คอให้เลย
หลังจากถูกยึดสิทธิความเป็นพ่อไปแล้ว เขาก็อารมณ์ไม่ดีเลย จึงพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์และพูดว่า “ขอบคุณครับท่านผู้เฒ่า กุญแจมงคลไม่ได้ทำจากทองแดงใช่ไหมครับ?”
“เจ้าลูกคนนี้ พูดอะไรแบบนั้น? พูดกับตาดีดีหน่อย อุ้มเด็กไปให้ชิงหย่า”
ซ่งเวยหลันเบิกตากว้างใส่ลูกชาย และหันไปบอกกับหวังอิ๋งอิ๋งให้อุ้มหลานเข้าไปข้างใน แต่แล้วเสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นเจี้ยวจ้าวเต็มห้องโถง ทุกคนเดินมาล้อมดูเจ้าตัวน้อยอย่างไม่เกรงใจว่าเด็กจะตื่น
“เยี่ยเทียน ตั้งชื่อลูกว่าอะไรเหรอ?”
ซ่งเฮ่าเทียนรู้นิสัยตรงไปตรงมาของหลานชาย เขาปกปิดความรู้สึกต่อหน้าคนอื่นไม่เป็น จึงมองข้ามคำพูดเมื่อครู่และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ปัญจธาตุของเด็กคนนี้ ขาดธาตไฟ ผมกลัวว่าเขาโตขึ้นจะอ่อนแอ ก็เลยตั้งชื่อให้เขาว่า เยี่ยชิว ชื่อเล่นว่าเว่ยเว่ย…” พอพูดถึงชื่อของลูกชาย เยี่ยเทียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง
“ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม หวังเพียงเจ้าตัวน้อยจะสืบทอดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย!”
เรื่องตั้งชื่อลูก เยี่ยเทียนมีความตั้งใจมาก ไม่ว่าจะชื่อเยี่ยชิวหรือว่าชื่อเล่น เขาทำนายครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะตัดสินใจ
ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม มีความหมายว่า สิ่งบอกเหตุเล็กแต่เห็นถึงอนาคต เมื่อเห็นใบไม้ร่วงก็หยั่งรู้อายุขัยของมันแล้ว เมื่อเห็นน้ำในขวดแข็งตัวก็หยั่งรู้ความหนาวเหน็บของฟ้าดินแล้ว เป็นการอุปมาผู้หยั่งรู้ทิศทางเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากลางสังหรณ์เพียงนิดเดียว เยี่ยเทียนตั้งชื่อนี้ เพราะตั้งความหวังกับลูกชายไว้สูงมาก
ผู้ที่ฝึกวิชาเซียน เป็นทั้งผู้ฝืนชะตาฟ้า และผู้ทำตามวิถีธรรมชาติ เยี่ยเทียนเปลี่ยนชะตาของพ่อแม่ ภรรยาและคนในครอบครัวให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ แต่เขาทำให้ลูกชายเดินเส้นทางนี้ได้ และถึงแม้ลูกชายจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ แต่เยี่ยเทียนสามารถฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา และบังคับเปลี่ยนสังขารของเขาได้
และเมื่อครู่ เยี่ยเทียนพบว่ากระดูกของลูกชายแข็งแรงมาก ด้วยกำลังทรัพย์ของเขา เขาสามารถซื้อยาแพงชั้นดีให้เยี่ยชิวกินทุกวัน เยี่ยเทียนเชื่อว่า ลูกชายอาจจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้เร็วกว่าตนอีก
“ยอดหญ้าไหวจึงรู้ทิศทางลม ดี!”
ซ่งเฮ่าเทียนรู้ความหมายของคำว่าสืบทอดที่เยี่ยเทียนพูดถึง แม้เยี่ยเทียนจะไม่พูดออกมาก็ตาม ถ้าต่อจากเยี่ยเทียนแล้วยังมีคนแบบเยี่ยเทียนอีก ตระกูลซ่งก็จะได้รับความรุ่งโรจน์ตามด้วย ซึ่งท่านผู้เฒ่าไม่มีทางไม่เห็นด้วยแน่นอน
“เยี่ยเทียน ได้ข่าวว่าชิงหย่าคลอดแล้ว? ไม่ส่งข่าวกันเลยนะ ถ้ารู้แต่แรก ฉันคงมาหานานแล้ว!”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังพูดคุยกับคุณตาอยู่ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากในสวน เสียงนั้นเป็นของเว่ยหรงหรงเจ้าตัวแสบกับสวีเจิ้นหนานนั่นเอง แน่นอนว่า เพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างเว่ยหงจวินก็เดินตามหลังมาด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกมาต้อนรับ สวีเจิ้นหนานชกเข้าที่อกและพูดว่า
“ร้ายนะ คลอดลูกชายก็ไม่บอกฉันสักคำ ตอนฉันมีลูกสาว ฉันบอกนายเป็นคนแรกเลยนะ!”
สวีเจิ้นหนานกับเว่ยหรงหรงแต่งงานกันแล้วหลายปี ลูกสาวอายุสองขวบแล้ว
หลังจากแต่งงาน สวีเจิ้นหนานไม่ได้ไปทำงาน หลังจากได้รับอนุญาตจากพ่อตาและคนที่บ้าน แต่เขาไปลงทุนของสะสมกับงานศิลปะแทน ถึงแม้สองปีมานี้เขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกับเยี่ยเทียน แต่เขาไปหาเยี่ยตงผิงบ่อยประกอบกับความสัมพันธ์ของเว่ยหรงหรงกับอวี๋ชิงหย่าที่สนิทกัน ทั้งสองบ้านนี้จึงไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อยพอสมควร
“พี่ใหญ่ พี่เข้าใจผมผิดแล้วนะ”
เยี่ยเทียนทำท่าเหมือนเจ็บ และพูดว่า
“เด็กคลอดปุ๊ป ผมก็ส่งข่าวให้ทันทีเลยนะ แล้วอีกอย่าง กำหนดการคลอดคือวันพรุ่งนี้ ผมจะรู้ได้ไงว่าลูกชายจะคลอดวันนี้”
“อืมๆ ฉันให้อภัย”
สวีเจิ้นหนานโบกมือกล่าวต่อ
“เยี่ยเทียน โบราณว่าไว้ หญิงอายุมากกว่าหนึ่ง อุ้มไก่ทอง มากกว่าสอง ทองเต็มโถ รอลูกชายนายโต เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันเป็นไง?”
เว่ยหงจวินกำลังจะพูด แต่พอได้ยินสวีเจิ้นหนานพูดแบบนี้ เขาเงียบทันที เขามองเยี่ยเทียนด้วยความคาดหวัง เพราะในเมืองปักกิ่ง ในบรรดาเพื่อนๆ นอกจากจู้เหวยเฟิงที่รู้ว่าเยี่ยเทียนมีความสามารถพิเศษเหนือคนทั่วไป ก็มีแต่เว่ยหงจวินที่รู้
ถ้าได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับเยี่ยเทียน สถานะพ่อค้าของเว่ยหงจวินจะเปลี่ยนไป และเขาจะได้เข้าไปอยู่ในสังคมชั้นสูงทันที เวลาทำมาค้าขายเขาก็จะได้รับผลตอบแทนที่มากเป็นพิเศษ
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้เอาไว้ทีหลังเถอะครับ มา เดี๋ยวผมพาไปดูลูกชายผม หนักตั้งสี่โลแหน่ะ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
………………………..