“ก็จริง แต่เหลยหู่เป็นคนจิตใจคดเคี้ยว ทำไมถึงรับเป็นศิษย์ล่ะ?”
โก่วซินเจียขำในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด ตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน ผมขาวของเขาและจั่วเจียจวิ้นกลายเป็นสีดำทั้งหมด ใบหน้าไม่มีรอยย่น ผิวหน้าขาวเนียนราวกับเด็กทารกแรกเกิด ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนแก่ที่อายุใกล้จะเก้าสิบ
โก่วซินเจียไม่สนใจกับหน้าตาที่เปลี่ยนเป็นหนุ่ม และไม่มีใครรู้สึกแปลกใจ เพราะคนที่รู้จักเขาได้ตายจากโลกนี้ไปหมดแล้ว แต่จั่วเจียจวิ้นเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยเพื่อน เขาไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นฟังยังไง
เยี่ยเทียนโบกมืออธิบายต่อว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ นิสัยที่แท้จริงของเหลยหู่ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น ตอนนี้จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปเยอะมาก ผมคิดว่าจะให้เขามาดูแลเรื่องต่างๆในสำนัก…”
สาเหตุที่สำนักเสื้อป่านขาดคน เพราะไม่มีคนดูแลคนหลักอยู่ในสำนัก ในตอนนั้นเพราะหลี่ซั่นหยวนไม่สนใจ นอกจากใช้เวลาไปกับการฝึกพลังวิชาแล้ว ก็รวบรวมวิชาประจำสำนักให้สมบูรณ์ซะส่วนใหญ่ เขาจึงไม่มีเวลาว่างไปรับลูกศิษย์เข้าสำนัก
พอถึงยุคของเยี่ยเทียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ประกอบกับมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย อย่าว่าแต่ดูแลสำนัก แม้แต่พ่อแม่ก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าเยี่ยเทียนเลย
ส่วนโก่วซินเจียและคนอื่น คนหนึ่งรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีวางมือเข้าป่า คนหนึ่งอยู่แต่ในสังคัมชั้นสูง มีหน้ามีตา ไม่ยอมลดระดับลงเพื่อไปทำงานรับลูกศิษย์เข้าสำนักเหมือนพวกสำนักศิลปะต่อสู้
“ความคิดนี้ไม่เลวนะ แต่…”
โก่วซินเจียส่ายหัว แม้จะพูดไม่จบ แต่สิ่งที่ไม่พูดออกมากลับมีความหมายชัดเจน การมอบหน้าที่อันสำคัญของสำนักเสื้อป่านให้แก่เหลยหู่รับผิดชอบ เขาไม่ไว้ใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูก ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิทุกชั้นฟ้า ทุกชั้นดิน ทุกชั้นมหาสมุทร ศิษย์น้องเล็กบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เจ้าเหลยหู่ไม่ถามไถ่สักคำ แล้วยังหายไปอีก ลูกศิษย์แบบนี้ จะไปสอนคนในสำนักเสื้อป่านของฉันได้ยังไง? ”
จั่วเจียจวิ้นไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเยี่ยเทียนเช่นกัน ตอนที่พวกเขาพบเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนถูกห่อไว้ราวกับบ๊ะจ่าง บาดแผลเต็มไปหมดทั้งตัว เป็นถึงลูกศิษย์แต่ไม่อยู่ดูแลใกล้ๆ ถ้าจะไล่ออกจากสำนักก็ไม่ได้ทำมากเกินไป
“พอเถอะครับศิษย์พี่ เขาจะต้องกลับมา! ”
เยี่ยเทียนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหลยหู่ไปไหน แต่เขาเชื่อในสายตาของตัวเอง เพราะตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เหลยหู่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่ใช่อาวุโสหงเหมินผู้มีจิตใจคับแคบคนก่อนแล้ว
“โน่น รีบดูเซียนเร็ว มีคนกำลังบินอยู่! ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังถกเถียงเรื่องเหลยหู่อยู่ ตรงดาดฟ้าของเรือมีเสียงตกอกตกใจดังขึ้น โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นขมวดคิ้วและปล่อยจิตออกไปพร้อมกัน
เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนคือการถอดจิต หลังจากที่ทำความเข้าใจได้ระยะหนึ่งแล้ว โก่วซินเจียกับจั่วจวิ้นก็คุ้นเคยกับการสำรวจโดยใช้จิต ซึ่งมันสะดวกกว่าการใช้ตามองเป็นอย่างมาก
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาทันที!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะบาดเจ็บไม่น้อย แต่จิตของเขาแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ก่อนที่คนเหล่านั้นจะตะโกน เขาสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของปราณชีวิต ซึ่งเป็นของเหลยหู่ มันลอยมาจากน้ำทะเลไกลออกไป
“มันยังกล้ากลับมาอีก? ฮึ่ม! ”
หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดจบ จั่วเจียจวิ้นส่งเสียงเหอะๆ เดินออกจากห้องโดยสาร ถึงแม้ปราณชีวิตที่อยู่ด้านนอกแข็งแกร่งมาก และไม่ได้ด้อยไปกว่าตน แต่คนแก่ที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนอย่างจั่วเจียจวิ้นก็ไม่กลัวคนรุ่นหลังอย่างเหลยหู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ คนที่พลังวิชาเพิ่มระดับแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วยเหรอครับ? ”
เมื่อเห็นศิษย์พี่รองเดินออกไปด้วยสีหน้ามึนตึง เยี่ยเทียนอดขำไม่ได้ เมื่อก่อนจั่วเจียจวิ้นเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆผ่านสีหน้า แต่หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว อารมณ์รุนแรงกว่าเมื่อก่อนมาก
“อาจารย์ ผมออกไปดูด้วยนะครับ! ”
โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกสนใจศิษย์น้องอายุสี่สิบที่อยู่ด้านนอกเหมือนกัน หลังจากบอกเยี่ยเทียนเสร็จ เขาก็ออกไปจากห้องโดยสารด้วยความรวดเร็ว
ที่จริงแล้วในใจของโจวเซี่ยวเทียนก็อยู่ไม่สุขเหมือนกัน เมื่อก่อนเหลยหู่ยังไม่ถึงระดับหลอมปราณสู่จิตเลย ในเวลาสั้นๆแค่หนึ่งปี พลังวิชาของเขาพุ่งไปถึงระดับอาจารย์ลุงทั้งสองท่าน ในฐานะลูกศิษย์คนโตของเยี่ยเทียน ก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา
“ออกไปให้หมด ถ้าฉันไม่เรียก ห้ามออกมาเด็ดขาด! ”
ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนมาถึงดาดฟ้า เขาเห็นจั่วเจียจวิ้นไล่กะลาสีเรือออกไปพอดี เดิมทีกะลาสีเรือสำราญลำนี้มีแต่ฝรั่ง แต่พอถังเหวินหย่วนรับซื้อเรือลำนี้แล้ว เขาทำการเปลี่ยนเป็นคนจีนทั้งหมด
และเพื่อให้สะดวกต่อการฝึกพลังวิชา กัปตันเรือและกะลาสีเรือเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นศิษย์ของสมาคมหงเหมินแห่งเกาะฮ่องกง หนึ่งปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้เคยเห็นโก่วซินเจียเดินบนน้ำแล้วหลายครั้ง แล้วตอนนี้เห็นคนลงมาจากฟ้า นอกจากส่งเสียงตกใจนิดหน่อย ยังถือว่ารับเรื่องนี้ได้เร็วมาก
คำพูดของจั่วเจียจวิ้นมีน้ำหนักพอสมควร เพียงครู่เดียว ดาดฟ้าที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนก็กลายเป็นดาดฟ้าโล่งๆ นอกจากจั่วเจียจวิ้นและคนอื่นที่ยืนอยู่ที่ห้องโดยสารแล้ว ขอบเรือที่ห่างออกไปยี่สิบกว่าเมตร มีชายหนุ่มอายุราวสามสิบกว่ายืนอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มคนนั้นแต่งตัวแปลกๆ ผมยาวประบ่า เสื้อผ้าหุ้มตัวทำมาจากหนังสัตว์ทั้งหมด ตรงแขนข้างขวาไม่มีแม้แต่ชายเสื้อ บางทีอาจจะเป็นเพราะฝีมือไม่ถึง กางเกงก็ยาวข้างหนึ่งสั้นข้างหนึ่ง ขาดรุ่ยเหมือนกับคนป่าที่เพิ่งออกมาจากป่าลึก
บ่าขวาที่ไร้แขนของเหลยหู่ แบกถุงขนาดเท่าตัวเขาอยู่หนึ่งถุง ไม่รู้ทำมาจากหนังของสัตว์ชนิดไหน แม้ฝีมือลายเย็บจะดูหยาบ แต่หนังที่ใช้เป็นหนังที่ดีมาก เต็มไปด้วยลวดลายอันสวยงาม
บ่าซ้ายที่ไม่ได้เป็นอะไร มีสัตว์ตัวเล็กมีขนสีทองทั้งตัวเกาะอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอใจฐานยึดที่มันเกาะไว้เท่าไหร่ มันส่งเสียงออกมาและกำลังใช้กรงเล็บดึงผมของชายคนนั้น
“แกคือเหลยหู่เหรอ? อาจารย์ของแกบาดเจ็บสาหัส แกไม่อยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด มันใช่สิ่งที่ลูกศิษย์ควรจะทำมั้ย? ”
จั่วเจียจวิ้นมองเหลยหู่ที่อยู่ตรงด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ และตำหนิเหลยหู่ทันที ด้วยความที่อยู่ในสังคมมานาน แล้วยังมีพลังที่แตกต่างจากคนทั่วไปอีก จั่วเจียจวิ้นไม่สามารถประนีประนอมดุจพี่ใหญ่ได้จริงๆ
“ท่านเป็นใคร? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผมชื่อเหลยหู่? แล้วตอนนี้อาจารย์ของผมอยู่ที่ไหน? ”
คนที่กำลังพูดอยู่ก็คือเหลยหู่ คนที่นำเยี่ยเทียนส่งขึ้นเรือประมง พลังวิชาของเขาพัฒนาเร็วเกินไป ถึงแม้ว่าช่วงนี้อารมณ์เปลี่ยนไปมาก แต่คนที่เคยดำรงตำแหน่งสูงมาโดยตลอด จะทนต่อการตำหนิจากจั่วเจียจวิ้นได้อย่างไร?
เขาจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว การเคลื่อนไหวของปราณชีวิตพุ่งออกมาจากข้างในร่างกาย ทำให้ร่างเดิมทีสูงร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรสูงขึ้นอีกสิบกว่าเซ็นติเมตร จนกลายเป็นยักษ์สูงสองเมตรไป ถ้าดูจากภายนอกดูเป็นคนที่น่าเกรงขามมาก
เหลยหู่รู้ว่าเยี่ยเทียนมีศัตรูเยอะ พลังวิชาของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ต่างจากเขาไม่มาก จึงไม่คิดจะประนีประนอม จึงส่งพลังไปล้อมจั่วเจียจวิ้นกับโจวเซี่ยวเทียนไว้ทันที
นอกจากสองคนนี้แล้ว เหลยหู่ก็สัมผัสได้ว่าภายในห้องยังมียอดฝีมืออีกหนึ่งคน หนึ่งต่อสอง เหลยหู่ยอมรับว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองคนนี้ แต่เขาเป็นคนที่เฉียบขาด ขณะที่กำลังจะลงมือ
“เหลยหู่ ห้ามเสียมารยาทกับอาจารย์ลุงรอง…”
เสียงของเยี่ยเทียนดังออกมาจากด้านใน ทำให้เหลยหู่กับจั่วเจียจวิ้นที่กำลังจะปะทะกันอารมณ์เย็นลง
“ศิษย์พี่รอง ให้เขาเข้ามาเถอะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลอยวิเศษบนตัวเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนก็มีสีหน้าดีใจออกมาทันที ตอนนี้เขาเดาออกแล้วว่าเหลยหู่ไปไหนมา เมื่อเทียบกับพลอยวิเศษเหล่านั้น การดูแลเขาอย่างใกล้ชิดแทบจะเทียบอะไรไม่ได้
“อาจารย์ลุงรอง? ”
เหลยหู่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบคุกเข่าคำนับ อย่าว่าแต่ฐานะของคนตรงข้าม การทะลุเข้าระดับเซียนเทียนโดยไม่ใช้ปราณวิเศษบนเกาะเซียนช่วย แค่เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้วที่เหลยหู่ต้องคำนับ
“หืม? ไม่ได้เป็นคนเย่อหยิ่งจองหองอย่างที่เขาว่ากัน…”
โบราณกล่าวไว้ว่าไม่ลงโทษคนที่รู้ว่าผิด ท่าทีของเหลยหู่ทำให้จั่วเจียจวิ้นที่โมโหอยู่ทำอะไรไม่ถูก เยี่ยเทียนเป็นเจ้าสำนัก สิ่งที่เขาได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว จั่วเจียจวิ้นไม่สามารถคัดค้านได้
“ลุกขึ้นเถอะ! ”
จั่วเจียจวิ้นมองเหลยหู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับเข้าไปด้านในอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนเหลยหู่ก็เก็บลมปราณและเดินตามหลังเข้าไป
“อาจารย์ ผมผิดไปแล้ว อาจารย์ลุงรองทำถูกแล้วครับ! ”
ประตูเพิ่งจะถูกเปิดออก เหลยหู่เห็นเยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเตียง เขาสะบัดถุงที่อยู่บนบ่าขวาออกและตรงเข้าไปคุกเข่าตรงหัวเตียงทันที
โก่วเซินเจียพยักหน้ากับท่าทีของเหลยหู่ ความจริงใจที่เหลยหู่แสดงออกมา มันมาจากข้างในจริงๆ เพียงเท่านี้ ก็เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนเลือกไม่ผิดคน
“ลุกขึ้นเถอะ นี่คืออาจารย์ลุงใหญ่ คนนี้ชื่อโจวเซี่ยวเทียน เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของแก! ” เยี่ยเทียนแนะนำแต่ละคนให้เหลยหู่เสร็จ เขาถามเหลยหู่ว่า
“เหลยหู่ แล้วหลายวันนี้แกหายไปไหนมา? ”
“อาจารย์ ศิษย์ไม่รู้จะทำยังไง ตอนที่อาจารย์ร่วงลงมา ไอ้เจ้านี่ก็ร่วงลงมาด้วย! ”
เหลยหู่ใช้เท้าถีบถุงที่ใช้หนังสัตว์ห่อไว้ แสดงความไม่พอใจออกมา เขามีแขนซ้ายข้างเดียว ตอนที่ช่วยเยี่ยเทียน เขาจึงต้องโยนถุงที่เต็มไปด้วยพลอยวิเศษทิ้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ ผ่านไปแค่วันเดียวกรรมก็สนองทันตาเห็น
ตอนนั้นอาการของเยี่ยเทียนค่อนข้างหนัก เหลยหู่สัมผัสได้ถึงตันเถียนของเยี่ยเทียน มันน่าจะใกล้แตกแล้ว พอสัมผัสแล้วยิ่งทำให้เหลยหู่กระวนกระวายและไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี เพราะตอนนั้นบนทะเลไม่มีปราณวิเศษเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งมันไม่ดีต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนเลย
แต่ยังโชคดีที่ในกระเป๋าเสื้อของเหลยหู่มีพลอยวิเศษธาตุน้ำอยู่สามชิ้น สองแขนของเยี่ยเทียนที่มีเนื้อ เลือด ชีพจรเริ่มงอกออกมาก็เพราะพลอยวิเศษทั้งสามชิ้นนั้น
………………………..