“จง! เปิด! ออก!!”
เสียงคำรามของเยี่ยเทียนดังกึกก้องทั่วทั้งฟ้า พลังของจินตันระเบิดออกมาจากภายในร่างกายของเขาจนหมดสิ้น เสื้อผ้าที่ทำมาจากหนังสัตว์ถูกพลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เยี่ยเทียนที่ยืนตระหง่านอยู่ในอากาศ ราวกับดวงตะวันบนฟากฟ้า แผ่ลำแสงสว่างจ้าจนดวงตาพร่าเลือน
เวลานี้เยี่ยเทียนสัมผัสถึงกำลังอันมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน ขนาดที่หากต้องเผชิญหน้ากับอสูรทั้งสาม เขาก็กล้าต่อสู้ หลังจากเสียงคำรามของเยี่ยเทียน พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวเข้มข้นบนฝ่ามือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียน ก็ออกแรงฉีกแนวเขตแดนทั้งสองฝั่งออกจากกัน
“คว่าก…”
เสียงที่ราวกับผิวหนังฉีกขาดดังเข้ามาสู่หูของเยี่ยเทียน เมื่อเงยหน้าขึ้น เยี่ยเทียนยังอดมองอย่างยินดีไม่ได้ เพราะตำแหน่งที่อยู่บนหัวของเขา มีลมปราณที่มีสภาพอากาศที่เจือปนไปด้วยมลพิษจากอุตสาหกรรมเท่านั้นจึงจะมีได้
ซึ่งเขาไม่ได้พบเจอมาเนิ่นนานโชยมา
เยี่ยเทียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนเองจะโหยหาสภาพอากาศแบบนี้มากมาย แต่ว่าไม่ทันที่เยี่ยเทียนจะเอ่ยปากออกมา รอยยิ้มที่เต็มบนใบหน้าของเขาก็หายไป
“กะ…เกิดอะไรขึ้น?”
บนตำแหน่งเขตแดนเหนือหัวของเยี่ยเทียน ช่องว่างที่ถูกเขาฉีกออกมีความกว้างเพียงยี่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะออกแรงเท่าไหร่ รูโหว่นั้นก็ไม่ขยายกว้างขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับหนังวัวแข็งทึบที่ถูกดึงจนสุด แล้วค่อย ๆ หดตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ
“ไม่ได้นะ ฉันจะออกไป! ฉันจะต้องออกไปให้ได้!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าหากเขายอมแพ้ตอนนี้ เขาและเหลยหู่ก็จะถูกกักขังอยู่ในเกาะที่ราวกับคุกนี่ไปตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสได้ไปพบพ่อแม่หรือคนรักอีก เมื่อคิดถึงสายตาอันเศร้าสร้อยที่นึกว่าตนเองตายไปแล้ว ดวงตาสองข้างของเยี่ยเทียนก็กลับกลายแดงก่ำขึ้นมา
“พลัง ฉันต้องการพลัง!”
เยี่ยเทียนคำรามออกมาจากปาก จินตันเม็ดที่อยู่ในจุดตันเถียนก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว เขาลืมคำสั่งของสิงห์ขนทองไปเสียสนิท ดูดซับพลังจากจินตันนั้นจนแทบบ้าคลั่ง
“เปรี้ยง!”
ภายในร่างกายของเยี่ยเทียน ราวกับมีถังน้ำมันถูกจุดชนวน กำลังจากวรยุทธ์หลายพันปีของสิงห์ขนทองที่ถูกกักเก็บไว้ภายในจินตันระเบิดออกมาโดยปราศจากการสกัดกั้น
พลังปราณชีวิตอันแข็งแกร่งเต็มเปี่ยมอยู่ภายในทุกเซลล์ร่างกายของเขา ร่างกายไม่สามารถรองรับกำลังอันมหาศาลเช่นนี้ได้ ทั่วทุกรูขุมขนทั่วร่างจึงมีเลือดผุดออกมา ร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับเป็นมนุษย์โลหิต เลือดในกายกว่าครึ่งในร่างกายเขา ล้วนถูกพลังชีวิตของจินตันผลักดันออกมานอกร่างกาย
แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่นึกสนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ต่อให้เขาต้องตาย ก็ต้องตายในมิติของตนเอง เขาไม่สนว่าพลังชีวิตในจินตันจะสร้างบาดแผลให้ตนเองอย่างไรบ้าง จึงบีบเค้นให้พลังปราณชีวิตซึ่งพลุ่งพล่านไปทั่วทุกหนแห่งในร่างผลักดันไปยังฝ่ามือทั้งสอง
ภายใต้การชี้นำด้วยพลังจิตอย่างดุดัน พลังปราณชีวิตซึ่งไม่ได้เป็นของเยี่ยเทียน ปะทุจนผิวหนังทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนแตกออก ทำให้มองเห็นกระดูกแขนที่มีสีเหลืองทองจางลอยอยู่กลางอากาศ
“จงเปิดออก!!”
พลังชีวิตภายในจินตันไม่เพียงโจมตีร่างเนื้อของเขา แต่สติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนก็ไม่กระจ่างชัดอีกต่อไป เวลานี้เยี่ยเทียนยึดถือความคิดเพียงอย่างเดียว นั่นคือแหกมิติออกแล้วหนีไปจากที่นี่ ต่อให้ออกไปแล้วก้าวสู่โลกแห่งความตายทันทีก็ไม่มีความเสียใจแม้แต่น้อย
ภายใต้พลังรุนแรงของจินตัน เยี่ยเทียนลงมืออีกครั้ง ด้วยวิทยายุทธ์เก้าส่วนจากช่วงเวลารุ่งโรจน์ของสิงห์ขนทอง เขตแดนที่ถูกเมฆสวรรค์แย่งชิงพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมาก จึงไม่สามารถประคับประคองแนวพรมแดนในสภาพสมบูรณ์ได้อีกหลังจากมีเสียง “แคว่ก” แผ่วเบาดังขึ้น บนเหนือหัวของเยี่ยเทียนก็ปรากฎรอยแยกขนาดสองตารางเมตรขึ้นมา
“ทำได้แล้ว!”
อากาศขุ่นมัวที่ไหลเชี่ยวเข้ามาจากรอยแตกนั้น ทำให้สติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนชัดเจนมากขึ้น ใบหน้ามีแววปลื้มปีติออกมา ช่องว่างมิติขนาดสองเมตร มากพอจะทำให้พวกเขาหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
ในเขตแดนที่ถูกปิดกั้นโดยค่ายกลนี้ เท่ากับเป็นมิติอันอิสระโดยสมบูรณ์ แต่หลังจากที่อากาศปนเปื้อนไหลเข้ามาแล้ว ก็บังเกิดลมพายุลูกใหญ่ คลื่นบนทะเลสั่นไหวระลอกมหึมา กระทั่งท้องฟ้ากระจ่างแจ้งยังแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม
“เร็วเข้า หนีไปจากที่นี่!”
เยี่ยเทียนที่พยายามประคองสติ ก้มหน้าลงร้องตะโกนไปทางพื้น เขารู้สึกว่าพละกำลังภายในร่างกายของตนค่อยๆ ลดถอยไปอย่างช้าๆ และรอยแยกนั่นก็ดูราวกับสามารถฟื้นฟูตนเองได้ จนสามารถเห็นความรวดเร็วในการสมานแผลด้วยตาเปล่า
“หืม เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนก้มลงมองไปยังพื้นดิน ก็ตกตะลึงไปทั้งเนื้อตัว นั่นเพราะเขาพบว่า อสูรทั้งสามตนใกล้หาดทรายนั่น ไม่มีใครเลยที่ตอบรับเสียงเรียกของเขา
แต่ที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ มังกรน้ำตัวนั้นและสิงห์ขนทองตัวเมีย ไม่มีพลังชีวิตแผ่ออกมาจากร่างกายแม้แต่นิดเดียว เขาแหลมหนึ่งชิ้นที่อยู่บนหัวของมังกรน้ำก็หายไปไม่มีให้เห็น ตรงตำแหน่งของเขา มีรูกลวงลึกอยู่หนึ่งรู ด้านนอกไหลเลอะไปด้วยของเหลวสีแดงและขาว
สิงห์ขนทองตัวเมียยิ่งน่าเวทนาหนัก ขนทองคำงดงามทั่วตัวของมัน เวลานี้ถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำทั้งหมด เช่นเดียวกับตรงกลางกระหม่อม มีรูโบ๋เล็กขนาดประมาณสิบเซนติเมตร เห็นได้ชัดว่าสายฟ้าดำทมิฬเส้นนั้น สลายพลังชีวิตของมันไปจนหมดสิ้น
มีเพียงบนร่างของสิงห์ขนทองตัวผู้ ที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิต แต่สภาพของมันเองก็ย่ำแย่ สองขาด้านหน้าของมันหายไป และทรวงอกก็ถูกทะลวงจนเป็นรูใหญ่
อย่างไรก็ตามด้วยพลังชีวิตอันทรหดของสิงห์ขนทอง ตราบใดที่แก่นวิญญาณของมันยังไม่ถูกทำลาย บาดแผลเช่นนั้นก็ไม่กระทบชีวิตของมัน อีกทั้งเวลานี้มันเองก็สามารถหลุดพ้นจากค่ายกลได้แล้ว เมฆสวรรค์จึงไม่สามารถตามโจมตีมันได้อีกต่อไป
“เหลยหู่ ยืนเซ่อทำอะไรอยู่ รีบมาสิ!”
หลังจากเหลือบมองสถานการณ์ทางกลุ่มอสูรเหล่านั้นแล้ว สายตาของเยี่ยเทียนก็หันมาทางร่างของเหลยหู่ แต่ที่เขาหงุดหงิดก็คือ เหลยหู่ยังคงอุ้มสิงห์ขนทองน้อยล่องลอยอยู่บนฟ้า ไม่เหาะมาทางตนเอง
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ตอนนี้ได้ดึงเอาพลังกายทั้งหมดของตัวเองออกมา หากรั้งรออีกวินาทีเดียวความหวังในการมี
ชีวิตอยู่ต่อก็ยิ่งห่างไกลขึ้นอีกก้าว อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป เขตแดนนั้นก็ยิ่งหดตัวลงเข้าทุกที หากเหลยหู่ยังไม่เหาะขึ้นมาอีก เยี่ยเทียนก็จะหนีออกไปเพียงลำพังแล้ว
“ท่านอาจารย์ ผม…ผมเหาะขึ้นไปไม่ได้ พลังที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศรุนแรงเกินไป ผมประคองร่างไว้ไม่อยู่!”
เสียงหวาดหวั่นของเหลยหู่ดังมาสู่หูของเยี่ยเทียน ไม่ใช่ว่าเหลยหู่ไม่พยายาม แต่ด้วยวิทยายุทธ์ระดับเซียนเทียนขั้นต้นอย่างเขา หากเป็นเวลาทั่วไป หากเขาทุ่มเทออกแรงอย่างเต็มที่ ก็อาจจะเหาะเหินได้สูงถึงระดับเยี่ยเทียนตอนนี้
แต่ปัญหาก็คือ เวลานี้สภาพอากาศภายในเขตแดนสั่นคลอนอย่างหนัก อากาศจากภายนอกไหลเข้ามาปนเปื้อนปราณวิเศษภายในจนสับสน ปราณวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนจับกลุ่มกันในอากาศ จนกลายเป็นพายุหมุนไร้รูปร่างหลายต่อหลายลูก ดึงดันเหลยหู่จนอยู่ไม่นิ่ง
แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ในสถานการณ์เช่นนี้ แขนที่เหวอะออกจนเห็นกระดูกทั้งสองข้าง ยังคงใช้พลังงานจากจินตันที่ระเบิดออกมาและต้านทานช่องว่างมิติอยู่ ถ้าหากเขาปล่อยมือ เกรงว่าเพียงไม่กี่วินาที เขตแดนนี้ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
“ท่านอาจารย์ ไม่ไหวหรอก ผมขึ้นไปไม่ได้ ท่านไปคนเดียวเถอะ!”
เหลยหู่ที่เพิ่งจะเหาะเหินมายังอากาศสามร้อยกว่าเมตร ก็ถูกปราณวิเศษพัดพาไปรอบหนึ่ง ร่างกายถอยไปอีกร้อยกว่าเมตร ใบหน้ามีแววสิ้นหวังออกมา ร้องตะโกนเสียงดังว่า
“ท่านอาจารย์ เมื่อออกไปได้แล้วบอกพ่อผมด้วย ว่าภายหลังลูกคงไม่อาจทดแทนคุณได้จนถึงวาระสุดท้าย!”
แม้ในอดีตเหลยหู่จะมีจิตใจคดโกง แต่ก็เป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง ในสถานการณ์นี้เขาเพียงคิดถึงพ่อผู้แก่ชราอายุมากกว่าแปดสิบปี ส่วนชื่อเสียงหรืออำนาจใดๆ กลับไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“ไม่ไหว ฉันจะต้านทานไม่อยู่แล้ว!”
พลังงานภายในจินตันนั้น อย่างไรเสียก็เพียงถูกยืมมา หลังจากเยี่ยเทียนจ่ายราคาสูงลิบเพื่อยืมใช้กำลังอันหนักหน่วงจากภายใน พลังนั้นเองก็ค่อยๆ ลดหายไป เยี่ยเทียนรู้ว่าตนเองสามารถยืนหยัดได้นานที่สุดอีกแค่สามสิบวินาทีเท่านั้น
“ฉันจะส่งพวกเขาไปเอง!”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังสะท้อนในห้วงอากาศ สิงห์ขนทองตัวผู้ที่ยังคงมีลมหายใจลุกนั่งบนพื้น ขณะที่สายตาของมันหวนไปทางศพของคู่ชีวิตและสหายสนิทที่อยู่ร่วมกันมาเป็นพันปีแล้ว แววตาก็ส่งประกายเด็ดเดี่ยวออกมา
“เจ้าหนุ่ม จะต้องดูแลลูกของข้าให้ดีล่ะ มันอาจจะเป็นสิงห์ขนทองตัวสุดท้ายในโลกนี้แล้วก็ได้!”
ตอนที่อสูรมองมาทางสิงห์ขนทองน้อยบนบ่าของเหลยหู่ที่อยู่บนฟ้า สายตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เมื่ออ้าปาก พลังปราณชีวิตดั้งเดิมสีทองคำที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าแหวกผ่าอากาศ ห่อหุ้มเหลยหู่กับสิงห์ทองคำน้อยเอาไว้ แล้วลอยขึ้นไปยังท้องฟ้าสูงอย่างว่องไว
“ให้ตายสิ เร็วกว่าฉันอีกเรอะ?”
เยี่ยเทียนเพียงรู้สึกสายตาพร่าเลือน สายลมเบาพัดผ่านหน้าเขาไป แล้วร่างของเหลยหู่ก็หายตัวมาปรากฎในรอยแยก เวลานี้รอยแตกของมิติกว้างเพียงเจ็ดแปดสิบเซ็นติเมตรเท่านั้นแล้ว เยี่ยเทียนร้องตะโกนลงไปด้านล่างอย่างยากลำบาก
“ท่านผู้อาวุโส ท่านรีบขึ้นมาเถอะ ผมจะยันไว้ไม่อยู่แล้ว!”
“ไม่ เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่!”
สิงห์ขนทองส่ายหน้า ปลดปล่อยลมปราณออกมาส่วนหนึ่ง ห่อหุ้มซากศพของคู่ชีวิตและสหายเอาไว้ ให้ล่องลอยต่อหน้าเขา
“ทำไมล่ะครับ? ด้วยวรยุทธ์ของท่าน เพียงไม่นานก็สามารถฟื้นฟูกำลังได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนตะโกนออกไปอย่างสงสัย เขายังสามารถสัมผัสได้ว่า พลังชีวิตของสิงห์ขนทองยังไม่หมดสิ้น ขอเพียงมีปราณวิเศษอันอุดมสมบูรณ์ บาดแผลเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับมัน แต่เมื่อเยี่ยเทียนเห็นสายตาสิงห์ขนทองที่เหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด ก็เข้าใจได้ในที่สุด
ภายในโลกใบนี้ ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีความรู้สึก สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อคู่ชีวิตที่อยู่เคียงข้างกันมาพันปีสิ้นชีวิตลง สิงห์ขนทองก็ตัดสินใจจะสละชีพเพื่อบูชาความรัก มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่มันจะสามารถอยู่กับคู่ของมันได้จนวาระสุดท้าย
“ใครกันที่บอกว่าสัตว์ป่าไร้หัวใจ? ถ้าหากเป็นเรา จะทำได้หรือเปล่านะ?”
สายตาของสิงห์ขนทองทำให้ความนึกคิดของเยี่ยเทียนล่องลอยไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าหากตนเองกับอวี๋ชิงหย่าถึงเวลาที่ต้องจากกัน จะเลือกหนทางแบบไหน?
แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาครุ่นคิด เมื่อรู้ซึ้งถึงการตัดสินใจของสิงห์ขนทองแล้ว มือสองข้างของเยี่ยเทียนที่ยันรอยแยกไว้ก็ออกแรงฉีกอย่างดุดัน ร่างพุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้น
เมื่อหันหลังกลับมามอง ภาพสุดท้ายของมิตินี้ที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเยี่ยเทียน ก็คือสิงห์ขนทองประคองซากของคู่รักและสหายสนิทของตนเอง จมดิ่งลงไปในทะเลอัสนีบาตที่แผ่ทั่วท้องฟ้า
……………………………………………