ผละจากอ้อมอกของแม่ สิงห์ขนทองตัวเล็กยังไม่คุ้นเคย ส่งเสียงออกจากปาก ใช้กรงเล็บออกแรงผลักบ่าของเหลยหู่
“โอ๊ย กรงเล็บนี่คมจริงๆ!”
เจ้าตัวเล็กดึงเบาๆ เสื้อผ้าที่ทำมาจากหนังสัตว์ประหลาดของเหลยหู่ฉีกขาดออกจากกัน กรงเล็บแหลมคมของมันกรีดเป็นแผลลึกบนร่างของเขา เลือดสดๆ ไหลออกมาเปรอะเปื้อนร่างเหลยหู่
ปากร้องอย่างเจ็บปวด แต่เหลยหู่ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว เมื่อวานเขาเห็นภาพเจ้าสิงห์ขนทองตัวเล็กนี้กลืนกินสมองเสือด้วยสายตาตัวเอง เลยเกิดความกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะหงุดหงิดอยากเปลี่ยนรสชาติ ลองกินสมองคนดูบ้าง
ดีว่าตอนนี้เหลยหู่อยู่ในระดับเซียนเทียนแล้ว เมื่อรวบรวมลมปราณ บาดแผลบนบ่าก็สมานเข้าหากันเอง ปราณวิเศษฟ้าดินหลั่งไหลเข้าไปภายในนั้น เพียงไม่นานก็เกิดรอยแผลเป็นสีดำขึ้นมาชั้นหนึ่ง
“อย่าดื้อน่า!”
เสียงคำรามเปล่งออกมาจากปากของสิงห์ขนทองตัวเมีย แต่ดวงตาของมันฉายแววเมตตาเปี่ยมล้น ที่พวกมันทุ่มหมดหน้าตักเพื่อหนีออกไปจากที่นี่ ในคราวนี้ หนึ่งก็เพราะใกล้ถึงอายุขัยของตนเองแล้ว หากยังไม่ฝ่าออกไปคงจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย สองนั้นเป็นเพราะไม่อยากให้ลูกต้องเดินตามรอยตน สุดท้ายต้องถูกขังอยู่ภายในเกาะ
นับตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น สัตว์ประหลาดต่างโจมตีค่ายกลใหญ่อย่างไม่หยุดหย่อน ทั่วทั้งหาดทรายกลายเป็นทะเลแห่งสายฟ้า นอกจากแสงไฟแปลบปลาบ ก็ไม่เห็นภาพใดอื่นอีกเลย สัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนบนชายหาด ล้วนถูกโจมตีด้วยสายฟ้าจนดำเกรียมราวกับถ่าน เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนก่อนตายของเหล่าสัตว์ร้ายทุกตารางนิ้ว
สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กเป็นกฎธรรมดาของโลก โลกของอสูรก็เป็นเช่นนั้น การล้มตายของสัตว์ร้ายระดับต่ำเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของอสูรทั้งสาม ยังคงใช้เสียงคำรามและเสียงร้องของมังกรออกคำสั่งให้พวกมันเข้าโจมตีต่อไปไม่หยุด
ปราณวิเศษจำนวนมหาศาลบนเกาะถูกค่ายกลสูบออกมา เพื่อควบคุมสัตว์ประหลาดเอาไว้
ดังนั้นถึงแม้สัตว์ร้ายจำนวนมหาศาลจะลดลงไปไม่น้อย แต่ความรุนแรงของค่ายกลก็กลายเป็นอ่อนแอลงไปมากเช่นเดียวกัน เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่า ปราณวิเศษฟ้าดินรอบตัวที่เดิมทีเคยอุดมสมบูรณ์ กลับกลายเป็นเบาบางลงอย่างน่าประหลาด จนถึงระดับที่ปราณวิเศษภายนอกไม่ถูกร่างกายดูดซึมเป็นครั้งแรก
“โฮก!”
สิงห์ขนทองเปล่งเสียงขู่คำรามออกมาจากปากอีกครั้ง สัตว์ร้ายนับหมื่นก็พุ่งออกมาจากภายในป่าเขา ที่แตกต่างจากเหล่าสัตว์ประหลาดก่อนหน้านั้นคือ ร่างของกองกำลังชุดใหม่นี้แผ่ปราณวิเศษอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเคย ราวกับทุกตัวล้วนอยู่ในระดับเซียนเทียนช่วงปลาย ภายในกายของมันบางตัวยังมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเยี่ยเทียน
เมื่อต้องประจันหน้ากับเหล่าสัตว์ร้ายกลุ่มนี้ สายฟ้าที่อ่อนแอลงเมื่อครู่ก็กลับมาระเบิดลำแสงร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง แสงประกายไฟปกคลุมทั่วทั้งหาดทรายอีกหน ภายในอึงอลไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายใกล้สิ้นใจ กลายเป็นภาพอันน่าอนาถในฉับพลัน
ครึ่งชั่วโมงกว่าหลังจากนั้น แสงประกายไฟก็ค่อยๆ สลายไป สัตว์ร้ายนับหมื่นล้วนสิ้นชีวิตภายใต้การโจมตีของสายฟ้า ไม่มีตัวไหนเลยที่โชคดีหลุดรอดมา แต่ที่สอดคล้องกัน คือการหมุนเวียนปราณวิเศษในค่ายกลเองก็ถูกลดกำลังลงไปมาก เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่า ปราณวิเศษฟ้าดินจากที่ไกลค่อยๆ หลั่งไหลมาทางนี้ เพื่อเพิ่มพลังให้กับค่ายกล
“จวนจะได้เวลาแล้ว พวกเราควรออกไปแล้วล่ะ!”
สิงห์ขนทองเงยหน้าขั้นมองสีของฟ้า ใบหน้ามีแววตัดสินใจอย่างแน่วแน่ พวกมันไม่มีเวลารอคอยให้ปราณวิเศษแปรปรวนขึ้นมาอีกหน จึงยอมตายภายใต้สายฟ้านี้ เพื่อที่จะฝ่าออกไปยังโลกภายนอกให้ได้
พออ้าปาก จินตันที่ส่องประกายสีทองคำสุกสกาวทั้งลูกก็ลอยออกมาต่อหน้าสิงห์ขนทอง ฉับพลันแรงกดดันหนักหน่วงก็แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ จนเหลยหู่ที่เผลอไร้การป้องกันตัว ถูกลมปราณอันน่าพรั่นพรึงปะทะจนขาอ่อน ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น
ขนาดเยี่ยเทียนเองยังต้องถอยหลังไปหลายก้าว บนหน้าฉาบด้วยเหงื่อเยียบเย็น คราวนี้เขาอยู่ใกล้จินตันเหลือเกิน จึงสัมผัสถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นชนิดทลายฟ้าทลายดินได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
“ข้าลืมไป ระดับของเจ้ายังไม่เพียงพอ จึงต้านทานแรงกดดันของจินตันไว้ไม่อยู่!”
หลังจากเห็นปฏิกิริยาของเยี่ยเทียนแล้ว ก็สูดหายใจเข้าปาก แล้วควันจาง ๆ ก็ลอยออกมาจากกลางจินตัน เกิดเป็นรูปร่างคลับคล้ายสิงห์ขนทองอยู่ในอากาศ ตรงเข้าไปในปากของสิงห์ขนทอง
“ข้าเก็บจิตดั้งเดิมใจกลางจินตันเอาไว้แล้ว เจ้ารับมันไปเถอะ”
หลังจากที่ควันกลุ่มนั้นหายไป แรงกดดันจากบรรยากาศรอบด้านก็สลายไปในพริบตา สิงห์ขนทองมองมาทางเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า
“ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้า สามารถใช้พลังของจินตันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งเอามันใส่เข้าไปในร่าง รอให้ถึงเวลา แล้วข้าจะบอกเจ้าเอง”
ท่ามกลางสัตว์ดึกดำบรรพ์ สิงห์ขนทองขึ้นชื่อด้านความแข็งแกร่งสง่างาม ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ จิตดั้งเดิมที่
บรรจุอยู่ภายในจะเข้มข้นขึ้นเท่านั้น ดังนั้นพลังที่จินตันเม็ดนี้กักเก็บไว้ จึงเหนือชั้นกว่าอสูรทั่วไป เยี่ยเทียนจะสามารถรับไว้ได้ไหม ความจริงนั้นแม้แต่สิงห์ขนทองก็ยังไม่มั่นใจ
“ไปเถอะ!”
สามารถฝึกฝนจนถึงระดับต้าเยาช่วงปลาย จิตใจของสิงห์ขนทองและมังกรน้ำจึงละเอียดอ่อนและแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในระดับเดียวกันหลายเท่า สิงห์ขนทองตัวเมียแม้กระทั่งหันมามองลูกตัวเองยังไม่ทำ อสูรทั้งสามนั้นย้ายร่างครั้งเดียว ก็บุกทะลุทะลวงเข้าไปในค่ายกล ไปปรากฎตัวอยู่บนผืนทรายแล้ว
พวกมันไม่เก็บงำลมปราณของตนเองอีก และไม่สกัดกั้นแรงกดดันอสูรที่แผ่ออกมาเลยแม้แต่น้อย เมฆครึ้มก่อตัวหนาทึบปรากฎขึ้นเหนือหัวของอสูรทั้งสาม พลังลมปราณอันมหาศาลที่พวกมันปลดปล่อยออกมา ดึงดูดให้หมู่เมฆมารวมตัวกัน
แต่ว่าฟ้าผ่าจาเมฆครึ้มประเภทนี้อ่อนแรงกว่าแรงพิโรธแห่งฟ้าที่แท้จริงหลายเท่า อสูรเกือบทุกตัวบนเกาะใบนี้ล้วนสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ถึงพวกมันจะรอดจากสายฟ้าไปได้ วรยุทธ์ก็ไม่ก้าวหน้าเพิ่มไปมากกว่าเดิม เพียงแค่สิ้นเปลืองพลังงานเท่านั้น
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าที่เพิ่งหยุดลงไปไม่นาน ปรากฎโดยไร้สัญญาณเตือนขึ้นอีกครั้ง ประกายไฟสีขาวพลันลุกไหม้กลืนกินอสูรทั้งสามเข้าไป
“อ๊าก!”
เสียงคำรามของสิงห์ขนทองกับเสียงร้องของมังกรน้ำดังขึ้นพร้อมกัน มังกรน้ำตัวนั้นพลังเพิ่มขึ้นเมื่อเจอลม ขยายร่างตนเองยาวออกมาเป็นพันเมตร สะบัดหางใหญ่ยักษ์ครั้งหนึ่ง ก็โจมตีกระแสไฟทั่วท้องฟ้ากระจัดกระจายไปกว่าครึ่ง จำนวนที่เหลือถูกเกล็ดกำบังกายของมันสกัดไว้จนหมดสิ้น ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
ค่ายกลนี้ไม่รู้ว่าจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ มันดูเหมือนกับมีสติปัญญา เมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเหล่าอสูรไม่ธรรมดา สีของสายฟ้าจึงเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมฆพายุที่ควบแน่นอยู่เหนือหัวมัน กลับกลายเป็นกลุ่มเมฆสีแดงกลุ่มหนึ่ง ภายในเปล่งสายฟ้าสีแดงฉาน สามารถกระหน่ำลงมาด้านล่างได้ตลอดเวลา
“วิชาเทียมฟ้าดิน!”
สิงห์ขนทองส่งเสียงคำรามออกมาจากปาก ด้านหลังหัวของมัน ปรากฎเงาหนึ่งโผล่พุ่งขึ้น แล้วร่างก็ขยายใหญ่จนเกือบถึงพันเมตร เขี้ยวขนาดมหึมา สองหมัดทุบหน้าอก โตกว่าร่างเดิมของมันเป็นพันเท่า
วิชาเทียมฟ้าดินของสิงห์ขนทอง ทำให้สามารถแตะถึงหมู่เมฆและสายฟ้าสีแดงที่เกิดขึ้น สิงห์ขนทองยื่นกรงเล็บทั้งสองออกไป แหวกกลางกลุ่มเมฆแล้วออกแรงฉีก ประกายไฟฟ้าภายในหมู่เมฆยังไม่ทันจะผ่าลงมา ก็ถูกวิชาของสิงห์ขนทองสลายไปจนสิ้นหมด
หลังจากกรงเล็บคู่นั้นของสิงห์ขนทองผ่าเมฆออกแล้วก็ไม่ได้ชักขากลับ แต่โจมตียังไปที่เขตแดนชั้นบนโดยตรงอีก เสียง “ครืน” ดังกึกก้อง ม่านคลื่นไร้รูปร่างเคลื่อนที่ในอากาศแยกออกจากกัน เกาะทั้งเกาะสั่นสะเทือนไปทั่ว
“ให้ตายสิ สัตว์ประหลาดป่าเถื่อนพวกนี้สืบทอดพรสวรรค์ต่อๆ กันมาหมด ถึงขนาดแสดงพลังวิเศษได้ ร้ายกาจจริงๆ!”
เยี่ยเทียนที่อยู่ห่างพวกอสูรสิงห์ขนทองออกมาพันเมตร มองแล้วยังตื่นตาตื่นใจ เขารู้มาจากในบันทึกของจางซันเฟิง ว่ามีเพียงหลังจากบรรลุมรรคผลจินตันเท่านั้น วรยุทธ์จึงจะสามารถสั่นสะเทือนจิตดั้งเดิมแห่งฟ้าดินได้อย่างแท้จริง การใช้พลังวิเศษ ก่อนหน้านั้นจึงเป็นเพียงเคล็ดวิชาเล็กน้อยเท่านั้น
“หืม? ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ?”
หลังจากโจมตีกลุ่มเมฆแตกออก เยี่ยเทียนพบว่า ท้องฟ้าก็สงบลง แต่ที่สีหน้าเยี่ยเทียนเปลี่ยนไป เพราะบังเกิดกลุ่มเมฆที่น่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นอีกปรากฎบนหาดทราย กลุ่มสายฟ้านี้กลายเป็นสีม่วงเข้ม ย้อมทาท้องฟ้าโดยรอบจนกลายเป็นสีม่วงไปทั่ว
เมฆกลุ่มนี้ดูดซับจิตดั้งเดิมของฟ้าดินทุกแหล่งเข้าไป ราวกับหลุมดำไร้ก้นบึ้ง ป่าเขาเขียวชอุ่มด้านหลังเยี่ยเทียนกลับกลายเป็นเหี่ยวแห้งไปในทันที ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มเมฆยังดูดซับพลังงานส่วนหนึ่งจากในเขตแดนนอกค่ายกลมาด้วย
อสูรทั้งสามบนหาดทรายมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเช่นกัน พวกมันไม่ได้เพิ่งเคยเห็นอัสนีสวรรค์สีนี้ที่สังหารเหล่าอสูรระดับเดียวกันเป็นครั้งแรก หากไม่ใช่เพราะใกล้วาระสุดท้าย พวกมันคงไม่คิดยั่วยุสายฟ้าอันน่าพรั่นพรึงระดับนี้ออกมา
เพื่อต้านทานลมปราณและแรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวเหนือหัว สิงห์ทองคำผัวเมียและมังกรน้ำล้วนปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตนเองออกมา ร่างยาวกว่าพันเมตรของมังกรขยายใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว มองไปยังกลุ่มเมฆพายุราวกับเป็นเทพปีศาจ
“เปรี้ยง!” ลำแสงสายฟ้าขนาดเท่าลำแขน สามเส้นแทรกลงมาจากหมู่เมฆ ซึ่งเห็นได้ไม่ชัดนักเมื่อเทียบกับสายฟ้าก่อนหน้า แต่ว่าเมื่อสายฟ้านี้สัมผัสกับวิชาเทียมฟ้าของสิงห์ทองคำแล้ว ก็ผ่าไปที่ร่างของสิงห์ขนทองทั้งสองตัว
มังกรน้ำด้านข้างห่างไปไม่ไกลเองก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาเช่นกัน สายฟ้าสีม่วงเข้มทะลุทะลวงร่าง แทบจะระเบิดร่างหนาหลายสิบเมตรของมันแตกจากกัน เกล็ดขนาดเท่าชามอ่างร่วงหล่นลงพื้น เลือดมังกรสีทองคำจางไหลพุ่งออกจากร่างกายของมังกรน้ำราวกับน้ำพุ
หลังจากสายฟ้าทั้งสามกระหน่ำลงมาแล้ว สีของเมฆก็จางลงไปหลายส่วน หลังจากรับการโจมตีจากเหล่าสัตว์ร้ายนับล้าน เมื่อต้องรับมือกับอสูรสามตนนี้พร้อมกันอีก พลังการทำงานของค่ายกลดูเหมือนจะมาถึงขีดจำกัดเช่นกัน
การดูดซับปราณวิเศษจากเกาะดูเหมือนจะไม่เพียงพอในการเติมเต็มสำหรับการโจมตีด้วยอัสนีสีม่วงอีกแล้ว ในขอบเขตของสายฟ้าเบื้องบน ยังมีพลังงานมากมายไหลหลั่งเข้าสู่ใจกลาง ชั้นเมฆสีม่วงเข้มเองก็พลันเข้มขึ้นหลายส่วน แล้วสายฟ้าขนาดใหญ่อีกสามเส้น ก็ผ่าลงมายังเหล่าอสูรสิงห์ขนทองทั้งสาม
อัสนีสีม่วงดูจะมีความสามารถในการควบคุม ไม่ว่าสิงห์ขนทองและมังกรน้ำจะหลีกหนีอย่างไร ล้วนหลบไม่พ้นเขตแดนที่สายฟ้าสัมผัสถูกตัว สายฟ้าที่ฟาดลงมาทำให้อสูรทั้งสามทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น
วิชาขยายร่างของสิงห์ขนทองถูกกระหน่ำจนสูญสิ้น อีกทั้งหางของมังกรน้ำก็ถูกเฉือนออกไปเกือบร้อยเมตร เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของมังกรดังไปทั่วทั้งเกาะ
………………………..