ครึ่งปีกว่ามานี้เหลยหู่กินปลาทะเลเป็นอาหารมาตลอด ยังดีที่เขาก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จึงสามารถใช้ปราณแท้กลั่นน้ำจากในอากาศ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าแม้จะไม่ขาดอาหาร ก็คงขาดน้ำจนตายเช่นกัน
“เซียนเทียนระดับต้น แต่สามารถทำให้ระดับมั่นคงได้แล้ว ไม่เลวเลย!”
เยี่ยเทียนพิจารณาเหลยหู่ดูรอบหนึ่ง แอบถอนใจในความโชคดีของเขาอยู่ในใจ คุณสมบัติของศิษย์พี่ทั้งสองกับลูกศิษย์คนแรกเหนือกว่าเหลยหู่ร้อยเท่า แต่กลับไม่มีโอกาสเช่นนี้ ดูท่าตอนนี้ยังคงติดอยู่ที่ระดับโฮ่วเทียนขั้นปลาย
“ท่านอาจารย์ ผมดูท่านไม่ค่อยออก ตอนนี้ท่านอยู่ระดับไหนแล้วครับ?”
เดิมทีนึกว่าเมื่อตนเองเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จะสามารถย่นระยะห่างจากเยี่ยเทียนได้ แต่เยี่ยเทียนกลับเหมือนสระน้ำไร้ก้น ด้วยจิตสัมผัสของเหลยหู่ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยั่งวัดความลึกของเยี่ยเทียนได้เลย
“ฉันเหรอ? ขาดอีกเพียงนิดเดียว ก็อาจจะบรรลุมรรคผลจินตันแล้วล่ะมั้ง?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า หัวเราะเจื่อน
“มีวิทยายุทธสูงแล้วได้ประโยชน์อะไร? ขนาดเทพจางมีวิทยายุทธ์ถึงปลายระดับจินตัน ยังไม่อาจออกจากเกาะแห่งนี้ได้ ต่อให้ฉันอยู่สูงถึงระดับนั้นแล้วจะเป็นยังไง?”
“ท่านอาจารย์ ท่านมีวิชาทำนายไม่ใช่เหรอครับ?”
เหลยหู่ พลันนึกถึงความสามารถติดตัวของเยี่ยเทียนขึ้นมา
“ท่านทำนายดวงชะตาให้ตัวเองหรือผมไม่ได้เหรอ? ถ้าหากออกไปไม่ได้จริงๆ ผมก็คงต้องถอดใจเช่นกัน”
“ไม่มีประโยชน์หรอก วิถีแห่งฟ้าตื่นกลัว ใช่ว่าฉันจะเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง ขืนบุ่มบ่ามทำนายดวง มีแต่จะพาตัวเองไปสู่การลงทัณฑ์?”
ที่เหลยหู่พูดออกมา ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะไม่เคยคิดถึง เพียงแต่ตอนที่เขาเสี่ยงทำนายกลับพบว่ายิ่งวิทยายุทธ์ของตนเองพัฒนา ชะตาชีวิตก็ยิ่งสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะใช้วิธีไหน ก็ไม่อาจลอบดูลิขิตฟ้า
ไม่เพียงเท่านี้ ชะตาชีวิตของเหลยหู่เองก็พอกัน จวบจนเวลานี้เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า เดิมทีเคยคิดว่ารอดพ้นสามภพภูมิหลุดจากธาตุทั้งห้า ความจริงเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นคิดไปเองเท่านั้น เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับเจี่ยตัน ห่างจากจินตันไม่ไกลเท่าไหร่ เยี่ยเทียนจึงได้สัมผัสการมีอยู่ของวิถีแห่งฟ้าอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องลอยคออยู่ในทะเลอย่างนี้ตลอดไปหรือครับ?”
หลังจากได้เห็นเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่นับว่าเริ่มมีความหวัง ครึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเขากินนอนทำทุกอย่างในทะเล ยังดีว่าพอสำเร็จระดับเซียนเทียนแล้วไร้ซึ่งกิเลส ไม่อย่างนั้นเหลยหู่คงทนไม่ไหวไปนานแล้ว
“ท่านอาจารย์ คัมภีร์ที่นักพรตเต๋าท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ผมเก็บเอามาด้วย ไม่รู้ว่าจะโดนน้ำทะเลจนโป่งพองเสียหรือเปล่า ช่วยสอนผมอ่านให้เข้าใจตัวหนังสือหน่อยเถอะครับ”
ช่วงเวลาที่เยี่ยเทียนจากไป เหลยหู่อยู่อย่างเดียวดายจนใกล้จะเสียสติ เวลานี้ได้พบเยี่ยเทียน จึงมีสิ่งที่อยากพูดมากมาย อีกทั้งเขายังอยากศึกษาหาความรู้ที่อยู่บนคัมภีร์ไม้ ถ้าหากเยี่ยเทียนหายไปเป็นปีไม่กลับมาอีก เขาจะได้กำจัดความหงอยเหงาในใจตนเอง
“คัมภีร์ไม้พวกนี้ท่านเทพจางเขียนขึ้นเอง ด้านบนมีร่องรอยบรรลุมรรคผลของเขาอยู่ อย่าว่าแต่หยดน้ำเลย ต่อให้ไฟเผาผลาญก็ไม่อาจทำลาย”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า กล่าวว่า
“ถ้าแกอยากรู้ฉันสามารถสอนให้แกได้ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าปราณวิเศษที่วุ่นวายคงจะสงบลงในอีกสองสามวันข้างหน้า ถึงเวลานั้นเหล่าสัตว์ร้ายพวกนี้คงจะถอนตัวกลับไป ไว้เวลานั้นค่อยเรียนยังไม่สาย…”
“หืม เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพูดอยู่ ดวงตาพลันสว่างวาบ มองไปสามสี่ร้อยเมตร ทางหาดทราย เหลยหู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเนื้อตัวอ่อนยวบ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง
“นั่นมันตัวอะไรกัน?”
อารมณ์ของเยี่ยเทียนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลมปราณรุนแรงพอจะทำลายสรวงสวรรค์แผ่พุ่งมาจากจุดที่เขาออกมายังทะเลก่อนหน้านี้
ผ่านแนวกั้นขนาดใหญ่ ลมปราณชนิดนี้ถึงแม้ไม่สามารถทำร้ายพวกเยี่ยเทียน แต่ยังสามารถกดดันเหลยหู่จนตัวแข็งทื่ออยู่บนแพนิรภัย ต่อหน้าลมปราณชนิดนี้ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกไร้ค่า
“พวกมันคือปีศาจยักษ์ระดับจินตันงั้นเหรอ?” เยี่ยเทียนเพ่งสายตามอง ใบหน้าอดแสดงความประหลาดใจออกมาไม่ได้
สัตว์สองตัวที่ปรากฏขึ้นบนชายหาด รูปร่างไม่ดุดัน ตลอดทั้งเนื้อตัวมีขนสั้นสีทองคำปกคลุม ขนาดไม่ใหญ่มาก เหนือกว่าเสือดาวเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ใบหน้าคล้ายสิงโต จุดเดียวที่แสดงให้เห็นถึงความดุร้าย คือกรงเล็บอันแหลมคมทั้งคู่ตรงหน้าอกยามยืนอยู่เท่านั้น
“เจ้าสองตัวนี้ดูคล้ายสิงห์ขนทองหรือเปล่านะ?”
ในความคิดของเยี่ยเทียนปรากฏชื่อหนึ่ง นั่นก็คือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่บันทึกใน “คัมภีร์ซานไห่”สิงห์ขนทองในตำนานมีพละกำลังไร้เทียมทาน เคลื่อนที่ราวสายลม กินสมองเสือเป็นอาหารหลัก แต่ว่านิสัยคล้ายมนุษย์อย่างมาก เคยถูกยอดฝีมือสำนักเต๋าเลี้ยงดูเพื่อคุ้มกันรักษาถ้ำที่อยู่อาศัย
เห็นปีศาจตัวน้อยมาแล้ว คราวนี้ยังมาเจอสัตว์ประหลาดอีก จึงไม่อาจทำให้ใจของเยี่ยเทียนสั่นไหวอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือ สิงห์ขนทองร่างใหญ่และเล็กสองตัวนั้น ล้วนมีวรยุทธ์ถึงระดับจินตัน
ภายในรัศมีหลายร้อยเมตรโดยรอบตัวอสูรสองตนนี้ สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนล้วนหมอบคลานอยู่กับพื้น แม้แต่หัวยังไม่กล้าโงขึ้น ราวกับทำความเคารพราชา ท่าทางไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยมดุร้ายหายไปจนสิ้น
“โกรล!”
สิงห์ขนทองตัวเล็กกว่าที่อยู่ด้านขวา ส่งเสียงครางออกมาจากปาก สัตว์ทั้งหลายที่อยู่รอบตัวมันตื่นตัวขึ้นมาทันที สัตว์รูปร่างคล้ายเสือและสิงโตห้าหกตัวร่างสั่นงันงกเดินออกมา แล้วคลานไปยังตรงหน้าสิงห์ขนทองทั้งสอง
สิงห์ขนทองที่ส่งเสียงออกมา ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สิงห์โตที่ใหญ่กว่าตัวมันหลายเท่าพลันส่งเสียงร้องกระอัก แล้วกระโหลกของมันก็ถูกฉีกขาดออก
ร่างของสัตว์ดุร้ายที่เหลือยิ่งตัวสั่นงันงกหนักขึ้น แต่ไม่มีสักตัวกล้าหนีออกไปจากตรงนั้น แรงกดดันโดยธรรมชาติจากผู้เหนือกว่า ทำให้พวกมันไม่สามารถต่อต้านหรือคิดหนีแม้เพียงนิดเดียว
“หา? ยังมีอีกตัวเหรอ?”
เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ไกลพบว่า นอกจากสิงห์ขนทองโตตัวที่ลงมือฉีกกะโหลกนั้นและอีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ยังไม่เริ่มกินอาหาร จากใต้รักแร้ของสิงห์ขนทองตัวเล็กนั่น ยังมีสิงห์ขนทองตัวขนาดเท่าลิงแสมโผล่ออกมา
เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ตาโตอ้าปากค้าง พวกเขาทั้งสองถึงแม้อายุแตกต่างกันเกือบยี่สิบปี แต่ก็เติบโตมาในยุคอารยธรรมเช่นเดียวกัน มีหรือจะเคยเห็นภาพป่าเถื่อนอย่างนี้ ท้องไส้เกิดปั่นป่วน รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สิงห์ขนทองตัวนั้นแม้จะร่างเล็ก แต่ก็กินจุไม่เบา ยังไม่ทันครบสามนาที กระโหลกของสิงโตตัวนั้นก็ถูกมันดูดกินจนสะอาด ข้างกายดูเหมือนจะเป็นสิงห์ขนทองตัวแม่ ก็เริ่มผ่ากะโหลกของสัตว์ประหลาดอีกสามตัวข้างๆ
กระทั่งเจ้าสิงห์ขนทองตัวน้อยกินจนท้องอิ่มคลานกลับไปยังอ้อมอกของแม่ สิงห์ขนทองตัวนั้นจึงคำรามออกมา สัตว์ประหลาดสองสามตัวที่เหลือราวกับถูกนิรโทษกรรม ยืดตัวลุกขึ้นวิ่งกลับไปยังฝูงอย่างไม่คิดชีวิต
“โฮก!”
หลังจากลูกกินเสร็จแล้ว สิงห์ขนทองตัวนั้นก็ส่งเสียงคำรามด้วยความขุ่นเคือง เกิดแรงสั่นสะเทือนจนคลื่นปั่นป่วนในทะเลแม้ไร้ลม ค่ายกลรอบหาดทรายดูเหมือนจะได้รับแรงกระทบเช่นกัน สายฟ้าขนาดเท่าลำแขนส่องแสงแปลบปลาบในอากาศ ผ่าลงมายังสิงห์ขนทองตัวนั้น
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงก็คือ สิงห์ขนทองตัวนั้นกลับไม่หลีกหนี ปล่อยให้สายฟ้าผ่าลงบนตัวมัน เมื่อประกายไฟส่องแสง มันยังไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย รับสายฟ้าลงมาตรงๆ
จากเสียงคำรามอันขุ่นเคือง กลุ่มสิงสาราสัตว์ที่หมอบอยู่กับพื้นราวกับได้รับคำสั่ง ต่างลุกขึ้นมาทีละตัว ทยอยไปโดนโจมตีในค่ายกลตามๆ กัน ทันใดนั้นพายุสายฟ้าก็กระหน่ำทั่วทั้งหาดทราย
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย พวกเราออกไปไกลอีกหน่อยดีกว่า!”
ขนาดวิทยายุทธของเยี่ยเทียน ยังรู้สึกตื่นตระหนก จึงใช้ปราณแท้เคลื่อนย้ายแพนิรภัยไปกลางทะเลอีกสองร้อยกว่าเมตร จึงค่อยหยุดลง
“บ้าเอ๊ย ฉันรู้แล้ว ที่แท้สัตว์ประหลาดพวกนี้คลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะถูกอสูรระดับจินตันสองตัวนั้นกระตุ้นนั่นเอง!”
เห็นภาพอย่างนั้นแล้ว มีหรือเยี่ยเทียนจะไม่รู้ ว่าต้นกำเนิดแห่งความวุ่นวายมาจากสิงห์ขนทองสองตัวนั้นนั่นเอง
เพียงแต่เยี่ยเทียนยังคิดไม่ออกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นวรยุทธสูงสุดก็คงอยู่เพียงแค่ระดับหลังเซียนเทียน ไม่น่าจะสามารถทำให้เกิดค่ายกลใหญ่ สิงห์ขนทองจะทำอย่างนั้นไปทำไมกัน? ไม่เห็นมีประโยชน์ใดๆ กับพวกมันเลย
หลังจากวิเคราะห์กับเหลยหู่สักครู่ เยี่ยเทียนก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ จึงนั่งลงบนแพเพื่อฝึกวิชา ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา ต่อให้ฟ้าถล่มทลายก็ยังคงสติให้นิ่งอยู่ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายและเสียงฟ้าร้องกึกก้องไม่ไกล จึงไม่อาจสั่นคลอนจิตแห่งเต๋าของเยี่ยเทียนได้
“ท่านอาจารย์ ดูสิ ตัวใหญ่…ออกมาอีกตัวแล้ว!”
ขณะเยี่ยเทียนนั่งสมาธิเป็นวันที่สาม เขาก็ถูกเหลยหู่ร้องเรียกให้ตื่น ความจริงต่อให้เหลยหู่ไม่เรียกเขา เยี่ยเทียนเองก็ได้ยินเสียงร้องของมังกรนั่นอย่างชัดเจน จึงเงยหน้ามองไปยังหาดทราย กลับเป็นมังกรน้ำลำตัวยาวขนาดร้อยเมตร ขาหน้ามีกรงเล็บงอกออกมาสองข้าง บนหัวมีเขาแท่งหนึ่ง โจมตีไปทางค่ายกล
“บ้าเอ๊ย ถ้า…ถ้างอกออกมาอีกเขาหนึ่ง ก็จะกลายเป็นมังกรจริงๆ ?”
เยี่ยเทียนที่นั่งขัดสมาธิยืดตัวลุกขึ้นยืน ใบหน้ามีอาการตกตะลึงจนปิดไว้ไม่มิด เมื่อเทียบกับมังกรน้ำตัวนี้ มังกรดำจากเขาฉางไป๋ซานนับว่าอ่อนแอกว่าจนเทียบไม่ติด มันแค่มีรูปร่างอย่างมังกร พลังปีศาจก็ยังเจือจาง อีกทั้งยังไม่เข้าขั้นอสูร
แต่เจ้ามังกรน้ำตัวนี้ก็ส่งพลังข่มขู่มาทางเยี่ยเทียน ถึงแม้เทียบกับสิงห์ขนทองสองตัวนั้นแล้วจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่มันก็ยังเป็นอสูร ภายใต้รังสีข่มขู่ของมังกร แม้เป็นเยี่ยเทียนในระดับเจี่ยตัน ก็ยังไม่อาจมีความคิดต่อต้าน
“เปรี้ยง!”
ค่ายกลนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้วางเอาไว้ ยิ่งสัตว์ประหลาดพุ่งโจมตีอย่างดุร้าย แรงสะท้อนกลับก็ยิ่งรุนแรงตาม ขณะที่มังกรน้ำตัวนั้นพุ่งไปบนหาดทราย พายุสายฟ้าก็ปกคลุมมันโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน
แต่ว่าแตกต่างจากสัตว์ประหลาดแนวหน้าเหล่านั้น แม้พายุสายฟ้าจะเข้าห้อมล้อมมังกรน้ำ แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของมัน เสียงร้องของมังกรดังมาเป็นระยะจากภายในนั้น
……………………….