“นี่คืออะไรครับ?”
เหลยหู่รับพลอยวิเศษธาตุน้ำมาด้วยความสงสัย ปราณวิเศษอันเยือกเย็นกระตุ้นจนเขาสั่นไปทั้งตัว จากนั้นบนใบหน้าจึงมีสีหน้าดีใจออกมา
เหลยหู่สามารถสัมผัสได้ว่า ก้อนหินที่ดำสนิทเหมือนหยกดำชิ้นนี้ มีปราณวิเศษแฝงอยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นปราณแท้โดยตรงจากภายในร่างกายของเขา และที่สำคัญที่สุดคือ ปราณแท้ที่เปลี่ยนแปลงนั้น เหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่เล็กน้อย
สัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของระดับโฮ่วเทียนที่จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ก็คือพลังปราณชีวิตเปลี่ยนเป็นปราณแท้ การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ จำเป็นต้องใช้พลอยวิเศษที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับร่างกาย เหมือนกับโก่วซินเจียที่ยังติดอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับโฮ่วเทียนและยังไม่อาจเลื่อนขั้นได้เสียที สาเหตุเนื่องจากเยี่ยเทียนยังหาพลอยวิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เขาไม่ได้
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนเคยเล่าถึงความแตกต่างระหว่างระดับเซียนเทียนกับระดับโฮ่วเทียนให้เหลยหู่ฟัง ดังนั้นหลังจากที่ได้รับพลอยวิเศษธาตุน้ำชิ้นนี้ เหลยหู่จึงดีใจแทบบ้า เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว และจะมีพลังยุทธเหมือนกับอาจารย์เสียที
“แต่ก่อนทำไมฉันถึงมองโชคชะตาของแกไม่ออกนะ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“ช่วงนี้แกก็นั่งฝึกวรยุทธอยู่บนแก่นของต้นไม้นั่นก็แล้วกัน บางทีอาจจะมีส่วนช่วยต่อการเลื่อนขั้นของแก”
“อาจารย์ แต่ก่อนศิษย์จิตใจต่ำช้า ทำเรื่องชั่วมากมาย ต่อไปผมจะทำตัวเป็นคนดีตรงไปตรงมาแน่นอนครับ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าของเหลยหู่จึงมีสีหน้าละอายใจออกมา การฝึกพลังจิตนั้น เป็นการขยายขอบเขตของสมองอย่างหนึ่ง หลังจากเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายแล้ว จิตใจของเหลยหู่นั้นกระจ่างแจ้งมากขึ้น จึงรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เคยทำไว้ในอดีตทั้งหมด
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว แกตั้งใจฝึกวรยุทธเถอะ!”
เยี่ยเทียนโบกมือ เขาสามารถมองออก ถึงการพัฒนาวรยุทธของเหลยหู่ และโหงวเฮ้งของเหลยหู่นั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านั้นความหมองคล้ำและโหดเหี้ยมบนใบหน้าได้หายไปหมดแล้ว แต่กลับเป็นความสงบสุขและเปิดเผยตรงไปตรงมาเข้ามาแทนที่ จึงเป็นการแสดงว่าจิตใจของเหลยหู่นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ ท่านจะไปไหนเหรอครับ?”
หลังจากเยี่ยเทียนสั่งแล้ว จึงหมุนตัวเดินไปยังทางเดินเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างภูเขาที่อยู่ข้างกระท่อมไม้ ทำให้เหลยหู่ตกใจหน้าซีดอย่างช่วยไม่ได้ รีบตะโกนเรียกทันที
“อาจารย์ สัตว์พวกนั้นที่อยู่ในภูเขาต่อสู้ยากนะครับ ท่าน…ท่านอยู่ที่นี่จะปลอดภัยมากกว่า!”
ช่วงที่เยี่ยเทียนเก็บตัวถือศีลรวมทั้งจัดระเบียบมู่เจี่ยน เหลยหู่ได้เห็นความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายพวกนั้นกับตาตัวเอง อย่าว่าแต่เหาะเหินมุดลงดินเลย แต่ละตัวนั้นสามารถทลายภูเขาพลิกแม่น้ำได้ทั้งนั้น เขาเคยเห็นสัตว์ร้ายที่หลบสายฟ้าฟาด แล้วกระแทกไปโดนเนินเขาที่สูงเท่าเอวแห่งหนึ่งจนหักมากับตาตัวเอง
ถึงแม้เหลยหู่จะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเยี่ยเทียน แต่ถ้าหากเยี่ยเทียนเจอสัตว์ร้ายพวกนั้นเข้า เหลยหู่ก็เป็นห่วงเยี่ยเทียนอยู่ดี ถึงได้พูดห้ามเยี่ยเทียนไม่ให้เข้าไปในภูเขา
“ไม่เป็นไร แกฝึกวรยุทธอย่างสบายใจเถอะ ฉันจะระวังตัว!”
หลังจากอ่านมู่เจี่ยนที่จางซันเฟิงทิ้งเอาไว้แล้ว เยี่ยเทียนจึงเข้าใจเกาะแห่งนี้มากขึ้น ซึ่งไกลเกินกว่าจินตนาการของเหลยหู่เสียอีก บนมู่เจี่ยนพวกนั้น ยังบอกถึงการกระจายความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายที่อยู่บนเกาะรวมทั้งอาณาเขตของพื้นที่ สัตว์ร้ายที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด มักจะครอบครองส่วนใดส่วนหนึ่งในแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่โดยไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน
ในเกาะเซียน “เผิงไหล” นี้ มีสัตว์แปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วนที่มีพรสวรรค์สามารถบำเพ็ญตบะได้ เพียงแต่พวกมันก็มีข้อดีและข้อเสียแยกกันไป นั่นก็คือสติปัญญาของมันที่เกิดช้าจำเป็นต้องบำเพ็ญตบะเทียบเท่ากับระดับ จินตันของผู้ฝึกตนก่อนถึงจะมีสติปัญญาแสนรู้เหมือนเด็กอายุประมาณสิบขวบได้
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเป็นเซียนหรือปีศาจที่บำเพ็ญตบะก็ตาม การเบิกสติปัญญานั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ปราณวิเศษที่อยู่บนเกาะจะมีอย่างเปี่ยมล้น แต่สัตว์ประหลาดที่สามารถฝึกถึงขั้นจินตันได้จริงๆ นั้น กลับมีน้อยมากเหลือเกิน จางซันเฟิงที่เดินทางท่องเที่ยวบนเกาะนี้เกือบสิบกว่าปี ก็เห็นเพียงแค่สิบกว่าตัวเท่านั้น
ซึ่งสิบกว่าตัวนี้ถูกจางซันเฟิงเรียกว่าสัตว์ปีศาจ ”ระดับต้าเยา” โดยพื้นฐานแล้วต่างจะอยู่เฝ้าอาณาเขตของตัวเอง ฝึกบำเพ็ญตบะเป็นปกติ จะออกมาข้างนอกน้อยมาก นอกจากนี้จางซันเฟิงก็ยังระบุตำแหน่งขอบเขตอำนาจของพวกมันเอาไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงเยี่ยเทียนไม่เข้าไปก็จะไม่ถูกโจมตี
นอกจากสัตว์ปีศาจระดับต้าเยาแล้ว ยังมีสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในขั้นที่จะก้าวเข้าสู่ระดับต้าเยา ซึ่งเยี่ยเทียนยังพอที่จะต่อสู้ได้ วรยุทธของเยี่ยเทียนในตอนนี้ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้ว ห่างจากขั้นปลายเพียงแค่เส้นเดียว ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ แต่การหลบหนีนั้นก็ยังพอมั่นใจอยู่
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ว่างจนอยากไปหาเรื่องสัตว์ร้ายพวกนั้น จุดประสงค์ในการเข้ามาในภูเขาของเขา ก็เพื่อพลอยวิเศษทั้งห้าธาตุเหล่านั้นที่จางซันเฟิงบันทึกเอาไว้ ไม่ว่าจะสามารถออกไปจากเกาะนี้ได้หรือไม่ แต่หากใช้พลอยวิเศษประกอบในการฝึกปราณวิเศษที่อยู่ที่นี่ จะทำให้ความรวดเร็วเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน นี่คือความน่าดึงดูดบางอย่างที่เยี่ยเทียนไม่อาจต้านทานได้
“อาจารย์ ท่านระวังตัวหน่อยนะครับ!”
เหลยหู่ตะโกนตามหลังไปอย่างเป็นห่วง สาเหตุที่เขาสามารถฝึกวรยุทธได้อย่างสบายใจนั้น ก็เป็นเพราะเยี่ยเทียนผู้เป็นอาจารย์อยู่ด้วย แต่ตอนที่เห็นเยี่ยเทียนจะเข้าไปในภูเขา ทำให้ในใจของเขารู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาทันที
“รู้แล้ว น้อยสุดก็สามวัน มากสุดก็หนึ่งอาทิตย์ เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว!”
เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วจึงก้าวขาออกไป ดูเหมือนพื้นดินจะหดสั้นลงไปนับสิบเมตร ภายในชั่วพริบตาก็เข้ามาอยู่กลางป่าเขาที่เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์แล้ว
“สัตว์ร้ายที่วรยุทธไม่ถึงระดับต้าเยาหากไม่ฝึกพลังจิต ทำไมฉันต้องกลัวพวกมันด้วย?”
เยี่ยเทียนเดินอยู่บนทางเส้นเล็กๆ ในภูเขาด้วยจิตใจที่สงบ ถึงแม้การปล่อยพลังจิตบนเกาะแห่งนี้จะทำได้จำกัดมาก แต่เยี่ยเทียนก็สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ที่อยู่รอบบริเวณหนึ่งกิโลเมตรได้ ต่อให้เจอสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอะไร เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถหลบได้อย่างแน่นอน
“หืม? ที่นี่ก็ถือเป็นแดนสวรรค์อีกที่หนึ่งเหมือนกัน แม้แต่เจ้าสิ่งนี้ก็ยังมีวรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นปลาย?”
หลังจากเยี่ยเทียนเข้าไปในป่าลึกได้ประมาณห้าสิบกิโลเมตรแล้ว ก็หยุดชะงักฝีเท้าทันที เพราะเขาพบว่าในหนองบึงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองในระยะหนึ่งร้อยกว่าเมตรนั้น มีพลังปราณชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา เมื่อลองสัมผัสดูอย่างละเอียดแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงแสดงความตกใจออกมา
ตอนแรกเยี่ยเทียนไม่ได้พบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ แต่หลังจากที่ใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสแล้ว จึงพบว่ามีคางคกขนาดเท่าโม่หินตัวหนึ่งเอาตัวมันแนบติดอยู่ในหนองบึง สีเทาอมดำที่หลังของมันเหมือนกับหนองบึงมาก จึงยากที่ใครจะสังเกตุเห็นได้ชัดเจน
ขณะที่เยี่ยเทียนใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสคางคกที่ตัวใหญ่มากนั้น มันก็เหมือนจะสัมผัสอะไรได้เช่นกัน จึงขยับร่างอยู่ในบึงด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย ดวงตาโตราวกับแสงไฟสว่างจ้าคู่นั้นก็กวาดมองไปทั่ว แล้วสิ่งที่อยู่ภายในปากที่อ้าใหญ่ของมัน ก็ค่อยๆ พองขึ้นมาอย่างช้าๆ
“โกรล!”
ตอนที่คางของมันพองเป็นลูกบอลนั้น คางคกตัวนี้ก็อ้าปากอย่างกะทันหัน แล้วส่งเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวออก มา ทำให้ทั่วทั้งป่าสั่นไหว เสียงที่มองไม่เห็นกระจายไปรอบทิศ รอบๆ บึงก็เหมือนจะเกิดพายุทอร์นาโดระดับสิบขึ้นมา พร้อมกับต้นไม้ที่หนาเท่าเอวบางส่วนแตกหักไป
“บ้าเอ้ย วิชาลมปราณคางคกของโอวหยางเฟิงไม่ได้ฝึกมาแบบนี้ใช่ไหม?”
ความจริงตอนที่ใต้คางของคางคกกำลังพองนั้น เยี่ยเทียนก็เพิ่มความระมัดระวังแล้ว แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าการคำรามจะมีอานุภาพขนาดนี้ ขนาดเขาใช้ปราณแท้ปกป้องแก้วหู เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกมีเสียงดังหวึ่งอยู่ในหัวเลย
พอผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงคำรามนั่นก็สงบลง หนองบึงที่คางคกตัวนั้นซ่อนตัวอยู่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อย เกิดพื้นที่ว่างเปล่ามากมายรอบบริเวณ
เยี่ยเทียนขยี้หูที่รู้สึกปวดบวม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เขาพบว่าตัวเองประเมินสัตว์ร้ายที่อยู่บนเกาะนี้ต่ำเกินไป แม้ว่าจะไม่มีวรยุทธระดับจินตัน ไม่สามารถใช้พลังจิตได้ แต่สัตว์ประหลาดพวกนี้ก็มีพรสวรรค์ในแบบของสัตว์ ใช่ว่าจะรังแกได้ง่ายๆ
หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ดูเหมือนคางคกตัวนั้นจะเหนื่อยพอสมควร ถึงแม้จะรู้สึกว่ารอบตัวยังมีคนแอบมองตัวเองอยู่ แต่คางคกก็หาไม่เจอ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว ร่างกายขนาดใหญ่ของมันจึงค่อยๆ จมลงไปในหนองบึง ในเขตนี้มันคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ศัตรู ดังนั้นมันจึงไม่กลัวว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาโจมตีตัวเอง
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้นาน เดินอ้อมอาณาเขตของคางคกมุ่งตรงไปในภูเขาลึกต่อไป เป้าหมายของเขาในครั้งนี้ คือต้นหม่อนโบราณที่อยู่ใกล้หาดทรายมากที่สุด จากบันทึกของจางซันเฟิงนั้น ด้านล่างของต้นไม้มีสายแร่ของพลอยวิเศษธาตุดินแฝงอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้จะมีแก่นของต้นไม้แล้ว แต่สำหรับพลอยวิเศษนั้น เยี่ยเทียนก็คิดเสียว่าเป็นเหมือน “หานซิ่นตรวจแถวทหาร” ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
โดยเฉพาะปราณวิเศษธาตุดินที่สามารถหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งและยังมีประสิทธิผลในการหลอมรวมปราณวิเศษให้เข้าด้วยกัน ซึ่งพลอยวิเศษธาตุอื่นนั้นไม่มีคุณสมบัตินี้ หากมีพลอยวิเศษธาตุดินอยู่ในมือสักหนึ่งชิ้น ต่อให้ได้รับบาดเจ็บหนักอีกครั้ง ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต!
มองดูต้นหม่อนโบราณต้นนั้นจากในทะเล เหมือนมันจะอยู่แค่ตรงหน้า แต่พอเดินเข้าไปในป่าโบราณจริงๆ แล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งพบว่าอะไรคือแค่เห็นภูเขาก็ทำให้ม้าเหนื่อยตายได้ เขาเดินทะลุผ่านป่ามาห้าวันเต็มๆ ก็ยังคงมองเห็นแค่ยอดที่บังแดดบังท้องฟ้าอยู่เหมือนเดิม แต่เงาของลำต้นกลับยังมองไม่เห็น
เวลาห้าวันที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนกลับเจออันตรายทุกย่างก้าว ถึงแม้เขาจะสามารถใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสถึงสถานที่และอานุภาพที่มาจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้ แต่ในป่าแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถฆ่าคนให้ตายได้ สิ่งมีชีวิตอ่อนแอบางส่วน ก็เกือบจะเอาชีวิตของเยี่ยเทียนไปสองสามครั้งเช่นกัน
เหมือนกับดอกไม้กินคนที่อยู่ในป่า ดูแล้วสวยงามผิดปกติ แถมยังมีแมลงเดินไต่อยู่ข้างบน ท่าทางเหมือนจะไม่สามารถทำร้ายคนได้
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินผ่านข้างตัวของมัน มงกุฎดอกไม้นั่นก็อ้าปากแล้วกลืนเยี่ยเทียนเข้าไป หนามพิษมีฤทธิ์เป็นยาชานับสิบได้ทิ่มตัวของเยี่ยเทียนในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนตอบสนองไว แล้วปล่อยปราณธาตุไฟที่พืชกลัวที่สุดออกมา เกรงว่าเขาคงจะถูกดอกไม้กินคน กินเข้าไปแล้ว
นอกจากนี้ภายในป่ายังมีมดขนาดเท่าหัวแม่มือชนิดหนึ่ง มดชนิดนี้เดิมทีมีความสามารถที่น้อยมาก แต่พวกมันมักจะมาเป็นจำนวนหลายร้อยล้านตัว เพื่อร่วมมือกันทำงาน ซึ่งเยี่ยเทียนก็เห็นมากับตาตัวเองว่า มีสัตว์ประหลาดที่มี วรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นต้น ถูกมดที่อ่อนแอพวกนั้นกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเลยสักนิด
ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น บางครั้งหากต้องผ่านพื้นที่อันตราย เยี่ยเทียนก็ยอมที่จะรอหนึ่งวัน ความกดดันจากอันตรายทุกย่างก้าวนี้ ก็ทำให้วรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นกลางของเยี่ยเทียนเสถียรมั่นคงมากขึ้น และระยะห่างของระดับเซียนเทียนขั้นปลาย ก็อยู่ห่างเพียงแค่กระดาษกั้นเท่านั้น
“หืม? ฉันมาถึงแล้วเหรอ?”
การเดินทางที่ยากลำบากอยู่ในป่าเกือบสิบวัน ในที่สุดก็มาอยู่ใต้ต้นหม่อนโบราณต้นนั้นแล้ว พอแหงนหน้าขึ้นไปกลับมองไม่เห็นลำต้นด้านบนสุด ทำให้เกิดความประหลาดใจบนใบหน้าของเยี่ยเทียนยากที่จะบรรยายออกมาได้
………………………………..