“เกิดอะไรขึ้น? ”
สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปกะทันหัน เขารวบรวมปราณแท้ทั้งหมดเพื่อควบคุมร่างกายให้อยู่ แต่รอยร้าวนั่นกลับมีแรงดึงดูดที่เขาต้านไม่ไหว จนทำให้เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ถูกดูดเข้าไปข้างในทั้งคู่
หลังจากที่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่หายเข้าไปในร่องลึก รอยร้าวแปลกประหลาดนั่นก็ปิดลง แล้วมันก็หายไปในเวลาไม่กี่วินาที ท้องฟ้ากลับสู่ปกติ เมฆดำสลาย ฟ้าผ่าฟ้าร้องที่โหมกระหน่ำก็เงียบสงบลง ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? คุณเยี่ยโดนฟ้าผ่าเหรอ? ”
ฟ้าผ่าเมื่อกี้ ทั้งคนขับและแอร์โฮสเตสเห็นเต็มสองตาแม้จะอยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตร แต่พวกเขาไม่เห็นรอยร้าวกลางอากาศนั่น มันปรากฏขึ้นในเวลาที่สั้นเกินไป พวกเขาไม่เห็นการหายตัวไปของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ นึกว่าสองคนนั้นถูกฟ้าผ่าเข้าแล้ว
ผ่านไปไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เริ่มเห็นร่มชูชีพลอยอยู่ตามพื้นผิวน้ำ แพชูชีพใต้เก้าอี้ก็พองขึ้นอัตโนมัติ ทำให้คนที่ลงมาถึงผิวน้ำลอยตัวขึ้นมา มหาสมุทรที่เพิ่งประสบฟ้าฝนเทกระหน่ำมันจะไม่ค่อยนิ่งมากนัก มีคลื่นลูกใหญ่สูงราวหนึ่งเมตรมักจะปกคลุมแพชูชีพให้จมอยู่ใต้น้ำ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป คลื่นในทะเลเริ่มเล็กลง กัปตันหวงหมิงเต๋อหาผู้ช่วยและแอร์โฮสเตสเจอและผูกแพชูชีพทุกอันไว้ด้วยกัน
แต่เยี่ยเทียนกับคนอื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย หวงหมิงเต๋อรู้สึกใจคอไม่ดี การตกของเครื่องบินตกมีสาเหตุมาจากคน กัปตันรอดชีวิต แต่ผู้โดยสารกลับไม่รู้เป็นตายร้ายดี เขาไม่รู้จะรายงานให้เถ้าแก่อย่างไร
“ดูนั่น ตรงนั้นมีร่มชูชีพ! ”
แอร์โฮสเตสตาแหลมตะโกนขึ้นมา ทุกคนบนแพชูชีพมองตามที่หล่อนชี้และพบว่าห่างออกไประยะสามสิบกว่าเมตรบนผิวน้ำ มีร่มชูชีพลอยอยู่บนน้ำทะเล
“ไปตรงนั้น เร็ว! ”
หวงหมิงเต๋อหยิบไม้พายพลาสติกและเริ่มพายจนใกล้ร่มชูชีพนั่น เขาพลิกร่มชูชีพอันนั้น
“เจียงซาน!”
เป็นร่างน้อยของหญิงสาวที่อยู่บนแพและถูกร่มชูชีพคลุมเอาไว้ ด้วยแรงดิ่งลงทะเลที่ค่อนข้างแรง เลยทำให้เจียงซานสลบไม่ได้สติ ร่างน้อยของเธอม้วนงอเป็นก้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“อุ้มเธอขึ้นมา! ”
หวงหมิงเต๋อหยิบเชือกออกมาและผูกแพของเจียงซานไว้กับแพของตนและคนอื่น ส่วนผู้ช่วยยื่นมือไปอุ้มเจียงซานขึ้นมา เขาลูบที่หัวของเธอและพูดว่า “เธอเป็นไข้ น่าจะไข้สูง! ”
แม้ว่าเจียงซานมีความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปไม่มี แต่ร่างกายของเธอก็ยังเป็นร่างกายของคนธรรมดา ความหวาดกลัวกลางอากาศผนวกกับน้ำเย็นเฉียบของมหาสมุทร ก็ยังทำให้เธอไม่สบาย
“พี่คะ คุณลุงเยี่ยอยู่ไหน? ”
หลังจากกินยาลดไข้เจียงซานก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ มองซ้ายมองขวาและรู้สึกผิดหวัง
ช่วงเวลาที่เธอกลัวมากที่สุด เพราะคำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เธอมีสติ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกของเจียงซานที่มีต่อเยี่ยเทียนได้เปลี่ยนไปแล้ว จากคนดุร้ายดุจปีศาจกลายเป็นคนที่เธอไว้ใจมาก
“ยังไม่เจอคุณเยี่ยกับคุณเหลยเลยค่ะ แต่ฉันเชื่อว่าพวกเขาต้องอยู่แถวนี้แหละ…”
แอร์โฮสเตสลูบหัวเจียงซานและกล่าวว่า “ไข้เธอเพิ่งลด พักก่อนนะ ไม่นานเดี๋ยวหน่วยกู้ภัยก็มาถึงแล้ว! ”
เก้าอี้ทุกตัวที่ดีดออกจากเครื่องบิน มีการติดตั้งระบบระบุตำแหน่งดาวเทียม GPRS ไว้ทั้งหมด มันสามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินออกไปโลกภายนอกอัตโนมัติ นอกจากนี้พวกเขายังมีถุงยังชีพอาหารและน้ำดื่มเพียงพอที่อยู่รอดได้อีกสามวัน เพราะฉะนั้นแม้ตัวจะลอยอยู่กลางทะเล แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่
หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งหลังจากได้ยินแอร์โฮสเตสพูดแบบนั้น เด็กอายุเท่านี้ ต้องพบเจอกับเรื่องอันหนักอึ้งถึงเพียงนี้ หล่อนรับไว้ไม่ไหวหรอก สภาพร่างกายของหล่อนมันถึงขีดสูงสุดแล้ว
“กัปตัน คุณเยี่ยคง…”
หลังจากที่เจียงซานหลับ แอร์โฮสเตสที่เสื้อผ้าเปียกโชกเพราะน้ำทะเล ผ้าที่แนบไปกับตัวจนเผยให้เห็นเรือนร่างอันผอมเพรียว เธอหันไปหาหวงหมิงเต๋อ ฟ้าผ่ากลางฟ้าเมื่อกี้ พวกหล่อนเห็นเต็มสองตา ด้วยแรงฟ้าอันแรงสูงแบบนั้น โอกาสรอดชีวิตคงเป็นศูนย์
“ไว้ค่อยว่ากัน รอหน่วยกู้ภัยก่อนแล้วกัน”
หวงหมิงเต๋อปัดมือ และเริ่มเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกผิดที่ไม่ฟังเยี่ยเทียน ไม่ลดระดับให้เร็วกว่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นมลทินที่ใหญ่ที่สุดในเส้นทางอาชีพการบินของเขา หรือบางที หลังจากพ้นวันนี้ไป เขาอาจจะไม่ได้ขับเครื่องบินท่องฟ้าอีกแล้ว
ผืนมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ไม่มีที่หลบแดด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คนที่อยู่บนแพชูชีพถูกแดดจ้าแผดเผาและปากแห้ง หวงหมิงเต๋อเริ่มเป็นกังวล ถ้าค่ำแล้ว การกู้ภัยจะดำเนินการได้ยากขึ้น
“กัปตัน เฮลิคอปเตอร์! ”
บนท้องฟ้า มีเฮลิคอปเตอร์ลำนึงบินอยู่ไกลๆ การปรากฏของเฮลิคอปเตอร์เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีเรือกู้ภัยอยู่ในระยะใกล้เป็นแน่ หรือเข้าใจได้ว่า คนบนแพชูชีพทั้งหมดกำลังจะหลุดพ้นความอันตรายนี้แล้ว
หวงหมิงเต๋อดึงปล่องควันในมือ แล้วควันสีเหลืองก็พุ่งขึ้นฟ้า เพื่อชี้จุดเป้าหมายให้กับเฮลิคอปเตอร์ ทุกคนรู้สึกโล่งใจมากที่เห็นเฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาใกล้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป นอกจากเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ พนักงานบนเครื่องทุกคนได้ขึ้นเรือกู้ภัยเรียบร้อย ส่วนเฮลิคอปเตอร์ยังคงปฏิบัติภารกิจค้นหาเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ต่อไป และเยี่ยเทียนก็เป็นเป้าหมายหลักของการค้นหาครั้งนี้
แต่ทุกคนก็ผิดหวัง ภารกิจการค้นหาผ่านไปช่วงบ่ายจนถึงช่วงดึก ในระยะสิบกิโลเมตรของน่านน้ำ ไม่พบร่องรอยของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่เลย สองคนนี้เหมือนหายไปในทะเลแล้ว
เช้าวันที่สอง มีทีมกู้ภัยนานาชาติอีกสามทีมเดินทางมาถึงน่านน้ำที่เกิดอุบัติเหตุ และขยายขอบเขตการค้นหาที่กว้างมากขึ้น ขณะเดียวกัน เรือสำราญหรูที่จอดอยู่ที่ท่าเรือออสเตรเลียได้มุ่งหน้าสู่มหาสมุทรอินเดียแล้ว
ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ตอนที่เรือสำราญแล่นมาถึงจุดเกิดเหตุ เครื่องบินลอยน้ำลำเล็กล่องอยู่บนพื้นผิวน้ำได้ประมาณร้อยเมตร มันแล่นไปหยุดอยู่ข้างเรือกู้ภัย และคนสี่คนถูกรับจากเครื่องบินและส่งขึ้นไปยังเรือสำราญด้วยเรือยนต์ลำนึง
“เรียกกัปตันมาหน่อย ผมต้องการทราบรายละเอียด”
คนที่อยู่บนเรือสำราญก็คือโก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้นและถังเหวินหย่วนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีโจวเซี่ยวเทียนที่ไปเยี่ยมอาจารย์ลุงที่ฮ่องกงแล้วเจอเรื่องนี้พอดี พอทราบข่าวของอาจารย์ เขาก็ขอตามมาด้วย
“อาจารย์ลุง อาจารย์ของผม?”
สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แม้เขาจะรู้ว่าพลังวิชาของอาจารย์ของตนนั้นสูงกว่าคนทั่วไปมาก แต่อำนาจของฟ้าไม่มีใครคาดเดาได้ คนที่โดนฟ้าผ่า โอกาสรอดชีวิตนั้นน้อยมาก
“กังวลอะไร? ” โก่วซินเจียมองโจงเซี่ยวเทียนและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “น้องเล็กไม่ใช่คนอายุสั้น แม้ว่าฉันจะทำนายชะตาชีวิตของเขาไม่ได้ แต่เขาไม่มีทางตายที่นี่แน่นอน สบายใจเถอะ!”
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สายตาของโก่วซินเจียที่เผยให้เห็นความเหนื่อยล้า มันเผยความกังวลไว้ด้วยเช่นกัน แต่คำพูดของเขาช่วยปลอบใจโจวเซี่ยวเทียนได้มากทีเดียว
โก่วซินเจียทำนายกว้าไปหนึ่งครั้ง หลังจากที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่องแล้วครึ่งชั่วโมง ครั้งนี้เขาเลือกวิธีการเรียงกว้าที่ซับซ้อนและโบราณด้วยการใช้ดอกยาร์โรว เพื่อทำนายโชคดีและโชคร้ายของเยี่ยเทียน แต่เขาใช้พลังไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำนายอะไรออกมาได้เลย
มันยิ่งทำให้โก่วซินเจียแปลกใจ เพราะตั้งแต่เรียนวิชาทำนายจากการเรียงกว้าเขาใช้เวลาเรียนไปแล้วกว่าเจ็ดแปดสิบปี ระหว่างนี้เคยทำนายพลาดบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้มาก่อน ราวกับว่าเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วซะอย่างนั้น
ไม่เพียงแต่ชะตาของเยี่ยเทียนที่เป็นแบบนี้คนเดียว ชะตาของเหลยหู่ก็ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเหลยหู่ไม่ใช่คนที่ฝึกวิชามาก่อน แต่ชะตาชีวิตก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับฟ้าสวรรค์ และไม่ว่าจะเป็นโก่วซินเจียหรือจั่วเจียจวิ้นเอง ทั้งสองคนไม่มีใครทำนายความโชคดีและความโชคร้ายของเหลยหู่ได้เลยสักคน
ด้วยเหตุนี้โก่วซินเจียกับจัวเจียจวิ้นจึงต้องเดินมาด้วยตัวเอง โก่วซินเจียจะใช้จิตดั้งเดิมที่แผ่วเบาของเขากับทิศทางการเคลื่อนที่ของชี่ ในการค้นหาร่องรอยที่เยี่ยเทียนได้ทิ้งเอาไว้
“คุณถัง อา…อาจารย์จั่ว? ”
ลูกเรือที่ประสบอุบัติเหตุไม่มีใครออกจากมหาสมุทรผืนนี้ หลังจากที่เรือสำราญแล่นมาถึง พวกเขาก็ถูกย้ายและเข้ามาอยู่ในห้องโดยสารของบนเรือเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าถังเหวินหย่วนและจั่วเจียจวิ้นเดินทางมาด้วยตัวเอง หวงหมิงเต๋อที่คุ้นเคยกับทั้งสองท่านเป็นอย่างดี ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
เพราะอุบัติเหตุเครื่องบินในครั้งนี้ หวงหมิงเต๋ออาจต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่ง เยี่ยเทียนเตือนเขาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และเขาตัดสินใจปล่อยเก้าอี้ออกไปในวินาทีสุดท้าย ซึ่งถ้าเขาตัดสินใจเร็วกว่านี้ เรื่องนี้คงจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้
“กัปตันหวงใช่มั้ย คุณไม่ต้องกลัว คุณเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังหน่อย ห้ามพลาดแม้แต่รายละเอียดเพียงนิดเดียว! ”
เมื่อเห็นอาการตื่นตระหนกของหวงหมิงเต๋อ ถังเหวินหย่วนจึงเอ่ยปากพูดด้วยก่อน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงเยี่ยเทียนมาก แต่ทุกคนก็เป็นตาแก่อายุกว่าเจ็ดแปดสิบปี แค่ออกซิเจนที่หล่อเลี้ยงพลัง ก็ใช่ว่าไอ้หนุ่มอย่างโจวเซี่ยวเทียนจะเทียบเทียมได้
“เพราะผมไม่ฟังคำสั่งของคุณเยี่ย…”
หวงหมิงเต๋อยิ้มอย่างขมขื่น และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน กระโดดออกจากเครื่องบิน และเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ผ่าใส่เยี่ยเทียน
“ผม…ผมเหมือนจะเห็น ตอนที่คุณเยี่ยดีดอออกจากห้องโดยสาร เขาไม่ได้ใส่ร่มชูชีพ!”
แอร์โฮสเตสที่อ่อยเยี่ยเทียน เผลอหลุดข้อมูลที่ทำให้สีหน้าของหวงหมิงเต๋อถึงกับทำหน้าตายออกไป สาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ร่มชูชีพก็เพราะกำลังต่อล้อต่อเถียงกับตนจนไม่ทันใส่
“ยังไม่พูดถึงเรื่องร่มชูชีพ พวกคุณแน่ใจว่าฟ้าผ่าใส่เยี่ยเทียนจริง? ”
สายตาของโก่วซินเจียจ้องเขม้นที่หวงหมิงเต๋อ เขาไม่สนใจว่าเยี่ยเทียนใส่ร่มชูชีพหรือไม่ เพราะโก่วซินเจียรู้ว่าเยี่ยเทียนลอยบนเมฆได้ ตกน้ำทะเลอาจจมน้ำตายได้ แต่ถ้าร่วงกระแทกพื้นตายมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน
………………………..