“เกิดอะไรขึ้น? โอ้ย! ”
แอร์โฮสเตสที่ยืนอยู่ข้างหน้าเยี่ยเทียนเซตามการสั่นสะเทือนของเครื่องบินจนล้มลงที่อกของเขา ครั้งนี้หล่อนไม่ได้แกล้งทำ แต่ล้มลงเพราะการสั่นที่รุนแรงมาก ราวกับว่าเครื่องบินกำลังพลิกไปพลิกมาอยู่กลางอากาศ
เยี่ยเทียนไม่มีอารมณ์มานั่งสงสารเอ็นดู เขาคว้าไหล่ของหญิงสาวไว้และดึงให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ คาดเข็มขัดนิรภัยล็อกเธอเอาไว้
ตอนนี้เยี่ยเทียนเครียดมาก สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่พายุกับหลุมอากาศที่กำลังบินผ่าน แต่เมื่อสักครู่ เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวและหัวใจก็เต้นเร็วขึ้น
“ไม่สิ มันกำลังจะระเบิดแล้ว! ”
สายตาของเยี่ยเทียนมองทะลุเครื่องบินและพบว่ายางไม้ของระเบิด C4 ละลายหมดแล้ว และตรงกลางของระเบิดพลาสติกนั่น มีเครื่องจับเวลาเล็กเท่าเล็บมือเริ่มนับถอยหลัง
“บัดซบ นี่มันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเหรอว่ะ! ”
เยี่ยเทียนลุกพรวดขึ้น เข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ยังต้านแรงไม่อยู่ เขาหันไปคว้าเครื่องติดต่อที่ติดอยู่ข้างหูของแอร์โฮสเตสและตะโกนเสียงดังว่า
“นำเครื่องลงเดี๋ยวนี้ คุณมีเวลาแค่สามนาทีเท่านั้น! ”
“คุณเยี่ย คุณจะทำอะไร? นั่งลงครับ เครื่องบินสั่นมาก! ”
แอร์โฮสเตสจ้องมองเยี่ยเทียนอ้าปากตาค้าง เธอก็ไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนสลัดหลุดจากเข็มขัดนิรภัยที่รองรับแรงดึงที่มากถึงหนึ่งพันกิโลนี้ได้อย่างไร?
“ถ้ารอจนนิ่ง ชีวิตเธอก็จบเห่แล้ว”
ไม่ว่าเครื่องบินจะเอียงไปทางไหน เยี่ยเทียนก็สามารถยืนทรงตัวอยู่บนเครื่องบินได้โดยไม่ขยับ ราวกับตอกตะปูลงพื้นไปเรียบร้อย
“บ้าเอ้ย รอให้เครื่องลงจอดก็ไม่ทันแล้ว! ”
เยี่ยเทียนปล่อยญาณสัมผัสออกมาพบว่าเหลือเวลาอีกแค่สองร้อยกว่าวินาที เขารีบหันไปหาแอร์โฮสเตสและถามว่า “มีร่มชูชีพอยู่บนครื่องมั้ย? มีครบทุกคนมั้ย? ”
เยี่ยเทียนรู้ว่าสายการบินทั่วไปไม่มีร่มชูชีพ เพราะร่มชูชีพมีน้ำหนักที่หนักมาก ถ้าร่มชูชีพจำนวนเป็นร้อยวางอยู่บนเครื่องบิน ก็จะไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากเท่าไหร่ แล้วอีกอย่าง สายการบินทั่วไปมักจะบินอยู่บนความสูงระดับหมื่นเมตรขึ้นไป
แล้วความสูงระดับนั้น มีความแตกต่างของแรงดันอากาศที่ค่อนข้างมาก ห้องโดยสารจะเปิดไม่ได้เลย หรือหากเปิดได้ อุณหภูมิติดลบสี่สิบองศาก็หนาวพอที่จะทำให้คนที่กระโดดออกมาจากเครื่องบินแข็งตายทั้งเป็น เมื่อลงมาถึงระดับที่พอเหมาะ เกรงว่าคนๆ นั้นก็คงกลายเป็นศพที่แข็งตัวไปแล้ว
แต่เครื่องบินส่วนตัวแบบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัย เยี่ยเทียนเชื่อว่า บนเครื่องบินลำนี้จะต้องมีร่มชูชีพที่เพียงพอต่อทุกคนแน่ๆ ขอแค่เครื่องบินเริ่มลดระดับ ทุกอย่างก็ยังไม่สายเกินไป
“คุณเยี่ย คุณจะทำอะไร? ผมขอให้คุณกลับไปที่นั่งคุณเดี๋ยวนี้…”
ห้องคนขับถูกเปิดออก กัปตันมองมาที่เยี่ยเทียนด้วยความโกรธสุดขีด ก็เขารับปากแล้วว่าถ้าบินผ่านเขตพายุไปแล้วเขาจะลดระดับนำเครื่องลงบนผิวน้ำทันที แต่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะโวยวายในเวลานี้
แม้จะเป็นพนักงานใช้แรงงาน แต่กัปตันก็มีจรรยาบรรณในวีชาชีพของตน เขาไม่อนุญาตให้คนที่ไม่รู้เรื่องการบิน มาชี้หน้าสั่งให้เขาทำอะไรเด็ดขาด
“เครื่องบินจะระเบิดแล้ว ลดระดับการบินเร็ว หยิบร่มชูชีพให้พวกเขา! ”
น้ำเสียงของเยี่ยเทียนจริงจังมาก ตอนนี้เครื่องบิน บินอยู่บนระดับหมื่นเมตร ถ้ากระโดดจากความสูงระดับนี้ เกรงว่าคงมีแต่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ที่ถึงแม้จะมีพลังไม่มากเท่าไหร่คงอยู่รอด ส่วนคนอื่นๆ ต้องแข็งเป็นไอติมแน่ๆ
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ด้านล่างฟ้าผ่าอยู่นะ ถ้าลดระดับตอนนี้ พวกเราจะตายกันหมด! ”
กัปตันเบิกตากว้าง จ้องมองเยี่ยเทียนเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว เขาไม่เคยพบเจอเรื่องบ้าบอแบบนี้มาก่อน
“อย่าพูดมาก ผิวชั้นนอกของเครื่องบินเป็นฉนวนไฟฟ้า อย่าคิดว่าผมไม่รู้! ”
เยี่ยเทียนโน้มตัวมองที่หัวของเจียงซานแล้วยื่นมือไปกด กระเป๋าชูชีพหนึ่งห่อเด้งออกมาจากใต้เก้าอี้
“อย่าขยับ ใส่ซะ ตอนกระโดด กดตรงนี้”
เยี่ยเทียนใส่ร่มชูชีพให้เจียงซาน และหันไปมองเหลยหู่ พูดกับเขาว่า
“เหลยหู่ แกใส่เองก็แล้วกัน พวกเขาจะอยู่ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าแกเชื่อฉันก็กระโดดไปกับฉัน! ”
“ท่านเยี่ย ผมเชื่อท่านครับ! ”
หลังจากเยี่ยเทียนพูดจบ เหลยหู่ก็รีบนำร่มชูชีพออกมา เหลยหู่เคยใช้เจ้าสิ่งนี่มาก่อน เขาจึงใช้เวลาสวมใส่ร่มชูชีพเพียงสิบวินาทีเท่านั้น
“คุณเยี่ย สิ่งที่คุณทำอยู่อันตรายต่อความปลอดภัยของเครื่องบิน ผมขอสั่งให้คุณกลับไปนั่งที่ตัวเองครับ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังใส่ร่มชูชีพให้เจียงซาน กัปตันหยิบปืนออกมากระบอกหนึ่ง ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว
“ยังทำตัวไร้สาระอีก กลับไปและลดระดับเครื่องบินลงเดี๋ยวนี้! ”
เวลาที่เห็นจากญาณสัมผัสน้อยลงทุกที เยี่ยเทียนไม่มีเวลาไร้สาระกับกัปตัน สองขาขยับ ตัวของเยี่ยเทียนก็อยู่ข้างกัปตันแล้ว ตอนที่กัปตันยังไม่ทันตั้งตัว ปืนกระบอกนั้นก็ได้เปลี่ยนเจ้าของและปากกระบอกปืนที่เย็นเฉียบก็จ่ออยู่กลางขมับของกัปตันเรียบร้อย
“ใจเย็นครับคุณเยี่ย คุณต้องใจเย็นก่อน ผมจะลดระดับลงเดี๋ยวนี้! ”
สิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังทำ ทำให้กัปตันตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขาไม่กล้าสงสัยสิ่งใดอีก แล้วถ้าเขายังไม่ทำตามคำสั่งของเยี่ยเทียน วินาทีต่อไปก็คงจะเป็นสมองเขานั่นแหละที่จะระเบิด
กัปตันกลับมาถึงห้องคนขับภายใต้การคุมตัวของเยี่ยเทียน ผู้ช่วยกัปตันเห็นท่าทีไม่ดีอยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกกัปตันห้ามเอาไว้ เพราะการต่อสู้กันในห้องควบคุมก็เหมือนการเร่งความตายให้เร็วขึ้น
“ไม่ได้ ช้าเกินไป! ”
เมื่อเห็นกัปตันกดคันบังคับลงช้าๆ เยี่ยเทียนทนไม่ไหวจึงเอื้อมมือไปกดคันบังคับลงต่ำสุด ทันใดนั้นหัวเครื่องบินก็เอียงจนแทบดิ่งลง จากนั้นเครื่องบินก็พุ่งลงไปผ่านกลุ่มเมฆดำเหมือนลูกศร
ความรู้สึกของการสูญเสียน้ำหนักที่เกิดจากการลดระดับลงอย่างฉับพลันแบบนี้ สร้างความตกใจและความหวาดกลัวให้กับคนในห้องโดยสารเป็นอย่างมาก แม้แต่กัปตันเองก็ยังล้มจนกลิ้งไปกับพื้น มีแค่เยี่ยเทียนคนเดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองขาของเยี่ยเทียนติดกับพื้นไว้แน่นราวกับมีจานดูด ดูดเอาไว้
เมื่อเครื่องบินบินเข้าสู่ชั้นเมฆ น้ำฝนก็เทลงบนเครื่องบินอย่างรุนแรง ความสามารถในการมองเห็นตอนนี้แทบจะเป็นศูนย์ และเป็นดั่งที่เยี่ยเทียนกล่าว ฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่โหมกระหน่ำไม่มีผลกระทบต่อเครื่องบินจริงๆ มีเพียงแสงฟ้าผ่าที่กระพริบอย่างรวดเร็วที่ทำให้รู้สึกตกใจ
“ยังดีที่บินลงมาทัน! ”
เมื่อเห็นตัวเลขบนแผงควบคุมเปลี่ยนเป็นสามพันแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจมากขึ้น เพราะระเบิดที่อยู่ใกล้เครื่องยนต์อันนั้น ยังเหลือเวลาอีกห้าสิบวินาทีถึงจะระเบิด
“เตรียมเปิดประตู! ” เยี่ยเทียนหันไปหากัปตัน
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนต้องการกระโดดร่มชูชีพจริงจัง กัปตันยิ้มอย่างหมดหวังพูดว่า
“คุณเยี่ยครับ ที่จริงไม่ต้องเปิดประตูก็ได้ครับ ที่นั่งทุกตัวมาพร้อมกับอุปกรณ์ดีดตัว! ”
อุปกรณ์ดีดตัวส่วนใหญ่จะถูกติดตั้งไว้กับเครื่องบินรบ เพื่อให้ผู้ขับเครื่องบินรบสามารถหลบหนีได้ทันท่วงที เครื่องบินที่ออกแบบโดยเฉพาะของหลี่เชาเหรินก็มีฟังก์ชั่นนี้เหมือนกัน
ตอนที่คนและเก้าอี้ดีดออกไป ห่วงชูชีพที่อยู่ใต้เก้าอี้จะพองขึ้นอัตโนมัติ และยังมีชุดอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินกับน้ำดื่มด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ร่มชูชีพแต่ละตัวจะมีการติดตั้งสัญญาณขอความช่วยเหลือแบบไร้สายเอาไว้ เพื่อให้ทีมช่วยเหลือสามารถค้นหาตัวเองเจอได้เร็วที่สุด และในฐานะมหาเศรษฐีชาวจีนที่มีชื่อเสียงระดับโลก คนอย่าง หลี่เชาเหรินจะต้องให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอยู่แล้ว
“บัดซบ ทำไมไม่บอกแต่แรก? ”
เยี่ยเทียนสบถคำด่าออกไปและพูดว่า
“รอผมกลับไปถึงตรงที่นั่ง คุณดีดเก้าอี้ออกไปทันทีนะ ผมขอเตือน อย่าเล่นตุกติกอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมไม่สนหรอกนะ ถ้าจะต้องแยกชิ้นส่วนของเครื่องบินลำนี้”
ตอนที่พูดอยู่ เยี่ยเทียนกำปืนในมือไว้แน่น ทันใดนั้นปืนกระบอกนั้นก็กลายเป็นเศษโลหะและฟุ้งกระจายผ่านซอกนิ้วของเขา กัปตันเครื่องบินทั้งสองคนตะลึงจนพูดไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะด้านนอกฟ้าร้องฟ้าผ่าอยู่ บางทีพวกเขาอาจคิดว่ากำลังฝันไป
“ถ้าพวกคุณสองคนไม่อยากตาย ผมขอแนะนำให้พวกคุณกระโดดนะ! ”
สัญญาณอันตรายชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยเทียนโบกมือ เดินออกจากห้องควบคุม และนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง และคิดไม่ถึงเลยว่าแอร์โฮสเตสคนสวยแต่หน้าซีดขาวสามคน จะสวมใส่ร่มชูชีพและนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองเรียบร้อย
“บัดซบ เร็วๆสิ! ”
เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้แล้ว เยี่ยเทียนพบว่าเก้าอี้ไม่ดีดออกไปซักที แต่พอยกมือขวาขึ้น ปราณแท้ที่พุ่งออกมาทำให้พื้นที่ผลิตจากโลหะเกิดประกายไฟแตกเป็นรอยร้าวลึก
ตอนที่เยี่ยเทียนเพิ่งพูดจบ จู่ๆ เหล็กบนหัวก็แยกออกจากกัน ลมกระโชกพัดแรงจนใบหน้าของทุกคนรู้สึกตึงและเปลี่ยนรูปไปหมด ตรงข้างหูก็ได้ยินแต่เสียงลมพัดกับฟ้าร้อง เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็เปียกโชกเพราะโดนฝนสาดใส่
ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนรู้สึกแรงมหาศาลแรงหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของตน เก้าอี้ที่นั่งอยู่แยกออกจากเครื่องบินแล้วแรงนั้นก็ทำให้ตัวของเยี่ยเทียนดีดออกไปไกลมาก
เพราะแสงไฟจากฟ้าผ่าเส้นนั้น ทำให้เยี่ยเทียนเห็นเจียงซานกับคนอื่นๆ ถูกดีดออกจากห้องโดยสารแล้วเช่นกัน ส่วนกัปตันสองคนที่ดูเหมือนต้องการอยู่กับเครื่องบินในตอนแรก ก็สวมใส่อุปกรณ์และดีดตัวออกจากห้องนักบินแล้วด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดแล้วว่าการบอกว่าเป็นศิษย์น้องของอาจารย์จั่วนั้นมีผลจริงๆ
“บัดซบ เรายังไม่ได้ใส่ร่มชูชีพเลย! ”
จนดีดตัวออกจากเครื่องบินแล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หลังจากที่นั่งลงตรงเก้าอี้แล้ว ดูเหมือนว่าเขายังไม่ทันได้ใส่ร่มชูชีพเลย พอนึกขึ้นได้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ถึงเขาจะมีวิชาและอิทธิฤทธิ์ที่สูงมากจนเหมือนกับพระเจ้าในสมัยโบราณ แต่นี่มันความสูงตั้งหลายพันเมตร ทำให้อดตะโกนร้องออกมาไม่ได้
…………………………….