“ใครบ้างล่ะจะไม่ตาย?” พอได้ยินเจอร์รีพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็หลุดขำออกมา “แกนำไปก่อนก้าวหนึ่ง แล้ววันหลังแกก็จะได้เจอกับฉันที่นรกอยู่ดีนั่นแหละ!”
กับศัตรูแล้ว เยี่ยเทียนยึดถือหลักการขุดรากถอนโคนมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะกับคนแบบเจอร์รี และพวกทหารรับจ้างที่สามารถจะผันตัวไปเป็นนักฆ่ามืออาชีพได้ในบางเวลาแล้ว เยี่ยเทียนยิ่งไม่มีทางปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นภัยต่อตนในวันหน้าอย่างแน่นอน
ดังนั้นทันทีที่กล่าวจบ นิ้วชี้มือขวาของเยี่ยเทียนก็งอแล้วดีดไปหนึ่งที กระแสลมแรงสายหนึ่งพุ่งไปที่ตำแหน่งหัวใจของเจอร์รี เจอร์รีซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงรู้สึกเจ็บที่หน้าอก แล้วสติสัมปชัญญะก็เริ่มเลอะเลือนไป
“แก…แล้วแกจะเสียใจ!”
สายตาชิงชังของเจอร์รีค่อยๆ พร่ามัวไปทีละน้อย หนึ่งดัชนีของเยี่ยเทียนนั้นได้ทำลายพลังชีวิตของเขาไปจนหมดแล้ว ผ่านไปครู่เดียว เลือดในกายของเจอร์รีซึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้นก็เย็นลง ทั้งร่างไม่เหลือร่องรอยของชีวิตอีกแล้ว
“คนตายเพราะเห็นแก่ทรัพย์สิน นกตายเพราะเห็นแก่กินแท้ๆ เลย!” เยี่ยเทียนมองดูหุบเขาที่เต็มไปด้วยเลือดเจิ่งนองแล้วส่ายหน้า ยังไม่ทันได้ทอดถอนใจ ใบหูก็พลันกระดิก
“มาเร็วเหมือนกัน สงสัยการระเบิดเมื่อครู่คงจะเรียกพวกนั้นมา?”
เขายื่นมือไปหิ้วร่างอันผ่ายผอมของเจียงซานขึ้นมาจากพื้น หมอกขาวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า แล้วปกคลุมไปทั่วร่าง ทันทีที่ร่างของทั้งสองอันตรธานไป เสียงเครื่องยนต์ดังมาแต่ไกล รถลำเลียงพลและรถหุ้มเกราะกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นนอกหุบเขา
“เห็นทีแอฟริกาใต้คงจะโกลาหลกันไประยะหนึ่ง”
เยี่ยเทียนซึ่งกำลังพรางตัวอยู่บนไหล่เขาฉุกคิดบางอย่างได้ จึงไม่อยู่ดูต่อไปอีก แต่พาเจียงซานไปจากที่นั่นอย่างเงียบเชียบ เขายังมีธุระสำคัญอีกสองเรื่องที่ต้องไปทำ ถ้ามัวแต่รีรอจนโจฮันเนสเบิร์กใช้มาตรการฉุกเฉิน ก็อาจจะเกิดความยุ่งยากขึ้นมาอีกก็ได้
“เร็ว ดูซิว่ามีพยานที่รอดชีวิตอยู่รึเปล่า?”
เยี่ยเทียนคาดไว้ไม่ผิดเลย หากจะเดินทางจากตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์กไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก ก็จะต้องเดินทางผ่านที่นี่ด้วย และพวกทหารก็ตามเสียงระเบิดนั้นมา เมื่อนายทหารที่เป็นคนนำขบวนเห็นสภาพภายในและภายนอกหุบเขาอย่างชัดเจนแล้ว ก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง เพราะที่นี่ดูราวกับได้เกิดสงครามขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือ นอกจากเจอร์รีแล้ว ทั่วทั้งหุบเขาไม่มีศพอื่นๆ ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย หลังจากหยุดพักครู่หนึ่งแล้ว กองทหารจึงออกเดินทางไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กต่อไป โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่นั่นก็ทำให้ทหารเหล่านี้ต้องตื่นตระหนกกันอีกครั้ง
บนพื้นดินไกลเท่าที่สายตามองเห็นนั้นเต็มไปด้วยซากศพ นอกจากนักท่องเที่ยวบางคนที่หลบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ในเหมืองทองและโชคดีรอดมาได้ ยังมีทหารเด็กกลุ่มหนึ่งที่เกิดอาการอยากยาจนลงแดงน้ำมูกน้ำลายไหลนอนกลิ้งเกลือกอยู่เต็มพื้น กองทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ที่เหมืองทองอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดศพของผู้เสียชีวิตและจับกุมทหารเด็กเหล่านั้น
ระหว่างที่ทหารเหล่านี้กำลังเก็บกวาดศพซึ่งเริ่มจะส่งกลิ่นเหม็นเน่า เยี่ยเทียนก็พาเด็กหญิงคนนั้นกลับไปที่โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เปรียบเทียบกับเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กที่มีสภาพเหมือนกับนรกบนดินแล้ว ในเมืองกลับครึกครื้นและสงบ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“พอเลย ในเมื่อตื่นแล้วก็เลิกแกล้งหลับเสียที!”
หลังจากกลับไปถึงห้องของตัวเอง เยี่ยเทียนโยนเด็กหญิงลงไปบนโซฟาอย่างไม่มีพิธีรีตรอง ฟังจากเสียงลมหายใจของเธอที่เปลี่ยนจังหวะไปอย่างกะทันหัน เขาจึงรู้ว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว
“คุณคิดจะจัดการกับฉันยังไง?” ขนตายาวงอนของเจียงซานกะพริบ แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ เธอรู้ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว ไม่ว่าลูกไม้ไหนๆ ก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น
“จัดการเธอยังไงน่ะรึ?”
เยี่ยเทียนเก็บสัมภาระของตัวเองไปพลางขมวดคิ้ว เด็กหญิงคนนี้มุ่งร้ายต่อเขา แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นคิดจะฆ่า แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้มีความคิดสงสารบุปผาถนอมหยก แต่ก็ยังหักใจลงมือฆ่าไม่ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะคร่าชีวิตของเจียงซานไปตั้งนานแล้ว
“ให้เวลาเธอห้านาที บอกมาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อนึกถึงซ่งเสี่ยวหลงซึ่งอยู่ที่เคปทาวน์ ดวงตาของเยี่ยเทียนก็ฉายประกายเย็นเยือก เจ้าหมอนั่นวางอุบายมาเล่นงานเขาหลายต่อหลายครั้ง คราวนี้จะปล่อยมันไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหน้าจะต้องวุ่นวายอีกขนาดไหนก็ไม่รู้
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนว่าดังนั้น เจียงซานจึงตอบไปตามตรง “ฉันชื่อเจียงซาน พ่อแม่ตายไปตั้งแต่เล็ก แม่บุญธรรมเป็นคนชุบเลี้ยงมาจนโต…”
เจียงซานแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็มีประสบการณ์ผ่านสังคมมามาก เธอทำหน้าตาน่าสงสาร แล้วเริ่มเล่าเกี่ยวกับความยากลำบากที่ได้รับมาตั้งแต่เด็ก
โลกนี้มีคนน่าสงสารอยู่เยอะถมเถไป เยี่ยเทียนไม่ได้มีความเมตตากรุณามากมายอะไร จึงฟังเรื่องที่เจียงซานเล่ามาเพียงผ่านๆ แล้วถามขึ้นว่า “เธออ่านใจคนอื่นได้ แล้วก็ทำนายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้จริงๆ น่ะหรือ?”
“อืม ฉันพอจะสัมผัสได้คร่าวๆ ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่” เจียงซานพยักหน้าแล้วพูดต่อ “แต่ฉันสัมผัสถึงความคิดของคุณไม่ได้เลย เวลาอยู่ใกล้ๆ คุณแล้ว รู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ กระแสจิตของฉันทะลุผ่านเข้าไปไม่ได้เลย”
“อ่านความคิดของคนอื่นได้งั้นรึ ความสามารถแบบนี้ออกจะพิสดารอยู่จริงๆ…”
เยี่ยเทียนรู้สึกพิศวงในใจ ถ้าพวกนักต้มตุ๋นรับเสี่ยงทายชะตาที่จีนได้ความสามารถนี้ไปละก็ กิจการคงจะรุ่งเรืองตลอดปีแน่ๆ เยี่ยเทียนคิดดูแล้วถามต่อไปว่า “แล้วเรื่องทำนายอนาคตล่ะเธอทำได้ยังไง? เธอรู้วิชานรลักษณ์ศาสตร์ของจีนหรือไม่ก็ไพ่ทาโรต์ของชาวยิปซีอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ทั้งนั้นละ ความสามารถนี้น่ะฉันมีมาตั้งแต่เกิด แค่ฉันคิดถึงเรื่องบางอย่างก่อนนอน พอหลับฝันก็จะเห็นผลสรุปอย่างคร่าวๆ ของเรื่องนั้นแล้ว”
เจียงซานมีสีหน้าหวาดกลัว ลอบมองเยี่ยเทียนแวบหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ฉัน…ฉันเคยฝันเห็นคุณ ที่แทบเท้าคุณมีเลือดนองเต็มพื้น หันไปทางไหนก็มีแต่โครงกระดูกของคนตาย”
พอพูดถึงตรงนี้ ร่างอันบอบบางของเจียงซานก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น เธอเพิ่งจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาก็ตอนนี้เอง ชายผู้นี้มอบความตายให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยเมยเช่นนั้น แสดงว่าเขาจะต้องเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน
“หลับฝันแล้วทำนายเรื่องในอนาคตได้งั้นรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วขมวดคิ้ว เขาเองก็ได้รับสืบทอดวิชาของสำนักเสื้อป่านมา จึงรู้ว่าโลกนี้มีเรื่องที่ไม่อาจใช้เหตุผลอธิบายได้อยู่มากมาย ดังนั้นจึงพอจะเชื่ออยู่บ้างว่าสิ่งที่เธอพูดมานี้ไม่ใช่ความเท็จ แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่สามารถยืนยันได้เช่นกันว่าสิ่งที่เจียงซานพูดมาเป็นความจริง จะให้เธอหลับสักตื่นเพื่อพิสูจน์ดูก็คงไม่ได้?
เยี่ยเทียนขบคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เธอรู้จักปากว้าในคัมภีร์โจวอี้ไหม?”
“ปากว้า? หมายถึงนี่รึเปล่า?” เจียงซานเอียงคอ เมื่อเห็นบนโต๊ะมีกระดาษและปากกาอยู่ จึงเดินเข้าไปวาดรูปยันต์แปดทิศขึ้นมา และยังเขียนตัวอักษรแทนทิศแต่ละทิศออกมาได้ครบทุกตัวอีกด้วย
“ที่แท้ก็เป็นคนในวงการเหมือนกันหรือเนี่ย?” เยี่ยเทียนอึ้งไป รูปยันต์แปดทิศนั้นแม้จะพบเห็นได้บ่อยอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่ใช่คนที่ศึกษาหรืออยู่ในวงการนี้โดยเฉพาะ ก็มีน้อยคนนักที่จะวาดออกมาได้ และตำแหน่งทิศทางที่เด็กหญิงคนนี้เขียนไว้ก็ไม่มีผิดพลาดเลยสักนิด
“พ่อของฉันทิ้งหนังสือไว้ให้เล่มหนึ่ง ฉันก็เรียนมาจากในนั้นนั่นแหละ!” เจียงซานพูดขึ้นเสียงอ่อยๆ หลังจากที่พ่อแม่ของเธอตายไปก็ไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้มากนัก นอกจากหนังสือแล้ว ก็มีแต่เงินทองอีกจำนวนหนึ่งที่เธอยังใช้ไม่ได้ในตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่
“เธอก็มีความเกี่ยวข้องกับวงการนี้อยู่เหมือนกันนี่นา!”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นกลัวของเจียงซาน เยี่ยเทียนก็อดดุอย่างขำๆ ไม่ได้ว่า “พอเลย เลิกเสแสร้งได้แล้วละ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ฆ่าเธออยู่แล้ว ไม่ต้องมาทำท่าทางน่าสงสารแบบนั้นหรอก”
เยี่ยเทียนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอีกว่า “เหลยหู่เป็นคนส่งเธอมาสินะ? ตอนนี้มันพักอยู่ที่ไหน?”
“ที่พักเขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก ให้ฉันพาคุณไปก็ได้นะ!”เจียงซานแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็พอจะเข้าใจหลักการที่ว่าสหายตายเราไม่ตายอยู่
“ไม่รู้จักกลัวตายเลยจริงๆ เธอไปกับฉันหน่อยก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า หลังจากถามที่อยู่ของเหลยหู่อย่างชัดเจนแล้ว จึงหิ้วกระเป๋าเป้ในมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ในเมื่อคนอื่นอุตส่าห์คิดถึงกันขนาดนี้ ก็คงต้องการพบฉันอยู่”
……………………
โรงแรมที่เหลยหู่พักอยู่นั้นไม่ได้ไกลจากที่เยี่ยเทียนพักมากนัก ตั้งอยู่ในเขตที่คึกคักที่สุดของโจฮันเนสเบิร์ก หากยืนอยู่ตรงหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสในห้องพักของโรงแรม จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองโจฮันเนสเบิร์กทั้งเมืองได้อย่างชัดเจน
แต่เห็นได้ชัดว่า ยามนี้เหลยหู่ไม่มีอารมณ์จะไปชื่นชมทัศนียภาพแล้ว เขาเดินไปเดินมาอยู่ในห้องพักโรงแรมไม่หยุด ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังตัวหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมเบอร์ของเหมียวจื่อหลงกับซ่งเสี่ยวหลงถึงโทรไม่ติดกันทั้งคู่เลย”
เนื่องจากความหวาดกลัวที่มีต่อเยี่ยเทียนอย่างสุดขั้วหัวใจ เหลยหู่จึงไม่ได้ไปอยู่กับพวกเหมียวจื่อหลงและเจอร์รี แต่เหลยหู่ก็คอยติดต่อกับเหมียวจื่อหลงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ การติดต่อระหว่างทั้งสองก็ขาดหายไป พอจะติดต่อไปที่ซ่งเสี่ยวหลงก็พบว่า ไม่มีใครรับสายโทรศัพท์ของเขาเลย
เรื่องนี้ทำให้เหลยหู่ร้อนใจราวกับมีไฟสุมอก เขารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เชื่อไม่ลงจริงๆ ว่า กองกำลังทหารรับจ้างที่ฝีมือดีที่สุดในโลก จะสังหารเยี่ยเทียนเพียงคนเดียวไม่ได้ เพราะว่ามีความคิดเช่นนี้อยู่ เหลยหู่จึงรอคอยอยู่ในห้องนี้มาตลอด
“ไม่ได้การ รอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ต้องออกจากแอฟริกาใต้เดี๋ยวนี้!”
เหลยหู่ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร การสังหารหมู่ในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ ต้องทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาเพ่งเล็งแน่นอน แอฟริกาใต้จึงกลายเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยงไปแล้ว
เหลยหู่เก็บข้าวของอย่างรีบร้อน แต่เมื่อเปิดประตูออก ทั้งร่างก็ชะงักค้างไปเหมือนกับถูกใช้วิชาสกัดร่างไว้ ได้แต่ยืนมองออกไปนอกประตูอย่างตกตะลึง เพราะผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นก็คือเยี่ยเทียนนั่นเอง และคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนก็กลับเป็นเจียงซานที่เขาเป็นคนส่งไป
“เป็นไง? เหลยหู่ ได้พบกับผู้ร่วมสมาคมที่ต่างแดนทั้งที จะไม่ต้อนรับกันเลยหรือ?”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนระบายยิ้มอ่อนๆ แต่ในดวงตากลับแผ่รังสีอำมหิตออกมา เขาเคยเตือนเหลยเจิ้นเทียนและเหลยหู่สองพ่อลูกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่า อีกฝ่ายจะแค้นเขาอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งที่ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงผูกใจเจ็บไม่ลืม
“เยี่ย…เยี่ย!”
ขณะที่เหลยหู่กำลังตะกุกตะกักจะเรียกชื่อเยี่ยเทียนออกมา พอเสียงออกมาถึงปากแล้วก็นึกถึงสถานะของเยี่ยเทียนขึ้นมาได้ เขาถอยหลังไปอย่างหงอๆ แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า “ท่านเยี่ย เพราะผมเหลยหู่มีความคิดชั่วช้า ถึงตายก็ยังไม่สาสม แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเด็กหญิงคนนี้เลย ขอได้โปรดละเว้นเธอสักครั้งเถอะ”
สมัยก่อนที่เหลยหู่เป็นเจ้าตำหนักอาญาในสมาคมหงเหมิน เคยลงโทษสมาชิกในสมาคมที่ทำผิดกฎไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ปกติก็เป็นคนนิสัยกร้าวแกร่งอยู่แล้ว เพียงแต่มีจิตใจคับแคบเกินไป เมื่อถึงตอนนี้ เขาก็ไม่สนใจถึงความเป็นความตายอีก เพราะเชื่อว่าเยี่ยเทียนคงไม่มีทางปล่อยเขาไปอยู่แล้ว
……………………