ในฐานะที่เป็นราชาแห่งนักสู้ลุยเดี่ยวในวงการทหารรับจ้าง บรูกแมนย่อมมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รวดเร็วยิ่ง
แม้จะถูกเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาทำให้ดวงตาทั้งคู่พร่ามัวไป แต่อาศัยเพียงความทรงจำในสมอง หลังจากที่เขาก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้ว ก็ไม่ได้ยกดาบกลับขึ้นมาอีก แต่ฟันตรงไปที่ช่วงเอวของเยี่ยเทียนซึ่งกองอยู่บนพื้นทันที
ทั้งสองอยู่ประชิดกันถึงเพียงนั้น ขณะที่บรูกแมนนึกว่าเยี่ยเทียนไม่มีทางต้านทานได้แน่ๆ แล้ว เสียง “เคร้ง” เบาๆ ก็กลับดังมาเข้าโสตประสาท เมื่อเพ่งมองไปก็กลับพบว่า ดาบที่เขาทุ่มแรงสุดตัวฟันลงไปนั้น กลับถูกนิ้วมือคู่หนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่ทราบคีบไว้ได้
ถัดลงไปจากนิ้วมือทั้งคู่นั้น เป็นมือขาวผ่องเรียวยาวคล้ายกับมือของสตรีข้างหนึ่ง แต่เพียงแค่มือข้างเดียวนี้ ก็ถึงกับสามารถคีบดาบใบกว้างที่หนักถึงสามสิบกว่าชั่งนั้นไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย ไม่ว่าบรูกแมนจะออกแรงอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้นิ้วมือนั้นขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
“หัก!”
เสียงที่ไม่ได้ก้องกังวานอะไรนักเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูบรูกแมน บรูกแมนรู้สึกในมือเบาโหวง ดาบใบกว้างสันหนาซึ่งตีขึ้นจากเหล็กกล้านั้น บนตัวดาบปรากฏรอยเป็นลวดลายละเอียดยิบแผ่ขยายออกไป ดูราวกับใยแมงมุม เพียงชั่วพริบตา ในมือของบรูกแมนก็เหลือเพียงแต่ด้ามของดาบใบกว้างสันหนาเล่มนั้น
“ไป!”
มือขวาของเยี่ยเทียนที่ยื่นออกไปนั้นพลันงอนิ้วดีดอย่างต่อเนื่อง ใบดาบที่หักไปนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก แล้วพุ่งไปทางบรูกแมนราวกับมีมือใหญ่สองข้างฉุดดึงไปในฉับพลัน ด้วยความเร็วที่สูงกว่ากระสุนที่ยิงออกมาจากลำกล้องถึงสามส่วน
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
ร่างของบรูกแมนพลันชะงักนิ่งไป เขามองดูคมดาบที่อยู่ในมืออย่างงงงัน และรู้สึกว่าพลังทั่วร่างกายกำลังเหือดหายไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด
“พวกนายมองอะไรกัน?”
บรูกแมนพบว่า พวกเจอร์รีกำลังมองมาที่หน้าอกของตนด้วยสายตาแปลกๆ จึงรีบก้มหน้าลงไปดู จึงเห็นในทันทีว่า บนช่วงอกและช่วงท้องของเขานั้นมีบาดแผลอยู่หลายสิบแห่ง โลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากร่างอย่างไม่ขาดสาย ราวกับถุงที่มีน้ำรั่วออกมา
เนื่องจากบาดแผลเหล่านั้นเล็กถี่มาก ทำให้เลือดที่พุ่งออกมานั้นดูราวกับไอหมอกก็ไม่ปาน อาบย้อมพื้นดินโดยรอบจนเป็นสีแดงเข้ม แต่เยี่ยเทียนที่ตอนแรกน่าจะอยู่ใต้ร่างของเขากลับหายสาบสูญไปแล้ว
“ท…ทำไมไม่เห็นรู้สึกเจ็บปวดเลยล่ะ?” ขณะที่บรูกแมนกำลังตระหนักได้ถึงคำถามข้อนี้ เขาก็พลันรู้สึกคันยุบยิบที่ตำแหน่งหัวใจ จากนั้นความรู้สึกคันยุบยิบนี้ก็ทวีขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบ ร่างของบรูกแมนค่อยๆ พองขยายออกมา
ภายในเวลาเพียงสี่ห้าวินาที ร่างของบรูกแมนที่ตอนแรกมีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรนั้น ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนถึงสองเมตรกว่าแล้ว จากนั้นก็เกิดเสียง “ปัง” ดังสนั่น ร่างกายอันใหญ่มหึมานั้นถึงกับระเบิดเป็นโลหิตกลุ่มหนึ่ง
“ฝึกกายแต่ไม่ฝึกจิต สุดท้ายทุกอย่างก็ว่างเปล่า!”
ขณะเดียวกับที่ร่างของบรูกแมนระเบิดออกมา ทางขวาห่างไปสิบกว่าเมตร อากาศเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง ร่างของเยี่ยเทียนปรากฏขึ้นตรงนั้นอย่างพิสดาร บนร่างกลับไม่ได้แปดเปื้อนโลหิตเลยแม้แต่น้อย
ภายใต้การควบคุมจากปราณแท้ของเยี่ยเทียน เศษดาบใบกว้างสันหนาที่แตกหักเป็นร้อยชิ้นนั้นจึงพุ่งเข้าสู่ร่าง ของบรูกแมน ที่จริงแล้วแม้ว่าบาดแผลเหล่านี้จะสาหัสมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะคร่าชีวิตของบรูกแมนได้ ทว่าในเศษชิ้นส่วนดาบเหล่านั้นมีปราณแท้เซียนเทียนที่เยี่ยเทียนฝึกออกมาได้อย่างยากลำบากแฝงอยู่
เช่นเดียวกับยามที่คนป่วยรับประทานอาหาร ร่างกายที่อ่อนแอย่อมไม่อาจรับการบำรุงที่มีฤทธิ์แรงเกินไปได้ แม้ว่าพลังกายของบรูกแมนจะไปถึงระดับสูงสุดเท่าที่มนุษย์ธรรมดาจะไปถึงได้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจรับปราณแท้เซียนเทียนนี้ได้อยู่ดี ผลสุดท้ายปราณแท้เซียนเทียนอันทรงพลังมหาศาลจึงทำให้เลือดเนื้อของเขาระเบิดเป็นหมอกโลหิตไปจนหมด แม้แต่โครงกระดูกก็ยังแหลกเป็นผุยผง
“แก…แกรู้ได้ยังไงว่าฉันจะฆ่าแก?”
หลังจากที่ได้เห็นจุดจบของบรูกแมน เจอร์รีก็มีสีหน้าเทาซีด เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ การแสดงของเขาเมื่อครู่นั้นแม้แต่ตัวเขาเองยังแทบจะพลอยหลงเชื่อไปด้วยเลย แต่เยี่ยเทียนกลับดูเหมือนทำนายได้ล่วงหน้าแต่แรกแล้ว
คนแบบเจอร์รี มักจะเคยชินกับการกุมชะตาของตนไว้ด้วยมือของตัวเอง เขาไม่มีทางยกความเป็นความตายให้ไปอยู่ในมือของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจึงไม่ได้มีความคิดที่จะล้มเลิกการสังหารเยี่ยเทียนเลย เพียงแต่เปลี่ยนกลยุทธ์และยุทธศาสตร์เท่านั้นเอง
แต่เจอร์รีคาดไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้เป็นร้อยเท่า การร่วมมือที่แทบจะสมบูรณ์ไร้ที่ตินี้ กลับไม่สามารถทำร้ายเยี่ยเทียนได้เลยแม้แต่ขนเส้นเดียว ตรงกันข้ามยังสูญเสียกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังแม่มายดำไปอีก ทำให้แม้แต่เจอร์รีผู้ปราดเปรื่องมาตลอดยังรู้สึกอับจนหนทาง
“แกก็อยากฆ่าฉันมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึ?” ร่างของเยี่ยเทียนดูเลือนรางริบหรี่ “ที่จริงเรื่องนั้นน่ะไม่สำคัญหรอก แต่ประเด็นสำคัญคือ แกน่ะอ่อนแอเกินไป!”
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดโกหกเลย เพราะตอนที่เจอร์รีกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาเมื่อครู่ การเต้นของหัวใจและการไหลเวียนของโลหิตไม่ได้เร็วขึ้นเลย และยังเก็บงำรังสีอำมหิตบนร่างไว้จนหมด ทำให้เยี่ยเทียนไม่รู้สึกถึงจิตประสงค์ร้ายของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยพลังฝีมือของเยี่ยเทียนในตอนนี้ กระทั่งวิถีของกระสุนที่พุ่งแหวกอากาศไปเขายังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวที่พวกเจอร์รีรู้สึกว่ารวดเร็วปานสายฟ้าแลบนั้น ในสายตาของเยี่ยเทียนกลับดูเชื่องช้าเหมือนหอยทาก แล้วเขาจะถูกผู้อื่นทำร้ายได้อย่างไรกันเล่า?
“ไปตายซะเถอะ!”
วาจาของเยี่ยเทียนนี้ ทำให้พวกเคลวินที่กำลังโกรธเกรี้ยวเพราะการตายของบรูกแมนต่างลั่นไกปืนที่ถืออยู่ในมือทันที ระดมสาดกระสุนไปทางเยี่ยเทียน ไคลด์ถึงขั้นกระโจนเข้าไปหาเยี่ยเทียน พร้อมกับปลดสลักของลูกระเบิดบนหน้าอกด้วยสีหน้าแน่วแน่
วัตถุระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ในเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กนั้น ไคลด์เป็นคนติดตั้งเองกับมือ แต่ปัญหาก็ดันไปเกิดขึ้นจากที่นั่น ทำให้ไคลด์รู้สึกละอายใจนัก และคิดว่าความผิดพลาดของตนเป็นสิ่งที่นำไปสู่การตายของบรูกแมน ดังนั้นยามนี้จึงตัดสินใจที่จะขอตายไปพร้อมกับเยี่ยเทียน
แต่ขณะที่ร่างของไคลด์เพิ่งจะเริ่มเคลื่อนไหว ประกายสีแดงพุ่งออกมาจากปากของเยี่ยเทียน ไคลด์รู้สึกเย็นวาบที่ขาทั้งสองข้าง แล้วร่างทั้งร่างก็ล้มลงไปกับพื้นทันที เพราะขาของเขาขาดไปตั้งแต่ช่วงโคนขาแล้ว
ระหว่างที่ไคลด์ยังไม่ทันจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการเสียขาทั้งสองข้าง เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของไคลด์ถูกระเบิดจนไฟลุกท่วมร่าง
ภาษิตว่า หมองูตายเพราะงู ไคลด์เล่นกับวัตถุระเบิดมาทั้งชีวิต ตอนนี้ก็ถือว่าได้รับผลกรรมแล้ว จุดจบของเขายังอเนจอนาถยิ่งกว่าผู้คนที่เขาใช้ระเบิดสังหารไปเสียอีก
เนื่องจากขาทั้งสองข้างของไคลด์ถูกเยี่ยเทียนตัดไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กระโจนออกไปจากหุบเขา นอกจากตัวเองจะถูกระเบิดจนร่างแหลกเป็นจุณแล้ว ระเบิดลูกอื่นๆ ก็พลอยถูกจุดชนวนขึ้นมาด้วย สร้างความเสียหายไปทั่วทั้งหุบเขา สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง ไม่มีมุมไหนรอดพ้นจากการระเบิดไปได้เลย
ไม่มีใครรู้เลยว่า บนตัวไคลด์นั้นได้ซุกระเบิดและดินระเบิดไว้มากขนาดไหนกันแน่ หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีกว่าๆ การระเบิดจึงจะสงบลง ควันจากการระเบิดฟุ้งตลบอยู่ในหุบเขา ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของดินระเบิด
“อื้อฮือ ไม่ต้องให้เราลงมือเลย…”
ขณะเดียวกับตอนที่เกิดการระเบิดขึ้น เยี่ยเทียนหิ้วร่างเจียงซานขึ้นมา แล้วถอยออกไปไกลสี่ห้าเมตรอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เมื่อหยุดยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็อดจุ๊ปากกับตัวเองไม่ได้ การระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ถึงกับทำให้ทางเข้าหุบเขาถูกปิดกั้นไปจนหมด
“หือ ยังมีคนรอดอยู่อีกรึ?” เยี่ยเทียนส่งจิตสัมผัสออกไปแล้วพบว่า ในหุบเขายังมีพลังชีวิตที่กำลังอ่อนแออยู่ดวงหนึ่ง จึงขยับร่างวูบ ขึ้นไปยืนอยู่บนกองเศษหินที่อุดกั้นหุบเขาอยู่
เขาโบกมือออกไป กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดขึ้นมาในหุบเขา ครู่ถัดมา ควันหนาสีเทาขาวเหล่านั้นก็ถูกเยี่ยเทียนขจัดปัดเป่าไปจนหมด สภาพภายในหุบเขาจึงเผยออกมาให้เห็น
หุบเขาที่ตอนแรกมีพืชพรรณเจริญงอกงาม เต็มไปด้วยชีวิตชีวานั้น ยามนี้ดูราวกับเพิ่งถูกพายุทอร์นาโดระดับสิบถล่มไปก็ไม่ปาน ต้นไม้หักโค่นไปเกือบหมด พื้นหญ้าหลุดร่อนกระจุยขึ้นมา ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เหลือความมีชีวิตชีวาอีกเลย
ไคลด์ถูกระเบิดจนร่างสลายไปหมดแล้ว แต่ในหุบเขายังมีศพอยู่อีกสามร่าง เคลวินผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และยังเป็นมือปืนชั้นดีนั้น บนหว่างคิ้วมีสะเก็ดระเบิดปักอยู่ชิ้นหนึ่ง และสิ้นลมหายใจไปแล้ว
เยี่ยเทียนมองดูเจอร์รีที่กำลังนอนซบหน้ากับพื้นในหุบเขาอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “แกก็ดวงแข็งไม่เบาเลยนี่? วิชาแสร้งตายของนิกายวัชรยาน แกเคยเรียนวิทยายุทธสายพุทธของจีนมาด้วยงั้นรึ? แต่ก็ยังทำได้ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่ละนะ”
แม้ว่าเจอร์รีจะพยายามควบคุมลมหายใจสุดชีวิต เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนคนที่ตายแล้ว แต่เขาจะปิดบังจิตสัมผัสของเยี่ยเทียนได้อย่างไรกัน? เพียงสังเกตจากลมหายใจเข้าออกของเจอร์รีที่ครั้งหนึ่งยาวถึงหลายนาทีนั้น เยี่ยเทียนก็ดูพิรุธออกแล้ว
การแสร้งตายนั้นในทางเต๋าเรียกว่าลมหายใจเต่า แต่เพราะเขายังทำไม่ได้มาตรฐาน จึงไม่อาจรอดพ้นจากการสำรวจโดยจิตสัมผัสของเยี่ยเทียนได้
“ฉันเคยมีอาจารย์ชาวจีนอยู่ท่านหนึ่ง ท่านเคยสอนวิชาพวกนี้ให้ฉัน”
ในหุบเขาเงียบสงัดไปพักใหญ่ๆ เจอร์รีใช้สองมือยันพื้น ลุกขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้า เขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ที่หน้าอกมีสะเก็ดระเบิดปักอยู่อย่างน้อยๆ เจ็ดแปดชิ้น บนใบหน้าก็ถูกบาดเป็นแผลลึกหนึ่งแผล
“คนของฉันตายหมดแล้ว แกยังจะต้องการอะไรอีก?”
อาศัยวิชาแสร้งตายและความสามารถในการล่วงรู้ถึงอันตรายได้อย่างอัศจรรย์นี้ ทำให้เจอร์รีเคยรอดพ้นจากความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้ในใจของเจอร์รีกลับเกิดความรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างน่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจก็ไม่ปาน
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ฉันก็อยากให้แกลงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกนั้นน่ะสิ!”
กับศัตรูแล้ว เยี่ยเทียนไม่เคยมีความเวทนาสงสารใดๆ ให้ทั้งนั้น และที่ผ่านมาเขาก็ยึดหลักว่าต้องซ้ำเติมศัตรูให้สาสมมาตลอด โดยเฉพาะคนประเภทที่สติปัญญาเป็นเลิศ และลงมือโหดเหี้ยมอย่างเจอร์รีนี้ เยี่ยเทียนเพิ่งจะเคยพบเป็นครั้งแรก ต่อให้ตัวเยี่ยเทียนเองไม่กลัว แต่หากปล่อยทิ้งไว้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นภัยต่อคนในครอบครัวอย่างใหญ่หลวงแน่
“หือ? รถมากมายขนาดนี้เลย? คงจะเป็นกองทัพของรัฐบาลแอฟริกาใต้ละสินะ?”
ตอนแรกเขายังอยากจะซักถามเกี่ยวกับประวัติที่มาของวิชายุทธที่เจอร์รีเรียนมาเสียก่อน แต่ในขณะนั้นเอง เยี่ยเทียนกลับได้ยินเสียงคำรามของรถยนต์ ฟังจากการเคลื่อนไหวนั้นแล้ว คงจะมีรถไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคันกำลังมุ่งหน้าไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก
เรื่องนี้ทำให้จิตสังหารของเยี่ยเทียนเพิ่มทวีขึ้นมา หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่รัสเซียและนิวยอร์ก เขาจึงไม่อยากถูกทางการแอฟริกาใต้หมายหัวไปด้วยอีก
มดปลวกยังรักชีวิตตัวเอง นับประสาอะไรกับมนุษย์เล่า? เจอร์รีเป็นคนหูตาไว เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไป จึงรีบตะโกนขึ้นมาว่า “เยี่ยเทียน แกจะฆ่าฉันไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นละก็แกต้องตายแน่!”
………………………