“เจอร์รี จะกดไหม?”
ดวงตาของเคลวินจับจ้องไปที่กระเป๋าบนชุดลายพรางของเจอร์รี เขาเชื่อว่า ขอเพียงเจอร์รีกดชนวนระเบิด แม้ว่าคนผู้นั้นจะสามารถหลบลูกกระสุนได้ แต่ร่างก็ต้องแหลกเป็นจุณแน่นอน ปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากระเบิด TNT หนักหลายร้อยกิโลกรัมที่อยู่ใต้ดินนั้น จะมีอานุภาพรุนแรงพอๆ กับหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็กเลยทีเดียว
“รอดูอีกหน่อย”
เจอร์รีส่ายหน้า แล้วหันไปมองเหมียวจื่อหลงที่นิ่งเงียบมาตลอด “คุณเหมียว คุณยังมีแผนสองอยู่ไม่ใช่หรือ? ส่งคนพวกนั้นออกไปได้แล้วนะ!”
ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาประสบเหตุวินาศกรรม 911 จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ครบสองปีเลย นี่เป็นยุคสมัยที่ทั่วโลกต่างก็กำลังต่อต้านการก่อการร้าย ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เจอร์รีก็ไม่อยากจะใช้วัตถุระเบิดเหล่านั้นเลย ไม่อย่างนั้นอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกเขาคงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนตามรูเหมือนหนูแน่ๆ
“เจอร์รี ผมไม่ได้ต้องการผลลัพธ์แบบนี้นะ!”
เหมียวจื่อหลงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มีสีหน้าเขียวคล้ำ การกระทำของเยี่ยเทียนที่แสดงอยู่ในจอเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกขนลุกชันด้วยความพรั่นพรึง เหมียวจื่อหลงยังถึงขั้นเริ่มสงสัยแล้วว่า ตัวเองคิดผิดไปหรือเปล่าที่ต้องการจะล่าสังหารเยี่ยเทียน?
ขณะเดียวกันท่าทีของเจอร์รีก็ทำให้เหมียวจื่อหลงรู้สึกเดือดดาลอย่างยิ่ง การที่เขาทุ่มเงินไปหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐว่าจ้างกองกำลังแม่มายดำมานั้น เป้าหมายก็คือหัวของเยี่ยเทียน ไม่ใช่มานั่งดูเยี่ยเทียนแผลงฤทธิ์เดชในจอภาพแบบนี้
“คุณเหมียว อย่าร้อนใจไป ผมรู้ว่าคุณจ้างทหารคองโกมา ตอนนี้ก็ให้พวกเขาออกโรงได้แล้วละ!”
เจอร์รียิ้มอย่างเฉยชาแล้วพูดต่อ “ผมรับรองคุณได้เลยว่า ถ้าทหารพวกนี้ยังกำจัดมันไม่ได้อีกละก็ ผมจะเป็นคนส่งมันไปลงนรกด้วยตัวเองเลย คุณต้องเชื่อคำรับประกันของกองกำลังแม่มายดำนะ!”
“ก็ได้เจอร์รี ผมจะเชื่อคุณ!”
เหมียวจื่อหลงจ้องเจอร์รีอยู่พักใหญ่ แล้วจึงยื่นมือไปหยิบวิทยุสื่อสารออกมาเครื่องหนึ่ง ปรับความถี่สัญญาณแล้วพูดขึ้นว่า “ผู้พันอึนบันเกอดา ได้เวลาพวกคุณออกปฏิบัติการแล้ว กำจัดไอ้บัดซบนั่นให้ได้นะ ผมจะส่งเฮลิคอปเตอร์ไปให้คุณอีกหนึ่งลำ!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวจื่อหลงจึงได้แต่ฝืนเดินต่อไป ยังดีที่เขากับซ่งเสี่ยวหลงซื้อตั๋วเครื่องบินขาออกจากแอฟริกาใต้ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์ที่แอฟริกาใต้จะย่ำแย่ไปถึงขนาดไหน เขาก็จะไปให้ไกลจากความขัดแย้งนี้ให้ได้ ก็อย่างที่กล่าวกันว่าผู้รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดีนั่นแหละ
“คุณเหมียว ขอบคุณมากที่เผื่อแผ่มาถึงพวกเรา” เสียงที่เปล่งออกมาจากวิทยุสื่อสารค่อนข้างแหบพร่า “ผมจะเอากะโหลกของเจ้านั่นมาทำเป็นถ้วยใส่เหล้าให้คุณนะ!”
“ป่าเถื่อนจริงไอ้พวกนี้!”
คำตอบจากวิทยุสื่อสารทำให้พวกเคลวินต่างขมวดคิ้ว มีแต่ชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในป่าของทวีปแอฟริกาเท่านั้น ที่มีธรรมเนียมในการเก็บกะโหลกศีรษะของศัตรูมาทำเป็นภาชนะใส่สุรา แต่ในสายตาของผู้มีอารยธรรมในยุคปัจจุบัน นี่กลับเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจและยอมรับได้ยากยิ่งจริงๆ
………………
ห่างจากเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กไปประมาณสิบกิโลเมตร เดิมทีมีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่ง แต่เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กนั้นพิเศษพิสดารอย่างยิ่ง และก็ไม่ได้ตั้งอยู่ติดกับเส้นทางคมนาคมสายหลัก เมื่อเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กยุติการขุดเจาะเหมือง คนงานเหมืองมากกว่าหมื่นคนกระจัดกระจาย เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงขาดที่พึ่งในการที่จะดำรงอยู่ต่อไป
เมื่อไม่มีคนงานเหมืองเหล่านั้น โรงแรมขนาดเล็กในเมืองจึงจำเป็นต้องปิดตัวลง ร้านเหล้าและร้านค้าบางประเภทก็ไม่อาจจะดำเนินกิจการต่อไปได้ สุดท้ายเมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่รกร้าง ยากที่จะจินตนาการได้ว่า เมื่อสิบปีก่อนนี้เอง ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองคึกคักอยู่เลย
แอฟริกาใต้ในเดือนกรกฎาคม ดวงอาทิตย์ร้อนแรงราวกับลูกไฟ แสงแดดอันร้อนแผดเผาสาดส่องลงไปบนผืนแผ่นดิน ร้อนจนกระทั่งอากาศยังดูบิดเบี้ยว
เมืองเล็กอันว่างเปล่าไร้เงาผู้คนนั้นดูเงียบสงัดอย่างยิ่ง ทันใดนั้น เสียงผิวปากเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบในเมืองเล็กแห่งนี้ คนหลายร้อยคนกรูกันออกมาจากสิ่งก่อสร้างแต่ละหลังราวกับวิญญาณ แล้วไปชุมนุมกันที่ลานสาธารณะในเมือง
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ ในบรรดาหลายร้อยคนนี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเด็กผิวดำที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กระทั่งบางคนยังสูงไม่เท่าปืนที่ตัวเองแบกไว้บนหลังด้วยซ้ำ แต่ละคนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางซังกะตาย ในดวงตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา ดูราวกับซอมบี้ก็ไม่ปาน
“ออกเดินทาง จุดหมายคือเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก ฆ่าคนที่นั่นให้หมด!”
ผู้ที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นคนผิวดำรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แขนทั้งสองข้างของเขายาวมาก เมื่อปล่อยแนบลำตัวตามสบายแล้วยาวไปถึงหัวเข่า มองจากไกลๆ แล้วดูราวกับลิงกอริลลาตัวหนึ่งก็ไม่ปาน คนผู้นี้ก็คือคนที่พวกเคลวินคิดว่าเป็นคนป่าเถื่อนนั่นเอง และพวกเขาก็คือกองกำลังติดอาวุธกลุ่มหนึ่งของกองทัพต่อต้านรัฐบาลคองโก
ตั้งแต่คองโกประกาศอิสรภาพในปี 1960 เป็นต้นมา ก็ตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามมาตลอด ตอนแรกอเมริกาใช้กลุ่มของนายชอมเบเป็นเครื่องมือในการสังหารนายลูมูมบา ซึ่งเป็นหัวหน้าเลขาธิการของคองโกในสมัยนั้น และสนับสนุนให้นายคาซาวูบูเป็นประธานาธิบดี สถาปนาสาธารณรัฐคองโกขึ้นมา
แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี นายโมบูตู ผู้บัญชาการกองทัพประชาชนก็ได้ก่อการรัฐประหารอีก โดยปลดนายคาซาวูบูออกจากตำแหน่ง และยึดอำนาจประธานาธิบดี หลังจากนั้นกลุ่มผู้มีอิทธิพลหลายฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กันในคองโก ทำให้ชาวคองโกแทบทุกคนต่างก็ได้รับความสูญเสียจากสงคราม
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เบื้องหลังต่างก็มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลคอยสนับสนุนอย่างลับๆ กันทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายมีกำลังพอๆ กัน ดังนั้นคองโกจึงกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อันตรายที่สุดในโลก
สงครามที่ดำเนินมาอย่างยาวนานส่งผลให้ประชาชนชาวคองโกต้องกลายเป็นทหารกันเกือบหมด อย่างบรรดาบริวารของผู้พันอึนบันเกอดารวมถึงตัวเขาเอง เดิมทีก็เป็นเพียงชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าลึกบนที่ราบสูง แต่สงครามที่ยาวนานถึงสามสิบปีนั้น กลับทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นทหารที่ฆ่าคนเหมือนผักปลา
“ผู้พันครับ ไม่มีกัญชาแล้วนะครับ!”
อึนบันเกอดาพูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นในแถวก็เกิดเสียงพูดแย้งขึ้นมา เมื่อมองตามเสียงไปก็เห็นเด็กชายร่างผอมเหมือนถั่วงอก ใบหน้ายังมีความไร้เดียงสาเจืออยู่คนหนึ่งกำลังหาวอย่างไม่อาจอดกลั้น
“นั่นสิ กัญชาก็ไม่มี ผู้หญิงก็ไม่มี แล้วเราจะมาที่นี่กันทำไมล่ะครับผู้พัน?” เด็กชายคนที่สูงกว่ากระบอกปืนไปหนึ่งช่วงศีรษะคนนั้นพูดขึ้นมา ทำให้คนอื่นๆ ในแถวพลอยเออออตามกันไปด้วย ส่วนการหาวนั้นก็ติดต่อกันได้เช่นกัน เพียงครู่เดียวก็มีอีกหลายคนใช้มือปิดปากหาวตามไปด้วย
“ไอ้เวรตะไล ไม่รู้จักคำว่าปฏิบัติตามคำสั่งรึไง?”
อึนบันเกอดาแววตาเย็นวาบ มือขวาชักออกมาจากบั้นเอวปานสายฟ้าแลบ แล้วเล็งไปที่เด็กชายคนที่อ้าปากพูดขึ้นมาเป็นคนแรกโดยไม่ลังเลเลยสักนิด นิ้วชี้งอเข้าเพียงเล็กน้อยเพื่อลั่นไกปืน
“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ที่หว่างคิ้วของเด็กชายคนนั้นปรากฏรูอาบเลือด ร่างกระเด็นตามแรงไปข้างหลัง แล้วล้มลงไปบนพื้นอันร้อนฉ่าอย่างหนักหน่วง
เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ในแถวที่ตอนแรกเริ่มจะวุ่นวายขึ้นมากลับเงียบกริบไปทันที แต่ละคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก เพราะพวกเขากลัวว่า กระสุนนัดต่อไปอาจจะยิงมาที่หัวสมองของตัวเองก็ได้
“ระยำเอ๊ย ฟังให้ดีนะพวกแก ฆ่าคนที่เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กให้หมด ทีนี้ทองคำกับผู้หญิงที่นั่นก็จะกลายเป็นของพวกแกแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าการยิงปืนนัดนี้ข่มขู่ทหารเด็กน่าตายพวกนี้ได้สำเร็จ ผู้พันอึนบันเกอดาก็รู้สึกพึงพอใจมาก ที่คองโกนั้น พลังอำนาจทางทหารอยู่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะกับทหารเด็กเหล่านี้ จะต้องทำให้หวาดกลัวอย่างสุดขีด จึงจะสามารถกระตุ้นเด็กๆ เหล่านี้ให้ไปเข่นฆ่าผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทหารเด็กของคองโกนั้น เป็นปรากฏการณ์พิเศษอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารโลก เนื่องจากในคองโกมีการรบพุ่งมานานเป็นปีๆ ชายวัยฉกรรจ์ส่วนใหญ่ล้วนจบชีวิตลงในสมรภูมิกันหมดแล้ว เพื่อรักษากำลังทหารไว้ไม่ให้ขาด ขุนพลบางกลุ่มจึงพุ่งเป้าหมายไปที่เด็กแทน
ขุนพลเหล่านี้ส่งครูฝึกทหารไปจับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่ละแห่งมา จากนั้นก็มอบปืนให้เด็กพวกนี้ แล้วพาพวกเขาไปบุกปล้นฆ่าวางเพลิง กระทั่งยังให้เสพยาอีกด้วย เพื่อที่จะควบคุมเด็กเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขาไม่อาจหลุดพ้นจากชีวิตเช่นนี้ไปได้
“ฆ่าพวกมันซะ ปล้นทองคำ ขโมยกัญชา ฉุดผู้หญิงมา!”
เด็กๆ เหล่านี้ถูกล้างสมองไปนานแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกชินชากับความตาย แต่เมื่อได้ยินคำว่ากัญชา ทองคำและผู้หญิง ดวงตาของพวกเขาก็จะฉายแววคลุ้มคลั่งออกมา แต่ละคนพากันกวัดแกว่งอาวุธพลางตะโกนกู่ร้อง ไม่มีใครหันไปมองเพื่อนคนที่ถูกยิงกลางหว่างคิ้วคนนั้นอีกเลย
“ขึ้นรถ ระหว่างทางไม่ว่าจะเจอใครก็ไม่ต้องละเว้น!”
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอึนบันเกอดา นี่คือกองทัพเด็กใต้บัญชาการของเขา และก็เป็นฐานให้เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในคองโกได้ เมื่อมีเด็กหลายร้อยคนเหล่านี้อยู่ เขาก็จะสามารถตั้งตนเป็นอิสระในคองโกได้ และได้ใช้ชีวิตแบบในสังคมชนชั้นสูงของทางตะวันตก
ส่วนการสังหารหมู่ในแอฟริกาใต้ครั้งนี้จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรบ้างนั้น อึนบันเกอดาไม่ได้ไปขบคิดถึงเลย เขาสนใจแต่จะฆ่าคนชิงทรัพย์เท่านั้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงกว่าเขาคอยค้ำไว้ คองโกทำสงครามมาหลายสิบปี ไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายอยู่แล้ว อย่างมากเขาก็แค่พาเด็กเหล่านี้กลับไปเป็นชนพื้นเมืองในป่าอีกครั้งเท่านั้นเอง
เด็กผิวดำใบหน้าบิดเบี้ยวปีนขึ้นไปบนรถบรรทุกสี่ห้าคันที่เตรียมพร้อมไว้แล้วทีละคนๆ บางคนถึงขั้นยิงปืนขึ้นฟ้า สภาพดูแสนจะอลหม่านวุ่นวาย ไม่กี่นาทีต่อมา รถก็ขับออกจากเมืองเล็กๆ แห่งนั้น มุ่งหน้าไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโจฮันเนสเบิร์ก ที่หน้าทางเข้าเหมืองทอง จึงมีรถทัวร์จอดอยู่หลายคัน เพียงแต่ในจุดเที่ยวชมสามารถรับนักท่องเที่ยวได้จำนวนจำกัด กลุ่มที่เหลืออีกเกือบครึ่งหนึ่งจึงต้องรออยู่ข้างนอก ให้คนข้างในกลับออกมาก่อน แล้วพวกเขาถึงจะเข้าไปได้
สภาพอากาศอันร้อนแผดเผาทำให้บรรดานักท่องเที่ยวเริ่มเซื่องซึมอ่อนแรง คนส่วนใหญ่ต่างก็นั่งรออยู่ในรถปรับอากาศ มีเพียงจำนวนน้อยที่ติดบุหรี่จนทนไม่ไหว จึงลงจากรถไปสูบสักมวน โดยพยายามยืนให้ร่างอยู่ใต้เงารถให้มากที่สุด
“เสียงข้างในเมื่อกี้ใช่เสียงปืนรึเปล่านะ? เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กเพิ่มกิจกรรมรายการใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงทางเข้าเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก มัคคุเทศก์สี่ห้าคนซึ่งมีสัญชาติไม่ซ้ำกันเลยกำลังพูดคุยกันอยู่ ในกลุ่มนั้นมีคนเม็กซิกัน คนอเมริกัน คนสก็อตแลนด์ และหวาจวินก็ยังรวมอยู่ในนั้นด้วย เดิมทีเขาก็เกิดและเติบโตที่แอฟริกาใต้อยู่แล้ว ลักษณะนิสัยจึงเหมือนชาวตะวันตกอย่างมาก
คนกลุ่มนี้กำลังสนทนากันเกี่ยวกับเสียงปืนที่ดังออกมาจากในเหมืองทอง เนื่องจากที่ลานกว้างในเหมืองทองมักจะฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับการขุดเหมืองทองอยู่เสมอ ภายในนั้นจึงมีเสียงระเบิดดังกระหึ่มอยู่ไม่ขาด ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เสียงปืนที่ดังขึ้นมานี้จะเป็นของจริง
นี่จะโทษว่าพวกเขาความคิดตอบสนองช้าก็ไม่ได้ แม้ว่าการควบคุมอาชญากรรมในแอฟริกาใต้จะย่ำแย่มาก แต่กลับไม่มีใครกล้าแตะต้องเหมืองทองเลย แม้แต่เหมืองทองเก่าซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้วแห่งนี้ ภายในก็ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธเฝ้าอยู่ถึงเจ็ดแปดคน
นอกจากนี้เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กยังมีอาณาเขตกว้างขวางมาก อีกทั้งเขตชุมชนคนงานเหมืองที่เยี่ยเทียนอยู่ ณ ตอนนั้นก็อยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง หลังจากเสียงปืนดังไปแล้วสิบกว่านาที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นก็ยังหาไม่เจอว่าตกลงเสียงปืนดังมาจากทิศทางไหนกันแน่
“ร้อนก็ร้อน ทำไมยังจะมีคนมาอีกล่ะเนี่ย?” เสียงเครื่องยนต์รถจากที่ไกลนั้นดังมาเข้าหูของกลุ่มมัคคุเทศก์ที่กำลังตั้งวงสนทนากันอยู่ จากนั้นรถบรรทุกสีเขียวสี่ห้าคันก็ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา
“ไม่สิ ทำไมคนบนรถพวกนั้นถึงถือปืนกันอยู่ล่ะ?” หวาจวินสายตาดี มองปราดเดียวก็เห็นกลุ่มทหารที่ถือปืนอยู่บนรถคันแรก
…………………………….