ตอนที่ 766 ฝ่าวงล้อม
“ฮ่า ๆๆ แกหนีไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก สละเลือดของแกให้ฉันเสียเถอะ แล้วฉันจะให้โอกาสแกได้กลายเป็นบริวารของตระกูลแวมไพร์!”
เสียงหัวเราะที่ขัดหูดังแว่วมา ห่างจากเยี่ยเทียนไปสิบกว่าเมตร ร่างของเคิร์ทปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง แต่สภาพของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเยี่ยเทียนเท่าไรนัก
ชุดสูทที่ตอนแรกใส่แล้วดูเป็นสุภาพบุรุษนั้น ยามนี้กลับขาดวิ่น ผิวหนังนอกร่มผ้ามีจุดแดงๆ ลายพร้อย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นโลหิต แสดงว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดครั้งนี้มาเช่นกัน
“แกคิดว่าคงจะได้กินเลือดฉันแน่ๆ แล้วสินะ?”
เยี่ยเทียนมีสายตาเย็นชา ตั้งแต่เข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบกว่าปีเป็นต้นมา เขายังไม่เคยถูกใครดูหมิ่นขนาดนี้มาก่อน
“แน่นอน การได้รับกัดแรกจากแวมไพร์ชั้นเคานต์น่ะ ถือว่าเป็นเกียรติของแกเลยนะ!”
เคิร์ทพยักหน้าอย่างกระหยิ่มใจ หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของเยี่ยเทียนแล้ว เขาเชื่อว่า หากเยี่ยเทียนได้กลายเป็นแวมไพร์ ก็จะมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าปกติมาก ตั้งแต่แรกเริ่มก็คงจะได้เป็นถึงไวเคานต์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถไปถึงระดับเคานต์เช่นเดียวกับเขาเลยก็เป็นได้
ถ้าอยากจะก่อตั้งตระกูลขึ้นมาสักตระกูลหนึ่ง ลำพังแค่ตนเองพัฒนาไปถึงระดับสูงได้ยังไม่พอ แต่จะต้องให้ทายาทของตนมีพลังที่แข็งแกร่งด้วย
ดังนั้นสุดท้ายเคิร์ทจึงเปลี่ยนใจ เพราะเขาอยากจะชุบตัวเยี่ยเทียนให้กลายเป็นบริวารแวมไพร์ตนหนึ่งของตระกูล จากนั้นเมื่อเขาเลื่อนขั้นเป็นมาร์ควิสได้แล้ว ก็จะได้มีบริวารที่เก่งๆ หน่อยไว้ใช้สอย
“อาศัยค้างคาวเฒ่าอย่างแกเนี่ยนะ?”
ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่มีเวลาจะมาพูดเรื่องไร้สาระกับเคิร์ทแล้ว เขาสาวเท้าเข้าไปถึงข้างๆ เคิร์ทในพริบตา และเตะเท้าขวาใส่ขมับของเคิร์ทโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เกิดเสียงดัง “ปัง!” ร่างของเคิร์ทปลิวกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว หากจะเอ่ยถึงด้านทักษะการต่อสู้แบบมวยปล้ำ ตาเฒ่าที่มีชีวิตมาหลายร้อยปีแล้วผู้นี้ ก็ดูท่าทางจะสู้เยี่ยเทียนซึ่งเคยผ่านการแข่งมวยใต้ดินมาแล้วไม่ได้เลย
แต่ก็เป็นเหมือนกับคราวก่อน ถึงจะถูกเยี่ยเทียนเตะถูกจุดสำคัญ แต่เคิร์ทก็ยังกลับมายืนได้เหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย กระดูกคอลั่นดัง “กรอบแกรบ” น่าขนลุก แล้วก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมทันที
“ไอ้หนุ่ม แกทำฉันโมโหแล้วนะ!”
เคิร์ทเคยติดตามแดร็กคูล่าซึ่งเป็นบุคคลสำคัญผู้หนึ่งในสภาแห่งความมืด ตลอดร้อยกว่าปีมานี้ไม่ว่าจะไปยังแห่งหนใด ก็จะได้รับการยกย่องนับถือจากผู้ศรัทธาเสมอ แต่วันนี้กลับถูกเยี่ยเทียนเตะกระเด็นไปถึงสองครั้ง เขาจึงชักจะทนไม่ไหวขึ้นมาแล้ว
ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดงน่าสะพรึงกลัวออกมา นิ้วมือทั้งสิบของเคิร์ทพลันเกิดเสียงดัง “ชิ้งๆ” เมื่อมองดูดีๆ ก็เห็นว่า เล็บมือของเขากางออกมายาวกว่าเดิมถึงหนึ่งเชียะเศษ และกำลังเปล่งประกายเย็นยะเยียบ ดูแล้วราวกับมีดสั้นอันคมกริบสิบเล่มก็ไม่ปาน
ดวงตาสีแดงฉาน เส้นผมปลิวสยาย และเล็บมือที่เปล่งประกายเย็นเยียบนั้น ทำให้เยี่ยเทียนเพิ่งจะตระหนักได้ว่า เจ้าตัวที่คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงนี้ อาจจะเป็นแวมไพร์อย่างที่พูดมาจริงๆ ก็เป็นได้
“ก็แค่ลูกเล่นตบตาเท่านั้นแหละ!”
เยี่ยเทียนเคยไปฝึกความกล้าตามป่าช้าตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว สภาพของเคิร์ทแม้จะดูพิสดาร แต่ก็ไม่สามารถขู่ให้เขากลัวได้ ยามนั้นจึงแค่นเสียงดังเฮอะ แล้วเคลื่อนร่างเข้าไปหาอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่า หลังจากที่แปลงกายสู่สภาพพร้อมรบแล้ว การตอบสนองของเคิร์ทจะไวขึ้นกว่าเดิมมาก คราวนี้พอเขาจับตำแหน่งร่างของเยี่ยเทียนได้ เล็บอันคมกริบบนมือขวาทั้งห้านิ้วก็ตะปบไปที่ชายโครงของเยี่ยเทียนทันที โดยไม่รอให้เยี่ยเทียนทันได้ยกเท้าขึ้นมา
“ลูกไม้กระจอกๆ!”
เยี่ยเทียนพูดเย้ยหยัน แขนขวาพลันอ่อนลงราวกับไร้กระดูก แล้วม้วนพันข้อมือของเคิร์ทไว้
หลังจากเกี่ยวกระหวัดข้อมือของฝ่ายตรงข้ามไว้ได้แล้ว เยี่ยเทียนก็บิดรัดแขนให้แน่นเข้า จนเกิดเสียงดัง “เป๊าะ” ข้อมือของเคิร์ทถูกเขาบิดจนหักไปแล้ว
เมื่อเยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นมา ย่อมไม่ลงมือเพียงเท่านี้แน่นอน หลังจากบิดข้อมือของเคิร์ทหักไป ร่างก็ขยับวูบถอยหลัง ขณะเดียวกันก็ถีบทรวงอกของเคิร์ท ทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไป
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เคิร์ทรู้สึกเจ็บปวดที่ข้อมือข้างขวา จากนั้นที่หน้าอกก็รู้สึกราวกับถูกรถไฟชน ร่างกายอันผอมซูบนั้นกระเด็นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เยี่ยเทียนยังไม่ได้ปล่อยข้อมือของเคิร์ท หลังจากถีบอีกฝ่ายจนกระเด็นไปแล้ว เขาก็ถึงกับฉีกมือขวาของเคิร์ท ออกมาทั้งอย่างนั้น เลือดสีดำทะลักออกมาจากข้อมือตรงที่ขาดไป
“เหม็นบรรลัยเลยโว้ย!”
กลิ่นเลือดคาวคลุ้งนั้นทำให้เยี่ยเทียนต้องย่นจมูก เขาโยนมือขวาของอีกฝ่ายซึ่งเล็บมือหดกลับเข้าไปแล้วนั้นทิ้งลงบนพื้น แล้วอมยิ้มพูดว่า “แกก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่าไม่ตายนี่นา เดี๋ยวพอฉันฉีกแขนขาแกลงมาหมดแล้ว ทีนี้คอยดูซิว่าแกจะตายไหม”
“แก…แกฆ่าฉันไม่ตายหรอก!”
เคิร์ทไม่นึกเลยว่า กายเนื้อที่เขาภาคภูมิใจเป็นที่สุดนั้น จะถูกเยี่ยเทียนฉีกมือขวาหลุดไปแบบนี้ แม้จะสามารถห้ามเลือดได้ในทันที แต่ในใจของเคิร์ทก็เริ่มเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
จุดสำคัญของเคิร์ทนั้นแม้จะอยู่ที่แก่นหัวใจ แต่อาการบาดเจ็บบนกายเนื้อก็ต้องใช้พลังงานจากแก่นหัวใจมาซ่อมแซมเหมือนกัน
ถ้าถูกเยี่ยเทียนฉีกแขนขาไปจนหมดจริงๆ ละก็ ต่อให้สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ระดับของเขาก็คงจะตกจากเคานต์ลงไปเป็นไวเคานต์แน่นอน เรื่องนี้เคิร์ทรับไม่ได้เด็ดขาด
“ฆ่าไม่ตาย? อย่างนั้นก็มาลองดูหน่อยไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนฉีกยิ้มหัวเราะออกมา แต่เมื่อมองไปที่ดวงตาของเคิร์ท ก็กลับเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังยิ้มราวกับปีศาจร้าย ในทวีปยุโรปนั้นแวมไพร์เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของปีศาจมาแต่ไหนแต่ไร
“เอ๊ะ? ยังกล้ามาอีกนะ”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะกำจัดเคิร์ทให้สิ้นซาก ทันใดนั้นกลับเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็พบว่า มีแสงไฟหลายจุดกำลังพุ่งมาจากบนท้องฟ้ายามค่ำคืนสูงขึ้นไปหนึ่งพันกว่าเมตร
ความรู้สึกคับขันอันตรายแล่นเข้าสู่หัวใจของเยี่ยเทียน เขาไม่สนใจจะสู้กับเคิร์ทซึ่งกำลังมีสีหน้าน่าสะพรึงกลัวอีกแล้ว แต่หันหลังจากไปโดยไม่ลังเลเลย ปราณแท้แผ่ออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้ และพาเขาหายไปจากตรงหน้าเคิร์ทในพริบตา
“บัดซบ เกือบจะต้องเดี้ยงอยู่ที่นี่ซะแล้วสิ!”
หลังจากร่างของเยี่ยเทียนอันตรธานไปแล้ว เคิร์ทถึงกับผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เขาเพิ่งจะเข้าใจคำเตือนของเจ้านายก็ตอนนี้เอง พวกผู้บำเพ็ญพรตนี่มีหนทางที่จะกำจัดพวกตนได้จริงๆ ด้วย
ขณะที่เคิร์ทกำลังจะเก็บมือที่ขาดไปขึ้นมาจากพื้น ทันใดนั้นเขากลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพบว่า เสียงหวีดหวิวของจรวดสามลูกกำลังมุ่งมาที่ตำแหน่งของตนพอดี ทำเอาเคิร์ทแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ
แตกต่างจากผู้บำเพ็ญพรตชาวตะวันออกเหล่านั้น หลายร้อยปีที่ผ่านมานี้เคิร์ทได้เฝ้าดูพัฒนาการของสังคมมาโดยตลอด เขาจึงรู้ซึ้งถึงอานุภาพของจรวดเหล่านี้ดียิ่งกว่าใคร ถ้าถูกยิงโดนเข้าละก็ แก่นหัวใจของเขามีหวังถูกอุณหภูมิที่สูงจัดนั่นหลอมจนระเหิดหายไปหมดแน่
เคิร์ทเปล่งเสียงร้องประหลาดออกมา แล้วร่างกายก็รู้สึกสบายขึ้นทันที แขนทั้งสองข้างชูขึ้นสูง แล้วเหินขึ้นสู่ฟ้าราวกับค้างคาวยักษ์ตัวหนึ่ง
ขณะเดียวกัน จรวดทั้งสามลูกก็ยิงลงไปบนที่ว่างจุดที่เขาเพิ่งจะยืนอยู่เมื่อครู่นี้แล้ว เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังกระหึ่มขึ้นมา สะเทือนก้องไปทั่วขุนเขา เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า
เยี่ยเทียนซึ่งอยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งพันกว่าเมตรแล้วหันหน้ากลับไปมองดู รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาเช่นกัน มนุษย์พัฒนาอาวุธสงครามจนมาถึงจุดสูงสุดแล้ว สามารถจะทลายภูเขาพลิกมหาสมุทรได้เพียงขยับปลายนิ้ว เกรงว่าต่อให้เทพเซียนในตำนานมาเอง ก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“เราก็แค่ฆ่าคนไปไม่กี่คนเอง ทำไมจะต้องโมโหขนาดนั้นด้วยเล่า?”
การระเบิดที่เบื้องหลังนั้นกระตุ้นให้เยี่ยเทียนเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้นอีก เมื่ออยู่ในป่าทึบยามวิกาลแล้วดูราวกับวิญญาณดวงหนึ่ง ความเร็วของเขาอยู่ในระดับที่แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้ว
“โพละ!”
เสียงราวกับลูกแตงโมแตกดังขึ้นมา เป็นเสียงพลร่มนายหนึ่งถูกเยี่ยเทียนกดศีรษะจนจมลงไปอยู่ในทรวงอกนั่นเอง เยี่ยเทียนไม่ได้หยุดฝีเท้าลงเลย โถมเข้าไปกลางหมู่พลร่มที่ขวางทางอยู่ แล้วก็ปล่อยหมัดบ้างฝ่ามือบ้าง เพียงครู่เดียวพลร่มสิบกว่านายก็กลายเป็นศพกองอยู่บนพื้น
แม้ว่าฝ่ายรัสเซียจะส่งกองทัพมามากกว่าหมื่นคน แต่ภูมิประเทศบนภูเขานั้นขรุขระไม่ราบเรียบ แล้วยังมีป่ารกทึบอีก จึงได้แต่กระจายกำลังในการค้นหาเป็นกลุ่ม ๆ ละสิบกว่าคน
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อถึงตอนกลางคืน ทัศนวิสัยของเหล่าทหารก็ไม่ดีเท่ากับตอนกลางวัน จึงทำให้เยี่ยเทียนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ปลิดชีวิตของทหารเหล่านั้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับยมทูตที่อยู่ในโลกมนุษย์
ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตภายใต้หมัดและฝ่ามือของเยี่ยเทียนไปแล้วอย่างน้อยหลายร้อยคน เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งป่าเขา สถานที่ที่เคยเงียบสงบมาหลายร้อยปีกลับกลายเป็นเหมือนดั่งขุมนรก
ตอนนี้กินเนสส์ถึงเพิ่งจะรู้ว่า การส่งหน่วยพลร่มลงไปนั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลาขนาดไหน เพราะกลัวว่าจะพลอยทำร้ายพวกเดียวกันไปด้วย เครื่องบินที่อยู่บนฟ้าจึงกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น ได้แต่มองดูการเข่นฆ่าของเงาปีศาจที่อยู่ข้างล่างตาปริบๆ
คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปเรื่อยๆ เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นทางโน้นทีทางนี้ที หมู่ทหารแต่ละหมู่ไปรวมพลอยู่ด้วยกัน ไม่กล้าดำเนินการไล่ล่าจับกุมอย่างไม่เกรงกลัวใครเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เมื่อเห็นทหารเหล่านั้นรวมพลอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งนำอาวุธหนักมาด้วย เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนทิศทาง เร้นกายลึกเข้าไปบนภูเขาอย่างเงียบเชียบ พลังฝีมือของเขายังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ดี การฆ่าฟันครั้งนี้ก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอ่อนกำลังลงไปบ้างแล้ว
ทางบนภูเขาที่คนทั่วไปเดินทางกันอย่างยากลำบากนั้น สำหรับเยี่ยเทียนแล้วกลับไม่มีผลกระทบใดๆ เลย หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร
เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วขดร่างเป็นก้อนกลม กระแทกใส่หินผาข้างหลังอย่างแรง ทำให้หินผาอันแข็งแกร่งนั้นบุ๋มยวบลงไปราวกับเต้าหู้อันอ่อนนุ่ม
เมื่อฟันฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง เศษหินก็ร่วงลงมาจากเหนือศีรษะ ปิดบังปากโพรงที่มีขนาดพอรับคนได้เพียงคนเดียวนั้นไว้ทันที หลังจากตั้งค่ายกลตัดขาดปราณจากภายนอกแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอกได้
“ไว้พอพรุ่งนี้ปราณแท้ฟื้นกลับมาบ้างแล้ว ก็จะต้องออกจากรัสเซียให้ได้แล้วละนะ!”
การเข่นฆ่าเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันนั้น นอกจากจะทำให้เยี่ยเทียนสูญเสียพลังกายไปมากแล้ว ในใจของเขายังเริ่มเกิดจิตมารขึ้นมาเล็กน้อยอีกด้วย ระหว่างที่เผชิญหน้ากับทหารเหล่านั้น เยี่ยเทียนได้ลงมือไปอย่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้น ก็จะไม่อาจบรรเทาและปลดปล่อยเพลิงโทสะที่อัดอั้นอยู่ในใจได้
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ทั้งทางพุทธและทางเต๋าต่างกล่าวกันเสมอว่าให้มีจิตใจที่เมตตา ซึ่งก็ไม่ใช่หลักการที่ไร้พื้นฐานสนับสนุน เพราะตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบันก็ดูเหมือนว่า คนที่เข่นฆ่าผู้อื่นมามากเกินไปนั้น ไม่มีใครที่จะมีจุดจบที่ดีเลยสักคน
จิตดั้งเดิมอันอ่อนล้าสั่นกระดิ่งซานชิงเบาๆ เสียงกระดิ่งหวานใสนั้นมุ่งตรงเข้าสู่จิตดั้งเดิม และชำระล้างความกระวนกระวายที่อยู่ในใจของเขา หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยเทียนก็เข้าสู่ฌานขั้นสูง
“ไม่มีใครตามมาเลยหรือเนี่ย?”
เช้าตรู่วันต่อมา เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาตรงกับเวลาที่แสงอาทิตย์แรกกำลังสาดส่องขึ้นมาจากขอบฟ้าพอดี เมื่อแผ่จิตสัมผัสออกไปเขาก็พบว่า ในรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรนี้ไม่มีพวกทหารอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
“ที่นี่เหมือนจะคุ้นๆ อยู่นะ?”
เยี่ยเทียนฟาดฝ่ามือทลายเศษหินที่อุดปากโพรงอยู่แล้วเดินออกมา มองซ้ายมองขวาพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา