ตอนที่ 739 คุณสมบัติ
หลังจากออกมาจากบ้านของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เยี่ยเทียนได้ถูกคุณตาตำหนิต่อว่าไปยกหนึ่ง ตำหนิเขาที่ส่งคนทั้งครอบครัวไปฮ่องกง แบบนี้ก็เหมือนกับบอกว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง(หมายถึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาหรือไม่มีเขาอยู่ด้วย) ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เยี่ยเทียนก็เข้าใจหลักการนี้ดี แต่เขาไม่กล้าพนันจริงๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั้งตระกูลของเขา
เห็นได้ชัดว่าติงหงคนนี้ เป็นผู้ฝึกตนที่อยู่เหนือการควบคุมของกฎหมาย ถ้าหากถูกเขาจับได้ว่าการตายของศิษย์น้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองล่ะก็ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเขาจะสร้างความเดือดร้อนมาถึงที่บ้านหรือเปล่า
แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงก็คือ วันที่สองที่ซ่งเวยหลันบินไปถึงฮ่องกงนั้น โก่วซินเจียและศิษย์พี่คนอื่นต่างก็ออกมาจากฮ่องกง พวกเขารู้ว่า เรื่องที่สามารถทำให้เยี่ยเทียนตึงเครียดได้ขนาดนี้ จะต้องเป็นเรื่องที่แผนร้ายถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน
ด้วยมิตรภาพของศิษย์พี่สองสามคนนั้น เยี่ยเทียนจึงซาบซึ้งใจมาก แต่พวกเขาอยู่ด้วยก็ไม่มีประโยชน์ สุด ท้ายเยี่ยเทียนก็ต้องใช้อำนาจของเจ้าสำนัก สั่งให้โก่วซินเจียและคนอื่นๆ รีบกลับฮ่องกงไปวันนั้นเลย
เยี่ยเทียนใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนผ่านมาสองวัน จึงพบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้มาหาที่บ้านหรือแอบมาสืบเรื่องของตัวเอง แล้วตอนบ่ายของวันที่สอง เยี่ยเทียนก็ได้รับสายของซ่งเฮ่าเทียน
ตอนโทรศัพท์ซ่งเฮ่าเทียนได้บอกเยี่ยเทียนว่า ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร น้องสองของตระกูลอวิ๋นได้บินไปรัสเซียเมื่อวานแล้ว และจากเบาะแสที่เขามีอยู่ในมือ น่าจะไปแถบไซบีเรีย
พอรับสายแล้ว เยี่ยเทียนจึงเข้าใจทันที สงสัยนักพรตคนนั้นน่าจะไปกับอวิ๋นหวาถง อย่างน้อยวิกฤตของเขาตอนนี้ถือว่าถูกกำจัดออกไปแล้ว
เมื่อนึกถึงเหมืองแร่ทองคำที่รัสเซีย เยี่ยเทียนจึงรีบติดต่อเฉินสี่ฉวนทันที ให้เขาหยุดดำเนินการขุดเหมืองทองคำ พาทุกคนไปเที่ยวที่มอสโคว และจะกลับมาขุดเหมืองต่ออีกเมื่อไรนั้น ก็ให้รอการแจ้งของตัวเอง
หลังจากเสร็จเรื่องยุ่งพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงโทรไปที่ฮ่องกง บอกให้แม่กับทุกคนกลับบ้านได้ นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็ได้ห่อพลอยวิเศษกับของขลังพวกนั้น แล้วนั่งเครื่องบินส่วนตัวที่ถังเหวินหย่วนมารับเขา
หากทิ้งของพวกนี้ไว้ที่บ้าน ก็เหมือนกับระเบิดเวลาก็ไม่ปาน เยี่ยเทียนไม่มั่นใจว่าค่ายกลที่ตัวเองสร้างขึ้นจะสามารถปิดบังการตรวจสอบจากพลังจิตของติงหงได้
จนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ที่ฮ่องกง เยี่ยเทียนถึงได้โล่งอก เห็นได้ชัดว่าเขาดูไร้เรี่ยวแรงไม่มีชีวิตชีวามาก จากนั้นเขาจึงนอนหลับตลอดช่วงบ่าย หลังจากยามค่ำคืนมาถึง เขาถึงได้เล่าที่มาของเรื่องให้กับศิษย์พี่ทั้งหลายฟัง
“เยี่ยเทียน ที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริงเรอะ?”
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ให้โก่วซินเจียและคนอื่นอย่างชัดเจน จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา ทำให้ศิษย์พี่สองสามคนนิ่งเหม่อไม่ได้สติอยู่นาน
เรื่องที่เจอวานรขาวที่เสินหนงเจี้ยเมื่อคราวก่อน ก็ทำให้โก่วซินจียและคนอื่นรู้สึกตกตะลึงไม่หยุด และจากที่เยี่ยเทียนพูดมานั้น เมื่อไม่นานนี้ได้มีผู้ที่ฝึกตนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ตัวเองอดสงสัยขึ้นมาในใจไม่ได้
โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นมีอายุราวแปดเก้าสิบปีแล้ว แต่สิ่งที่เรียกว่ามีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางนั้น เหตุการณ์ที่ทั้งชีวิตของพวกเขาไม่เคยได้พบเจอเลย ไฉนถึงให้เยี่ยเทียนได้พบเจอ?
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมจะโกหกพี่ทำไมล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่าแค่อาศัยปากตัวเอง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อได้ จึงเคลื่อนพลังจิตจากนั้นควันกลุ่มหนึ่งก็ลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า ห่อหุ้มโก่วซินเจียที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุดขึ้นมา
“ขึ้น!”
ตามการก้าวเท้าของเยี่ยเทียน ฝ่าเท้าของโก่วซินเจียดูเหมือนจะเหยียบวัตถุที่เสมือนของจริงก็ไม่ปาน จากนั้นตัวเขาก็ลอยขึ้นจากพื้น แรงโน้มถ่วงของโลกดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับเขาเลย
หลังจากลอยขึ้นไปสูงสิบเมตรเห็นจะได้ ร่างของเยี่ยเทียนก็นิ่งลง ถึงแม้เวลานี้เขาจะเป็นระดับเซียนเทียนขั้นต้นก็ตาม เขาก็สามารถใช้ปราณแท้ให้ลอยขึ้นจากพื้นดินได้ แต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้ในเวลาที่ยาวนานติดต่อกัน
บวกกับการลอยสูงขึ้นไป ทำให้การเคลื่อนไหวของพลังปราณชีวิตกลางอากาศนั้นยิ่งวุ่นวายและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากเยี่ยเทียนคนเดียวอาจจะสามารถลอยได้สูงกว่าสิบเมตร แต่เขาพาโก่วซินเจียมาด้วย ตอนนี้จึงถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
ถึงแม้โก่วซินเจียจะอายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว ผ่านประสบการณ์และมรสุมในชีวิตมานับไม่ถ้วน ทว่าสีหน้าของเขาในเวลานี้ ก็ไม่ต่างกับเห็นผี จากนั้นเขาจึงมองพื้นดินที่มีแสงสว่างไปทั่วด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
“เยี่ยเทียน เธอ…เธอเป็นเซียนแล้ว?”
ตอนที่เยี่ยเทียนพาศิษย์พี่ใหญ่กลับลงมาที่บ้านนั้น หนานไหวจิ่นชิงเดินเข้ามาก่อน แล้วจับเยี่ยเทียนแน่น เพราะสถานการณ์เมื่อครู่เหมือนกับตอนที่เขาเจอนักพรตที่ภูเขาชิงเฉิงไม่ผิดเพี้ยน เหมือนเปี๊ยบเลยจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่นแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะอย่างฝืน ๆ “ศิษย์พี่หนานครับ เซียนก็มาจากคนนะครับ อย่างผมยังไม่เรียกว่าเซียน ในสายตาของติงหงแล้วถือว่าเป็นตัวเล็กตัวน้อยไม่มีค่าอะไรหรอกครับ”
หลังจากเยี่ยเทียนออกมาจากการเข้าฌานที่ภูเขาฉางไป๋ซานแล้ว เขาก็อยู่ในเมืองตลอด เดิมทีเขายังคิดไม่ตกว่าควรจะบอกเรื่องที่ตัวเองบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นต้นให้ศิษย์พี่สองสามคนทราบดีไหม แต่เมื่อผ่านเรื่องราวพวกนี้มาแล้ว เขาจึงต้องบอกให้พวกเขารู้
“พี่หยวนหยาง สงสัยทั้งชีวิตนี้ของพวกเรา คงจะเสียแรงเปล่าแล้ว!”
หนานไหวจิ่นกับโก่วซินเจียสบตากัน สายตาของทั้งสองคนมีแววตาที่ขมขื่น พวกเขาทนลำบากฝึกวรยุทธมาเกือบทั้งชีวิตก็ยังฝึกไม่ถึงระดับเซียนเทียน ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนที่เพิ่งจะถึงวัยหนุ่มกลับทำได้แล้ว
“ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกพี่อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง ผมฟังความหมายของติงหงแล้ว ในยุคปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างระหว่างโลกกับสวรรค์ ทำให้สภาพแวดล้อมในตอนนี้ไม่เหมาะแก่การฝึกฝน จึงไม่ใช่สาเหตุจากตัวของพวกพี่หรอกครับ!”
เยี่ยเทียนคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงปล่อยพลังจิตออกไป เขาห่อหุ้มบริเวณรอบๆ บ้านที่อยู่ในระยะหนึ่งพันลี้เอาไว้
พลังจิตของทุกคนนั้น ต่างมีพลังปราณที่พิเศษเฉพาะตัวเป็นของตัวเอง เยี่ยเทียนเชื่อว่า ต่อให้ผู้ฝึกตนใช้พลังปราณชีวิตตรวจสอบ เกรงว่าคงไม่มีทางหลบการรับรู้ของตัวเองได้เช่นกัน
หลังจากปล่อยพลังจิตออกไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงเหยียดฝ่ามือสองข้างของตัวเองออกมา พร้อมกับวัตถุที่อยู่บนฝ่ามือแต่ละข้าง
บนฝ่ามือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียน มีพลอยสีดำกับพลอยสีแดงสีสันสวยงามวางแยกคนละข้าง ซึ่งเป็นพลอยวิ เศษสองชนิดที่ได้มาจากบึงน้ำมังกรดำกับบ่อน้ำร้อนก้นภูเขาไฟ
“เยี่ยเทียน ของสิ่งนี้ก็คือพลอยชนิดนั้นที่เธอตามหาครั้งที่แล้วรึ?” โก่วซินเจียไม่ค่อยเข้าใจ เยี่ยเทียนหยิบของพวกนี้ออกมาทำอะไร?
“ใช่ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าดูถูกของสิ่งนี้นะครับ พวกมันมีปราณวิเศษแฝงอยู่ แถมยังมีมากกว่าค่ายกลรวมพลังเสียอีก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ผมสงสัยว่าที่พวกเราไม่สามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ อย่างแรกเป็นเพราะปราณวิเศษในโลกมนุษย์ไม่เพียงพอ อย่างที่สองเป็นเพราะปราณชีวิตแท้ที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเรายังไม่บริสุทธิ์พอ จึงไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นปราณแท้ได้ บางทีพลอยชิ้นนี้จะสามารถช่วยพวกเราได้ครับ!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะบรรลุระดับเซียนเทียนอย่างงงๆ ในขณะที่ตัวเองยังสลบอยู่ แต่หลังจากที่ได้ครอบครองปราณแท้อีกครั้ง เขาก็สามารถรู้สึกได้ว่าปราณแท้ในตอนนี้ไม่เหมือนกับพลังปราณชีวิตเมื่อคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง ทั้งคุณสมบัติและปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในพลอยวิเศษนั้นมีมากถึงแปดเก้าส่วน
แต่เพราะกายเนื้อมีข้อจำกัดในการรองรับปราณวิเศษแห่งฟ้าดิน หากอาศัยเพียงการฝึกฝน จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่พลังปราณชีวิตจะแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงมีบทวิเคราะห์เช่นนี้
“อ้อ? ที่แท้พลอยนี้ก็มีความอัศจรรย์แบบนี้เองหรือ?”
หนานไหวจิ่นได้ยินจึงตกตะลึง ไม่รอให้เยี่ยเทียนพูดเตือนอะไรก่อน ยื่นมือไปจับพลอยวิเศษธาตุน้ำที่อยู่กลางฝ่าฝ่ามือของเยี่ยเทียน ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้
“หนาวจริงๆ! นี่…นี่มันหนาวจนถึงกระดูกเลยนะ!”
วรยุทธของหนานไหวจิ่นแข็งแกร่งมากกว่าหูหงเต๋อตอนแรกนิดหน่อย แม้ว่าตอนนั้นเยี่ยเทียนยังไม่มีปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายที่หนาแน่นเช่นนี้ และถึงแม้จะเป็นความเย็นเยียบที่ผิดปกติของกลุ่มปราณวิเศษนั่น แต่เขาก็ยังพอทนได้
“เอ๊ะ นี่คือปราณวิเศษฟ้าดินนี่นา สามารถหลอมรวมเข้ากับปราณชีวิตแท้ของฉันได้?”
ขณะที่กำลังโคจรลมปราณเพื่อต้านกลุ่มพลังปราณชีวิตที่หนาวเย็นนั่น หนานไหวจิ่นพลันรู้สึกว่า ปราณชีวิตแท้ของตัวเองหลังจากสัมผัสกับปราณอันหนาวเย็น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งมากจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้จริงเกี่ยวกับปราณชีวิตแท้ของตัวเอง เขาคงไม่มีทางสังเกตได้
“ศิษย์น้องเยี่ย พี่หยวนหยาง ผมต้องการฝึกวรยุทธสักครู่!”
ตอนนั้นหนานไหวจิ่นถูกนักพรตที่อยู่บนภูเขาชิงเฉิงต้องตา เป็นเพราะเขามีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม ตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงไม่สนใจอะไรมาก รีบนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น
“หรือศิษย์พี่หนานจะเหมาะกับการฝึกวรยุทธของพลอยวิเศษธาตุน้ำ?”
เยี่ยเทียนปล่อยพลังจิตออกมากลุ่มหนึ่ง จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่หนานไหวจิ่นกำลังต้านทานพลังปราณที่เย็นเยียบนั้น ก็มีปราณวิเศษจำนวนหนึ่ง กำลังเปลี่ยนคุณสมบัติของปราณชีวิตแท้ที่อยู่ภายในร่างกายของเขา
“แปลกจริง จิตแห่งหยางยังไม่ก่อรูป แล้วจะเปลี่ยนปราณชีวิตแท้ให้เป็นเซียนได้ยังไง?” เยี่ยเทียนไม่ค่อยเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในตัวของหนานไหวจิ่น
แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า การฝึกฝนพลังจิตนั้น มีความยากกว่าการเปลี่ยนแปลงปราณชีวิตแท้เป็นอย่างมาก ไม่ใช่ช่วงเวลาแค่ข้ามคืนก็สามารถทำสำเร็จได้
ดังนั้นตอนที่บรรลุระดับเซียนเทียน คนส่วนใหญ่ในเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องเปลี่ยนพลังปราณชีวิตให้กลายเป็นปราณแท้เสียก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกพลังจิตออกมา มีเพียงเขาที่เป็นคนประหลาดคนนี้ถึงทำตรงข้ามกับคนอื่นได้
เยี่ยเทียนยื่นพลอยวิเศษธาตุไฟที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งให้โก่วซินเจีย แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พลอยชิ้นนี้มีปราณวิเศษธาตุไฟแฝงอยู่ พี่ลองดูว่าสามารถใช้ฝึกได้ไหม?”
โก่วซินเจียพยักหน้า เมื่อเห็นบทเรียนของหนานไหวจิ่นเมื่อครู่ ตอนที่เขารับพลอยวิเศษธาตุไฟมานั้น แล้วปล่อยปราณชีวิตแท้ไปที่มือขวา
“ทำไมถึงร้อนขนาดนี้?”
ตอนที่โก่วซินเจียจับพลอยวิเศษนั่น จึงอดที่จะร้องเสียงหลงออกมาไม่ได้ เพราะว่าเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับถ่านไม้ที่คุโชนท่อนหนึ่ง ทำให้รู้สึกร้อนระอุจนยากที่จะทนได้จริงๆ
เยี่ยเทียนได้ยินจึงขมวดคิ้ว พลางยื่นมือไปสะกิดข้อศอกของโก่วซินเจีย จากนั้นพลอยวิเศษก็กระเด็นลอยออกจากมือ แล้วถูกเยี่ยเทียนจับเอาไว้
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ สงสัยพี่จะไม่เหมาะกับการใช้พลอยวิเศษพวกนี้ในการฝึกฝน”
สรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สามารถใช้คุณสมบัติของห้าธาตุมาอธิบายได้
ตอนแรกหูหงเต๋อก็เกือบถูกแช่เข็งตายเพราะพลอยวิเศษธาตุน้ำเหมือนกัน แต่ตอนที่เขาสัมผัสกับพลอยวิเศษธาตุไฟนั้น กลับรู้สึกมีพลังปราณชีวิตที่อบอุ่นบางอย่างเข้าไปในร่างกาย โดยไม่มีการตอบสนองที่รุนแรงมากเหมือนโก่วซินเจีย
“เยียเทียน ให้ศิษย์พี่ลองหน่อยสิ?” จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยพูด เพราะเขาอยากจะลองนานแล้ว
“ได้ครับ ศิษย์พี่รอง แต่อย่าฝืนนะครับ ถ้าหากรู้สึกทนไม่ไหว ก็รีบวางทันที!” เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจึงหยิบพลอยวิเศษชิ้นนั้นมาวางอยู่กลางฝ่ามือของจั่วเจียจวิ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียต้องตกตะลึงตาค้างก็คือ หลังจกาที่จั่วเจียจวิ้รสัมผัสพลอยวิเศษนั่นแล้ว รู้สึกตกตะลึงบนใบหน้าก่อนเป็นอย่างแรก แล้วก็เหมือนกับหนานไหวจิ่น รีบนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฝึกวรยุทธ
เมื่อเห็นใบหน้าของโก่วซินเจียมีสีหน้าหมดหวังออกมา เยี่ยเทียนจึงรีบพูดทันที “ศิษย์พี่ใหญ่ คุณสมบัติไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งร้อนใจ ผมยังมีพลอยวิเศษธาตุน้ำอีกหนึ่งชิ้นครับ!”